บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 195
บทที่ 195 เยว่สร้างเรื่อง
“ข้าน้อยเพียงแค่แบ่งเบาความกังวลของพระองค์”
เยว่สีหน้าดำคล้ำ ก้มหน้างุดลงต่ำติดพื้น
“แบ่งเบาความกังวล?” เจ้าควรจะรู้หากไม่ใช่การกระทำโดยพลการของเจ้า ซ่านจินจื๋อก็คงตายที่หน้าผาไป๋เฉ่าไปนานแล้ว กู้อ้าวเวยก็คงจะไม่ปกป้องมัน! เจ้าก็ยังดันทุรังจะลงมือกับนาง นางถึงได้ปกป้องซ่านจินจื๋อเพื่อที่จะรอดชีวิตไงเล่า!”
ซ่านเซิ่งหานไม่อาจระงับโทสะไว้ได้ หน้าผาไป๋เฉ่าเป็นโอกาสเหมาะขนาดไหน เยว่จะไม่รู้อย่างนั้นหรือ!!
แต่เยว่เป็นสตรีคนหนึ่งไม่เหมือนกับบุรุษอกสามศอก ยามนี้นางน้ำตาเอ่อล้นและเงยหน้าขึ้นมอง “พระองค์เคยลำเอียงเข้าเคียงสตรีเช่นนี้หรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านหวั่นไหวกับพระชายาจิ้ง แต่ครั้งนั้นที่ท่านทรงสั่งสอนหม่อมฉัน ในชีวิตของคนเรามีเพียงคำว่ารักคำเดียวเท่านั้นที่ไม่ควรผลีผลาม”
ซ่านเซิ่งหานหยุดเอ่ยวาจา มองเยว่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ
ในใจกระจ่างแจ้ง
คนที่หวั่นไหวกับความรัก ไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นตัวเยว่เอง
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาเพียงแค่ถอนหายใจว่าเหตุใดต้องวางเยว่มีสถานะเป็นอนุภรรยาไว้ในจวน ยามนี้ดวงความรักนางขับเคลื่อน เรื่องที่กระทำการลับหลังทั้งหมดจึงเป็นอุปสรรคสำหรับเขา
“หากข้ารักนาง ข้าจะยังปล่อยให้คนที่ข้ารักไปตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อของมันงั้นหรือ?
ซ่านเซิ่งหานเอ่ยราบเรียบแต่น้ำเสียงยังคงดังก้อง
เขาลุกขึ้นพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ สาวเท้าเดินไปยังข้างกายเยว่ ประคองนางขึ้นด้วยสีหน้ามืดครึ้มจึงได้เอ่ยพลางถอนหายใจ “หากเจ้าเกิดความรู้สึกสนใจรักใคร่ ข้าก็ไม่ต้องการเอาเจ้าไว้ วันพรุ่งเจ้าไปที่เรือนนอก ฝึกฝนให้ดีอย่าได้ทำแผนการของข้าผิดพลาดอีก”
เยว่อ้าปากเหวอ แต่เมื่อเห็นเส้นเลือดดำปูดโปนที่หลังมือของเขาก็ก้มหน้างุดลงไป
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ องค์ชายกำลังโกรธจริงจัง
“เยว่น้อมรับโทษ” ขณะที่กล่าวก็โขกศีรษะลงไปหนักๆ ซ่านเซิ่งหานที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็เดินไปที่ห้องของตน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เหม่อลอยอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง
นางเกิดความรู้สึกรัก แต่องค์ชายไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวจริงๆอย่างนั้นหรือ?
กระทั่งเช้าตรู่ของวันถัดมา รถม้าคันหนึ่งจอดที่หน้าประตูวังขององค์ชายสามอย่างมั่นคง ฉางอีฉินและหญิงรับใช้อื่นๆออกมายืนออที่ประตู
วันนี้ฉางอีฉินสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวมรกต ได้นัดสหายเก่าไปทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารป๋ายเว่ย แล้วช่วงกลางวันค่อยออกไปเดินเล่นที่ร้านเสื้อผ้าเหยียนหยู่เก๋อต่อ เมื่อออกจากประตูพลันเห็นรถม้ายังนึกไปเองว่าคงมารับใช้ตน ใครจะรู้ว่าพลขับเอ่ยว่าจาอย่างเย็นชา “ฮูหยิน รถม้าคันนี้เตรียมไว้ให้ฮูหบินเยว่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมา ฉางอีฉินย่อมไม่พอใจ “ข้าเป็นถึงพระชายาองค์ชายสาม ส่วนน้องเยว่เป็นแค่อนุภรรยา หรือว่านางสามารถออกคำสั่งพวกเจ้าได้มากกว่าข้า?”
“นี่เป็นพระบัญชาขององค์ชายสาม เชิญฮูหยินหารถม้าคันอื่นเถิด” พลขับสีหน้านิ่งเฉย ร่างกายกำยำ ผิวคล้ำเล็กน้อย ซึ่งฉางอีฉินไม่เคยพบมาก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ฉางอีฉินจึงรู้สึกหงุดหงิด ถูลู่ถูกังพัวพันอยู่นาน
เมื่อเยว่และซ่านเซิ่งหานเดินมาถึงหน้าประตู ก็บังเอิญเจอกับฉากนี้พอดี
ซ่านเซิ่งหานถึงแม้จะไม่ชอบฉางอีฉีนแต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังสามารถให้เกียรติต่อกัน เพียงนึกถึงเรื่องของเยว่เขาก็โมโหทันที เมื่ออารมณ์ขึ้นจึงเข้าไปดึงฉางอีฉิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “อีฉิน อย่าได้เอะอะโวยวาย”
“องค์ชาย ท่านมาตัดสินให้หม่อมฉันทีเพคะ” ฉางอีฉินโกรธขึ้งจนหน้าแดง เมื่อเห็นซ่านเซิ่งหานก็พุ่งเข้าไปโอบแนบชิดกับแผ่นอกของเขา “หม่อมฉันต่างหากที่เป็นภรรยาเอกของท่าน เหตุใดต้องลัดให้น้องเยว่ด้วย”
“เยว่มีธุระด่วน” ซ่านเซิ่งหานทำได้แค่ตบที่บ่าของน่าเบาๆ ทำให้เยว่เม้มปากขณะที่เห็นความสนิทสนมที่ไร้ช่องว่างระหว่างทั้งคู่จนแทบจะขบเคี้ยวฟัน
ฉางอีฉินก่อปัญหาอย่างไร้เหตุผล ซ่านเซิ่งหานี่ก็เริ่มจะหมดความอดทน เยว่ที่อยู่ด้านข้างกลับเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มสดใส “หากพี่สาวไม่รังเกียจพวกเราไม่สู้ร่วมทางไปด้วยกันเสีย ให้คนไปส่งท่านก่อนแล้วข้าค่อยไปต่อ ดีหรือไม่?”
เยว่ประพฤติตนเหมาะสมอยู่เสมอ รู้ว่าเมื่อใดควรรุกควรถอย
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ ฉางอีฉินจึงจ้องมองนางเขม็ง “น้องเยว่จะไปที่ใดหรือ?”
“ก็แค่ไปอาศัยอยู่ที่เรือนนอกสักระยะ” ซ่านเซิ่งหานดึงตัวนางออกเล็กน้อยเพื่อขยิบตาให้กับพลขับ เมื่อมองกลับมาที่องค์ชายสามอีกครั้งก็ดูเหมือนจะยึดตามวีธีชองเยว่มาจัดการเรื่องนี้โดยปริยาย
เมื่อขึ้นรถม้า ฉางอีฉินไม่ชอบกับการจัดแจงของเยว่ แต่นางกลับไม่ได้รังเกียจเยว่กลับกลายเป็นว่าค่อนข้างประหลาดใจด้วยซ้ำ “เรือนนอกเป็นสถานที่วังเวง แล้วเจ้าไปทำอะไรที่นั่น?”
“ก็แค่ถูกองค์ชายลงโทษ” เยว่ยิ้มด้วยความจนเกล้า ปรายตามองมือของตน “ข้าก็แค่กราบทูลเสนอองค์ชายไม่กี่ประโยค โดยหวังว่าเขาจะไม่เข้าไปสนใจเรื่องของพระชายาจิ้ง ก็เลยโดนตำหนิ”
“พระชายาจิ้ง?” ฉางอีฉินกลับนึกย้อนไปถึงคนที่เคยบังเอิญเจอที่สำนักเหยียนหยู่เก๋อ ยังจำได้ชัดเจน
ผู้คนไม่น้อยในเมืองเทียนเหยียนที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากู้อ้าวเวยใบหน้าสะสวย อีกทั้งจิตใจงดงาม อวยนางราวกับสวรรค์ชั้นฟ้า แต่ยามนี้เมื่อมองในฐานะบุคคลอันเป็นที่รักของสามีก็เปลี่ยนเป็นรสอื่น
ฉางอีฉินจิตใจดีงามมาตั้งแต่กำเนิด หากสำหรับเยว่ที่เป็นอนุฯนางก็แค่หยิ่งยโสชอบวางตนข่มท่านไปบ้าง แต่สำหรับกู้อ้าวเวยที่เป็นถึงพระชายาจิ้ง ภรรยาของอ๋องจิ้ง สตรีมีสามีที่ยามนี้ถูกเมินเฉย “ความหมายของเจ้าคือ….”
“อย่ากล่าวถึงเลย แต่พี่สาวควรวางใจ อย่างไรพระชายาจิ้งก็ไม่ได้รับความโปรดปรานนัก ในอนาคตหากหย่ากับอ๋องจิ้ง แม้จะเข้าจวนอ๋องก็เป็นได้แค่อนุภรรยาไม่สามารถแทนที่ตำแหน่งพี่สาวได้แน่นอน” เยว่ยังคงกล่าวด้วยกิริยาวาจาอันเหมาะสม
แต่เมื่อผู้ฟังได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้าดำคล้ำ “ความหมายที่เจ้าจะบอกก็คือทุกอย่างนี้ล้วนเพราะพระชายาจิ้ง?”
เยว่แสร้งจะทำเป็นอธิบายสักสองสามประโยคด้วยความตื่นตระหนก
“กลับจวนองค์ชาย!” ฉางอีฉินกลับเลิกผ้าม่านเสียก่อน พลขับด้านนอกยังคงสีหน้านิ่ง แต่ก็ยังหันรถม้าหวนกลับจวน
เมื่อมาถึงวังองค์ชายสาม ฉางอีฉินมาถึงห้องหนังสือองค์ชายสามด้วยอารมณ์คุกรุ่น
หลังจากทำการคำนับอย่างเรียบง่าย นางเดินมายังเบื้องหน้าของซ่านเซิ่งหานอย่างใจกล้าบ้าบิ่น “องค์ชาย ก่อนหน้านี้ท่านให้น้องเยว่คุกเข่าตลอดทั้งคืนก็เพราะพระชายาจิ้ง ครั้งนี้ก็เพราะพระชายาจิ้งอีกแล้วจึงกับอยากให้น้องชิงเยว่ไปเรือนนอกแสนรกร้างไร้ผู้คน เช่นนั้นท่านคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
ซ่านเซิ่งหานพับจดหมายในมือเก็บเข้าลิ้นชักอย่างดี ตบบ่าของนางด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เจ้ายังจำคำพูดที่ท่านพ่อของเจ้ากล่าวไว้กับข้าได้หรือไม่?”
ฉางอีฉินพังพาบลงที่ข้างกายแอบอิงบนตักของเขา “จำได้เพคะ ท่านพ่อปรารถนาว่าสักวันท่านจะสามารถสืบสานการรวมแว่นแคว้น ให้หม่อมฉันช่วยเหลือท่านไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม”
“เช่นนั้นเรื่องของพระชายาจิ้ง ฉางอีฉินอย่าสอดมือจะดีกว่า” ซ่านเซิ่งหานค่อยๆขมวดคิ้ว ยิ่งไม่ปรารถนาจะเห็นหญิงสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างฉางอีฉินเข้ามาเกี่ยวพันเรื่องนี้
“แต่พระชายาจิ้งทำอย่างไรกับพวกเราไว้ ท่านพ่อเคยกล่าวว่าอ๋องจิ้งเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของพระองค์ ยามนี้ท่านมีความเกี่ยวพันกับพระชายาจิ้ง ไม่ใช่เป็นการคลุกคลีกับศัตรูอย่างนั้นหรือเพคะ?” ฉางอีฉินไม่อาจเข้าใจได้ เพียงชั่วอึดใจนางพลันรู้สึกถึงวูบดับ ณ เบื้องหน้าและสลบไปโดยสมบูรณ์
ซ่านเซิ่งหานโบกมือให้คนสนิทมาพาตัวนางออกไปด้วยสีหน้าแววตามืดครึ้ม “นำตัวเยว่มา”