บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 139
บทที่139 ความในใจของเยว่
งานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่ขององค์ชาย การเฉลิมฉลองของเทียนเหยียน
สีแดงแต่งแต้มสิบลี้ ฉากที่มีชีวิตชีวาบนถนนสายหลัก
แต่ห้องข้างในกลับเงียบสงบ ชิงต้ายหลินเชี่ยวช่วยลี่วานตกแต่งทั้งหมดแล้วเสร็จนานแล้ว เฟิ่งกวานเสียะเพ่ย[1] ปกติดูเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนแต่ตอนนี้กลับดูสง่าและเหมาะสม หางตาและคิ้วก็ถูกยกขึ้นเล็กน้อย เต็มไปด้วยเสน่ห์
กู้อ้าวเวยนวดที่ปลายนิ้วแล้วยิ้มให้นาง: “น่าเสียดายที่ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าไม่สามารถมาเทียนเหยียนได้”
“ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้” ลี่วานหัวเราะเบาๆ ปลายนิ้วบิดเข้าหากันเพราะความตึงเครียด
นางไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของครอบครัวตั้งแต่แรก ตอนนี้นางไม่สามารถใช้นามสกุลของบิดาได้ และเพียงหลงเหลือไว้แค่ลี่วานสองตัวอักษรนี้เท่านั้น หากว่าเสียนเฟย(พระสนม)มีการฝึกนางสนมอย่างลับๆ ที่บ้านของตนก็คงจะไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ
กู้อ้าวเวยรู้ว่าตนพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ทำได้แค่เปลี่ยนหัวข้อเรื่องอย่างเก้อเขิน อวยพรให้นางมีความสุข และค่อยๆปลอบโยนว่านี่เป็นเพียงแค่พิธีหนึ่ง แม้ว่าจะมีปัญหาอะไรก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แล้วก็ไม่มีคนใส่ใจ
ลี่วานหัวเราะเบาๆ และปล่อยให้ภรรยาข้างๆคลุมผ้าสีแดงให้นาง แล้วพูดเสียงดังว่า: “ฝ่ายเจ้าบ่าวมาถึงหน้าประตูแล้ว! เจ้าสาวกำลังลุกขึ้น!”
สาวใช้คนใหม่ที่รอส่งลี่วานกำลังจูงนางเดินออกไป
กู้อ้าวเวยก็ไม่อยู่นาน เพียงดึงหยินเชี่ยวชิงต้ายออกจากประตูด้านหลัง นั่งบนรถม้าจนมาถึงตำหนักองค์ชายสี่แต่เช้า ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนอย่างเงียบๆเท่านั้น ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของพวกนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พระชายาจิ้งคนนี้หรือจะได้เป็นคนโปรด ข้ากลับเห็นแต่สนมที่อยู่ตำหนักอ๋องจิ้งได้ใจ”
“หากว่าข้าก็เป็นหลานสาวของเฉิงเสี้ยง(เฉิงเสี้ยงเป็นตำแหน่ง) ลูกหลานตระกูลหยุน ข้าก็คงจะสามารถแต่งให้ท่านอ๋องจิ้งได้”
นางกำนัลทั้งสองกลับจำนางไม่ได้ ในขณะที่นางอยู่ท่ามกลางฝูงชนนั้นเพื่อมองดูผู้มาใหม่ทั้งสองคนเข้ามาในห้องโถง ซ่านเซียนหยวนและลี่วานถือผ้าไหมสีแดงร่วมกัน แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าโต๊ะที่ไร้คนนั่ง บนโต๊ะคือรูปปั้นเทพเจ้าที่ชาวชางหลานเคารพบูชา ไม่คำนับฟ้าดิน ไม่คำนับบ่าวสาว ถือเพียงผ้าไหมสีแดงต่อหน้าองค์เทพ และให้คำสาบาน
เสียงสรรเสริญตลอดทาง ระหว่างที่ซ่านเซียนหยวนกับลี่วานกำลังจากไป กู้อ้าวเวยก็ใช้เวลานี้ไปงานเลี้ยงในตำหนัก เพียงแต่นางมีอาการไข้หวัด มีปัญหากับพวกเขาอีกครั้งเมื่อวานนี้ อาการไข้หวัดก็หนักกว่าเดิม เพียงอดทนไว้ไม่ให้ไอ
ชิงต้ายที่อยู่ข้างๆก็นำน้ำอุ่นมาให้: “ก็บอกแล้วเมื่อวานนี้ว่าไม่ควรนอนดึก”
“ไม่เป็นไร” กู้อ้าวเวยจิบน้ำอุ่นเล็กน้อย แล้ววางกลับไว้บนโต๊ะข้างๆ จากนั้นถึงกลับไปยังที่ๆนางควรจะอยู่
ที่โต๊ะข้างหน้า ซูพ่านเอ๋อนั่งพิงแขนของซ่านจินจื๋อครึ่งหนึ่งแสดงออกถึงความน่าอิจฉา ซ่านจินจื๋อมองที่ตาของซูพ่านเอ๋ออย่างอ่อนโยนมากขึ้นจนสามารถบีบน้ำออกมาได้ ถึงอย่างนั้นซ่านจินจื๋อก็ยังไว้หน้านางอยู่ เก็บที่นั่งฝั่งซ้ายไว้ให้
องค์รัชทายาทและองค์ชายสองเพียงให้คนส่งของขวัญ ตอนนี้โต๊ะด้านหน้าก็คงไม่พ้นซ่านจินจื๋อและองค์ชายสามซ่านเซิ่งหานนั่งอยู่ นางค่อยๆนั่งลง ข้างกายที่นั่งคือฉางอีฉินที่เคยเจอก่อนหน้านี้ นางก็ไม่ได้สนใจ ดูเหมือนว่าซ่านเซิ่งหานและเยว่กำลังคุยบางอย่าง นางหันกลับมามองที่กู้อ้าวเวย: “พระชายาจิ้งไม่กินน้ำส้มสายชู(หึงหวง)บ้างเลยหรือ?”
“ไม่กิน” กู้อ้าวเวยอดทนต่ออาการคันของลำคอ คนข้างกายอย่างหยินเชี่ยวไม่รู้ว่าไปหาซุปบะหมี่ร้อนๆมาจากไหนเอามาวางไว้ตรงหน้านาง ไข่สองฟองโรยด้วยต้นหอม เพียงแค่มองก็รู้ว่ารสชาติต้องไม่เลว
นางไม่ได้สนใจเสียงข้างหูอย่างซูพ่านเอ๋อที่คอยเรียกท่านพี่จื๋ออย่างนั้นท่านพี่จื๋ออย่างนี้แม้แต่น้อย และก็ไม่ได้ใส่ใจฉางอีฉินที่มีสีหน้าท่าทางแสดงออกถึงความประหลาดใจและรังเกียจ
นางยังไม่ได้ทานอาหารเช้า และหิวมาก
แต่ทว่าสักพัก ซ่านเซียนหยวนก็เริ่มยกจอกเหล้าแสดงความเคารพทีละโต๊ะๆ เมื่อมาถึงโต๊ะของพวกเขานั้น ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่กู้อ้าวเวยเพียงคนเดียว ยกเหล้าแสดงความเคารพหนึ่งจอก: “ขอบพระทัยสำหรับคำอวยพรของเสด็จอา”
“ข้าขอให้พวกเจ้ามีความรักสามัคคีเป็นร้อยๆปี” กู้อ้าวเวยก็ทำได้เพียงยกจอกเหล้าขึ้นมา แล้วชนเบาๆ
ทั้งสองยิ้มให้กัน กู้อ้าวเวยกลับรู้สึกว่าคนที่อภิเษกแล้วคนนี้มีวุฒิภาวะมากขึ้น รอยยิ้มยิ่งเพิ่มความอ่อนโยน: “วันข้างหน้าหากว่าลี่วานวิ่งมาร้องไห้กับข้าอีก ข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้าอีก”
“รับรู้แล้ว” ซ่านเซียนหยวนหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น จากนั้นก็ไปยังโต๊ะถัดไป
กู้อ้าวเวยนั่งลงอีกครั้ง หยินเชี่ยวหยิบเสื้อคลุมหลังเพื่อนางมาแล้วนำมาคลุมบนไหล่นวลของนาง นางเพียงหัวเราะเบาๆแล้วรวบเสื้อเข้าด้วยกัน ไม่รอให้ซ่านจินจื๋อได้พูดอะไร นางก็พูดออกมาเสียก่อน: “ท่านอ๋อง ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ คงจะไม่อยู่ต่อแล้ว”
ใบหน้างามแดงเล็กน้อย ปลายนิ้วเริ่มร้อน แต่ทั้งตัวกลับกลัวหนาว และนั่งไม่ไหวแล้ว
เพียงแค่นางลุกออกจากที่นั่งไป ซ่านเซิ่งหานก็สัมผัสคนข้างกายอย่างเยว่เบาๆ เยว่ก็ลุกออกไปทันที
นางมาที่ตรอกซอกซอยที่ไม่ควรจะมีใครอยู่ เห็นกู้อ้าวเวยที่เพิ่งออกจากที่นั่งเมื่อสักครู่ยืนอยู่ที่นั่น ในมือยังคงถือกล่องไม้ใบใหญ่ เมื่อเห็นนางเดินเข้าไป เพียงแค่ยกมุมปากและพูดว่า: “เรื่องอะไร?”
”ผู้คนในหน้าผาไป๋เฉ่าได้จัดเตรียมพร้อมแล้ว เจ้าจะออกเดินทางเมื่อไหร่?”
กู้อ้าวเวยเหลือบมองไปที่นางด้วยดวงตาดอกท้อคู่นั้น และพูดต่อ: “ให้รอไว้ก่อน ความคิดของซ่านจินจื๋อข้ายังเดาใจไม่ออก”
“แต่ช่วงนี้เขาดูให้ความสนใจเจ้าเช่นนี้ เจ้าต้องการทำร้ายเขา คิดว่าข้าจะเชื่อใจเจ้าเหมือนองค์ชายสามหรือ?” เยว่ค่อยๆยกมือขึ้น มีดสีเงินจ่ออยู่ที่ลำคอระหงของกู้อ้าวเวย
นางยกคางขึ้นเล็กน้อย กลับรู้สึกแปลกใจกับท่าทางของเยว่ แต่น่าเสียดายที่หลังความตึงเครียดอาการไออย่างรุนแรงก็ทำให้นางสั่นเบาๆไปทั้งตัว เยว่ที่ขยับใบมีดสีเงินออกด้านข้างเล็กน้อย ก็อยู่ในสายตากู้อ้าวเวย อดไม่ได้ที่หัวเราะเสียงดัง: “เจ้าเห็นซ่านจินจื๋อรักเอ็นดูข้าเมื่อไหนกัน?” แต่ไม่ว่าอย่างไร เลือดที่ข้าเสียไป ต้องเอาเลือดมาชดใช้
“กลับกลายเป็นเจ้าโหดร้ายกว่าข้า” เยว่กัดฟันจ้องมองคนตรงหน้าอย่างกู้อ้าวเวยที่ดูป่วยทั้งใบหน้า
ปลายนิ้วค่อยๆดันใบมีดนั้นที่จ่ออยู่ตรงลำคอออกห่าง กู้อ้าวเวยเพียงนำกล่องไม้ในอ้อมแขนวางลงที่อ้อมแขนของนาง: “ได้โปรดให้องค์ชายสามช่วยเหลือ นำสิ่งนี้ส่งไปยังชายแดนเพื่อให้องค์ชายหก นี่คือสิ่งที่ข้ารับปากไว้แต่กลับลืมมอบให้เป็นหมอนยาและยาสมุนไพรที่เปลี่ยนแทนตัวเก่า”
เยว่จับกล่องไม้นั่นไว้ ได้ยินเสียงไอของกู้อ้าวเวยไม่กี่ที หลังจากนั้นนางก็ดึงเสื้อคลุมขึ้น และออกไปหน้าปากทางอย่างระมัดระวัง
กู้อ้าวเวยคนนี้ ทำไมแปลกประหลาดเช่นนี้
เยว่ก้าวตามไปอีกไม่กี่ก้าว แต่รู้สึกว่ามีคนใกล้เข้ามา เพียงกระชับปลายแขนเสื้อ มีดเล่มเล็กเลื่อนมายังกลางฝ่ามือ หลังจากได้ยินเสียงอุทานของกู้อ้าวเวยอีกครั้ง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นแล้วก็เก็บมีดสีเงินนั้น เตรียมพร้อมกลับไปรายงานต่อองค์ชายสาม
แต่ด้านหลังของตรอกซอยนั้น มีหลายคนที่สวมใส่ชุดลินินหยาบได้ยกกู้อ้าวเวยที่สลบไสลแล้วเข้าไปในรถม้า
เยว่เพียงแค่กลับไปถึงที่งานเลี้ยงแล้ว เผชิญกับสายตาคำถามขององค์ชายสาม นางยิ้มบางๆเท่านั้น และเล่าเรื่องเกี่ยวกับกล่องไม้นี้ จากนั้นนางก็พูดต่อ: “ดูเหมือนว่านางยังคงอยู่ฝั่งของพวกเรา”
“เช่นนั้นก็ดี กล่องไม้นี้มอบให้เจ้าไปจัดการที” ซ่านเซิ่งหานยกมุมปาก ไม่ทันเห็นความเย็นชาในดวงตาของเยว่
แม้ว่าองค์ชายสามจะเชื่อใจพระชายาจิ้งเช่นนี้ แต่ในสายตาของเยว่แล้ว พระชายาจิ้งคนนี้เป็นศัตรูหรือเป็นเพื่อนก็ต้องเชงเม้ง คนเหล่านี้ ต้องกำจัดตั้งแต่เนิ่นๆถึงดี
เขายุยงลี่วาน แต่กลับทำร้ายนางไม่ได้แม้แต่น้อย แต่ตอนนี้นางถูกจับตัวไป เขาก็ไม่มีทางที่จะไปบอกกับใครๆ
[1]เฟิ่งกวานเสียะเพ่ย
เฟิ่งกวาน หรือ มงกุฎหงส์ เป็นเครื่องประดับศีรษะของบรรดาราชนารีและสตรีสามัญชนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ลวดลายของมงกุฎก็จะแตกต่างกันไปตามระดับชั้นที่ได้รับ หากเป็นของไทเฮา ฮองเฮา พระสนมฯก็จะเป็นรูปหงส์ แต่หากเป็นสามัญชนก็จะเป็นลวดลายดอกไม้ แต่จะเรียกเครื่องประดับชนิดนี้เพื่อความเข้าใจตรงกันด้วยคำเดียวกันว่า มงกุฎหงส์
เสียะเพ่ยหรือสายสะพายที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นผืนยาวเหมือนผ้าพันคอ มีลวดลายที่ต่างกันไปตามลำดับชั้นยศ ส่วนปลายของทั้งสองด้านจะมีของมีค่าเช่นไข่มุกห้อยถ่วงไว้ วิธีสวมคือใช้คล้องคอลงมา กลัดกระดุมบริเวณช่วงหน้าอก ปล่อยชายทั้งสองด้านพาดลงมาทางด้านหน้า