บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 159
บทที่159 วิ่งทั่วสี่ทิศ
“ตำหนักอ๋องจิ้งและตำหนักองค์ชายสี่นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ”
หลังจากได้รับข้อความจากฉีหลินแล้ว ซ่านเซิ่งหานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ เพียงมองจดหมายในมือ ก็เหม่อเล็กน้อย
กลับคิดไม่ถึงว่ากู้อ้าวเวยคนนี้ถึงไม่มีใครช่วยเหลือ ก็สามารถหนีออกมาจากเงื้อมมือของโหวเซ่อได้ ทำให้เขารู้สึกถึงความแปลกใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ แต่ในเวลานี้ เขายังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องจัดการ
สายตาเย็นชาส่งไปยังเยว่ที่อยู่ข้างๆ ซ่านเซิ่งหานพูดด้วยน้ำเสียงต่ำและเย็นชามาก: “เจ้า เป็นคนสุดท้ายที่เห็นกู้อ้าวเวย เหตุใดรู้เห็นเหตุการณ์แล้วไม่รายงาน? ตั้งใจปล่อยให้นางถูกคนของโหวเซ่อจับตัวไป?”
เยวนิ่งชะงัก หรือว่าวันนั้นตอนที่ถูกพาไปกู้อ้าวเวยเหลือบมาเห็นนางแล้ว?
คิดมาถึงตรงนี้ นางจึงได้รีบคุกเข่าลง: “ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้เรื่องราวของกู้อ้าวเวยมาเปิดเผยแผนการของท่าน ตอนนี้ท่านกำลังยุแยงให้องค์ชายทั้งหลายแตกความสัมพันธ์กัน หากว่าเวลานั้นยื่นมือช่วยพระชายาจิ้ง จะต้องกลายเป็นหนามยอกอกของคนอื่นๆ
“แม้ว่าข้าไม่ยื่นมือช่วย ก็ควรแจ้งตำหนักอ๋องจิ้งให้ยื่นมือช่วย เจ้าก็รู้ดีว่าตัวหมากรุกชิ้นดีอย่างกู้อ้าวเวยเช่นนี้มีไม่มากแล้ว”
ซ่านเซิ่งหานจ้องมองด้วยความโกรธ จึงเอาจดหมายในมือโยนไปตรงข้างๆเท้าของเยว่ แล้วพูดต่อ: “ข้าก็แค่หลอกลวงเจ้า กลับคิดไม่ถึงว่าวันนั้นเจ้าจะเห็นจริงๆ!”
เยว่แดงไปทั้งใบหน้า โขกศีรษะกับพื้นด้วยความแรงสองครั้ง ทำให้เกลียดชังกู้อ้าวเวยมากยิ่งขึ้น
“คุกเข่าจนพระอาทิตย์ตก นอกจากนี้ รีบส่งใครสักคนให้ไปรายงานเรื่องนี้กับเสด็จพ่อทันที ให้เสด็จพ่อไปจัดการเรื่องนี้” ซ่านเซิ่งหานโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแทบควบคุมไม่ได้
เยว่คือผู้ที่เขาฝึกฝนด้วยมือตนเพื่อให้ภักดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า นางกลับแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน หรือคิดจริงๆว่าเพราะเขาชอบในตัวกู้อ้าวเวยจึงได้ใส่ใจเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักดูแลผลประโยชน์โดยรวมก่อน
ในช่วงเวลาที่กำลังโกรธกริ้ว ฉางอีฉินก็เดินเข้ามาพร้อมกับขนมว่าง: “เตี้ยนเซี่ยนี่เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงให้น้องเยว่คุกเข่าอยู่ด้านนอก?”
“นางทำผิดพลาด จำเป็นต้องลงโทษ วันนี้ข้าจะอยู่ห้องหนังสือ พวกเจ้าไม่จะจำเป็นต้องรอข้าแล้ว”
คืนนี้ ซ่านเซิ่งหานจะส่งคนออกไปสอดแนมข่าวคราวจากทุกๆทาง ที่สำคัญต้องไปดูที่ตำบลซ่านหลิน ว่ากู้อ้าวเวยเป็นหรือตายกันแน่ หรือว่า ข่าวนี้จะเป็นของปลอม
หากว่ากู้อ้าวเวยตายแล้ว เขาก็ไม่มีใครที่สามารถฝังตัวอยู่ในตำหนักอ๋องจิ้งคอยเป็นสายลับแล้ว
ฉางอีฉิงในแววตาอ้างว้าง ได้วางของลงแล้วจากไป ขณะที่เดินผ่านเยว่ ก็ถูกเยว่ดึงรั้งที่ปลายชุด
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉางอีฉิงจึงรีบนั่งยองๆมองไปที่นาง
เยว่นัยน์ตาแดงก่ำ สีหน้าซีดขาว พูดด้วยเสียงเบาๆ: “องค์ชายสามไม่รู้ว่าถูกกรอกด้วยซุปเสน่ห์หาอะไร เมื่อสักครู่เพิ่งตำหนิข้าเพียงเพราะเรื่องของพระชายาจิ้ง กล่าวว่าตอนที่ข้าจากมาพบเห็นพระชายาจิ้ง เหตุใดถึงไม่ปกป้อง……”
“นี่……พระชายาจิ้งและเตี้ยนเซี่ยคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน” ฉางอีฉินรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ถูกต้อง
“ทำไมจะไม่มีความเกี่ยวข้อง ข่าวลือก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ของปลอม ท่านพี่อีฉิง ท่านเองก็ต้องระวัง” เยว่พูดแล้ว ในใจก็รู้สึกน้อยใจยิ่งขึ้น สิบกว่าปีที่อยู่เคียงข้าง ก็ยังเทียบไม่ได้กับคนๆเดียวอย่างกู้อ้าวเวย
ฉางอีฉินไขว้เขวตาม เมื่อรับฟังเรื่องราวแล้ว ก็ส่งคนไปตามหาข่าวคราวของพระชายาจิ้งเป็นการส่วนตัว
รอจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน เยว่ก็อดทนไม่ไหวแล้ว ซ่านเซิ่งหานถอนหายใจต่อตัวนาง นางก็เพียงแค่หัวเราะเยาะเย้ยในใจ
เตี้ยนเซี่ยถูกคนล่อลวงให้หลงใหลแต่กลับไม่รู้ตัว
……
วันที่สอง ฮ่องเต้อยู่ที่ตำหนักของเสียนเฟยทรงโกรธกริ้วเป็นอย่างมาก มีคำสั่งให้เรียกตัวอ๋องจิ้งและองค์ชายสี่เข้าวัง
ยังไม่ทันสว่างดี อ๋องจิ้งและองค์ชายสี่ก็ยืนอยู่ในห้องหนังสือแล้ว สิ่งของบนโต๊ะถูกฮ่องเต้ปัดทิ้งกระจายเต็มพื้น ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีแดงเข้ม ชี้นิ้วไปที่อ๋องจิ้งโดยเฉพาะอย่างโกรธกริ้วพร้อมรับสั่ง: “เจิ้นมอบหมายทายาทของตระกูลหยุนให้กับเจ้า! ก็เพื่อให้เจ้าดูแลรักษาให้ดี! เจ้าย่อมรู้ว่าราชวงศ์ของพวกเราขาดทุนและเป็นหนี้ตระกูลหยุนมากมายเพียงใด”
“ข้าได้แอบส่งคนไปตามหาแล้ว” ซ่านจินจื๋อยืนปักหลักอยู่ข้างหน้า ครึ่งเดือนนี้ที่ผ่านไป ในใจเขาก็กระวนกระวายดั่งไฟเหมือนกัน กังวลมากกว่าคือซู่พ่านเอ๋อหากยังไม่ได้สูตรยาของตระกูลหยุนเพื่อมาบำรุงรักษาดีๆ ภายภาคหน้าอาจกลายเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆได้
ซ่านเซียนหยวนเมื่อได้ฟังก็นิ่งอึ้งเล็กน้อย แต่ก็พูดต่อ: “เอ๋อร์เฉินก็ได้ส่งคนออกตามหาแล้วเช่นกัน แต่ก็ไม่พบแม้แต่เบาะแสร่องรอย”
“พวกเจ้าทั้งสองปิดประตูส่งแขก หากไม่ใช่เพราะคนของสำนักเยียนหยู่เก๋อส่งข่าวให้กับหานเอ๋อร์ เจิ้นก็คงจะไม่ได้รับรู้ว่านางกำลังตกอยู่ในอันตราย กำลังเดินทางไปที่หลิ่งหนานเพียงลำพัง!” ฮ่องเต้สบัดแขนเสื้อก่อนจะนั่งลง
อาหลานสองคนสีหน้าและแววตาคมว่างเปล่า เหตุใดถึงไม่ได้ยินคนในตำหนักพูดถึงเรื่องนี้
ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างมาก จึงรับสั่งให้กักบริเวณเสียนเฟยครึ่งเดือนสาเหตุเพราะดูแลเลี้ยงดูองค์ชายสี่มาไม่ถูกวิธี ผู้คนในโถงพระราชวังต่างคาดเดากันไปต่างๆนาๆว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น เมื่อซ่านจินจื๋อและซ่านเซียนหยวนหลังจากจากไป กลับปิดปากเงียบไม่พูดไม่จากัน
เมื่อซ่านจินจื๋อกลับมาถึงตำหนัก ก็เข้าไปยังห้องของซู่พ่านเอ๋อ บอกกล่าวด้วยเสียงกระซิบ: “ข้าจะไปตำบลซ่านหลินสักหน่อย พบที่อยู่ของกู้อ้าวเวยแล้ว”
“ท่านพี่จื๋อ ข้าไม่อยากให้ท่านเดินทางไป……” ซูพ่านเอ๋ออยากจะคว้าที่ปลายเสื้อของซ่านจินจื๋อ แต่ซ่านจินจื๋อกลับลุกขึ้นยืนแล้ว
“ข้าจำเป็นจะต้องไปตามหากู้อ้าวเวยให้พบโดยเร็ว ค้นหาต้นหญ้าเลือดมังกรและถุงน้ำดีหงส์เพื่อเจ้า แล้วก็สูตรยาของตระกูลหยุนเพื่อมารักษาอาการของเจ้า” ซ่านจินจื๋อพูดปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน สุดท้ายก็ไม่พ้นจุมพิตลงบนหน้าผากมนของซูพ่านเอ๋อ แล้วจากไปโดยเร็ว
ซูพ่านเอ๋อกัดฟันกรอด เรียกแม่บ้านเข้ามาตำหนิ: “ท่านอ๋องทราบเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน!”
“เรื่องนี้……ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” แม่บ้านอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ได้
จึงได้ไล่แม่บ้านให้ออกไป จิ่นซิ่วเองก็ได้รับข้อความมาจากจูเซ จึงรีบรายงานต่อซูพ่านเอ๋อ: “สองวันก่อนพวกเขาค้นหากู้อ้าวเวยไม่พบจริง จึงได้จากไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าวุ่นวายแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นข้าไม่ใช่ต้องกินยาพิษโดยเสียเวลาเปล่าหรือ!” ซูพ่านเอ๋อโมโหจนควบคุมไม่ได้ทุบไปบนหมอนไม่หยุด และฝืนไม่ไหวจนต้องไอออกมา
กู้อ้าวเวยคนนี้มีความสามารถอะไรกันแน่ ถึงได้สามารถหนีพ้นมาจากเงื้อมมือของโหวเซ่อได้!
ช่างตายยากเสียจริง จะต้องเป็นภัยเงียบในภายหลังแน่นอน!
ช่างน่าเสียดาย เรื่องมาถึงตอนนี้ เรื่องนี้หากนางไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโหวเซ่อแล้วก็เหมือนถูกตัดมือตัดแขนทำอะไรไม่ได้
ดูแล้ว ทำได้เพียงต้องรอให้ถึงเวลาที่กู้อ้าวเวยกลับมาแล้ว ค่อยคิดหาวิธีฆ่านางซะ
……
ตลอดการเดินทางนี้ วิวทิวทัศน์ของชางหลานนางชมมาไม่น้อย รวมทั้งยาสมุนไพรก็หามาจากระหว่างทางไม่น้อย
สิบวันเต็มๆ จากพื้นที่ที่มีผู้คนอาศัยเป็นจำนวนน้อยจนกระทั่งมาถึงตอนนี้คนเยอะคึกคัก กู้อ้าวเวยกลับมีความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง ออกจากเมืองเทียนเหยียนแล้ว นางดูไม่เหมือนพระชายาผู้มีความเฉลียวฉลาดวันๆเต็มไปด้วยแผนการ แต่เหมือนเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งที่ได้พบเห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันครั้งแรก
ที่นี่หลิ่งหนานติดริมน้ำ ล้อมรอบไปด้วยภูเขา เพียงแค่ก้าวเข้ามายังผืนดินของหลิ่งหนาน ริมทางคือแผงขายชา คนถือกระบี่เดินสวนไปมา มีหลายคนที่เป็นจอมยุทธ์ก็มุ่งหน้ามาที่นี่ด้วย ตลาดน้อยใหญ่เต็มไปด้วยความคึกคัก ไม่ด้อยไปกว่าเทียนเหยียน หญิงสาวของที่นี่เมื่อเทียบกับหญิงสาวในเทียนเหยียนแล้วมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำมากกว่า เลิกคิ้วนิดๆยิ้มทีล้วนทำเอาใจคนละลาย
ที่นี่บัณฑิตก็มีมาก เจ้าบทเจ้ากลอน ฉินเส้อบรรเลงเส้นสายล้วนมีอยู่ทั่วไป
“ถึงอย่างนั้น กระบี่ชิงซวงนี้ถูกซ่อนอยู่ในหอแปดเหลี่ยม ก็ล่อลวงคนในยุทธภพให้มาที่นี่ไม่น้อย ตอนนี้ที่นี่กำลังรุ่งเรือง เอ่อร์ชิงเจ้าสามารถเที่ยวเล่นได้ตามที่ต้องการ แต่ต้องระวังให้มากอย่าได้ยั่วยุใครเข้า มิเช่นนั้นผู้ดูแลของที่นี่ต้องเผชิญหน้ากับผู้คนมากมายเช่นนี้ ก็คงจะลำบาก” ก่อนที่กองคาราวานจะจากไป พี่ชายหลายๆคนกำชับแล้วกำชับอีก แล้วยังให้เงินสิบตำลึงกับนางไว้เพื่อตามหาญาติ
แต่ช่างน่าเสียดาย นางเพิ่งเดินมาถึงร้านอาหาร ก็ชนเข้ากับท่านชายรูปงามผู้ร่ำรวย ทำให้น้ำเปล่าหนึ่งถ้วยที่เพิ่งขอมาลาดไปบนเสื้อของท่านชายนั่นหมดถ้วย