บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 198
บทที่ 198 หลีกทางยกให้ผู้อื่น
“พี่สาว นึกไม่ถึงว่าท่านเข้าจวนอ๋องมาไม่ถึงปีก็ตั้งท้องทายาทของท่านอ๋องเสียแล้ว ทำให้น้องอิจฉาจริงๆ” กู้จี้เหยาค่อยๆนั่งลง โบกมือสั่งให้สาวใช้ด้านหลังรีบเข้ามาเพิ่มชุดชามตะเกียบ ขณะที่ใช้ผ้าค่อยๆเช็ดมือปลายนิ้วก็ชนเข้ากับขอบโต๊ะ
ไม่ง่ายเลยที่กู้อ้าวเวยจะสามารถทานอาหารได้ด้วยตนเอง เป็นเพราะเครื่องจองจำที่สวมข้อมือก่อนหน้านี้ จึงยังอ่อนแรงอยู่บ้าง
กินข้าวก็แทบจะยกไม่ขึ้น เมื่อได้ยินที่กู้จี้เหยาเอ่ยก็ยิ่งชะลอความเร็วลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่นาน ชิงต้ายที่จัดของด้านนอกเสร็จเรียบร้อยก็เดินเข้ามา เห็นกู้อ้าวเวยใช้ตะเกียบคีบกับข้าวไม่ถึงก็รีบเข้ามาปรนนิบัติข้างกาย พลางมองไปที่กู้จี้เหยา “คุณหนูรองส่งของมอบให้ไม่น้อย ยังมีสมุนไพรด้วยเพคะ”
“อย่างนั้นหรอกหรือ?” กู้อ้าวเวยนำตะเกียบในมือส่งให้กับชิงต้าย ส่วนตนก็เพียงประคองถ้วยน้ำแกง
“แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อพี่สาวมีข่าวมงคลเช่นนี้ ข้าที่เป็นน้องสาวผู้แสนดีก็ต้องแสดงตัวให้เหมาะสม” กู้จี้เหยาภายนอกกล่าวยิ้มแย้มแต่เนื้อในกลับไม่ยิ้ม
ชิงต้ายคีบข้าวป้อนเข้าปากกู้อ้าวเวย ชามตะเกียบที่อยู่ตรงข้ามได้ร่วงหล่นที่ตรงหน้ากู้จี้เหยา
กู้อ้าวเวยกลับมองเห็นไม่ชัด เพียงซดน้ำแกงไก่ดำหมดถ้วยจึงได้ยกมือบอก “ชิงต้าย วันพรุ่งเจ้าไม่ต้องให้คนเข้ามาที่วิหารเฟิ่งหมิงแล้ว สายตาข้ามองเห็นไม่ชัดไม่สะดวกรับรองแขก”
“เพคะ” ชิงต้ายค้อมกายเล็กน้อย
คำเอ่ยนี้เหมือนกับให้กู้จี้เหยาได้ยินโดยตรง
หน้าถอดสีไปในทันที กู้จี้เหยาอยากจะระบายโทสะ ทว่าหลานเอ๋อร์ที่ติดตามมาด้วยรีบกดข้อมือนางเอาไว้
จึงวางตะเกียบลงจนเกิดส่งเสียงดังเล็กน้อย กู้อ้าวเวยนำผ้ามาเช็ดมือแล้วมองกู้จี้เหยาด้วยรอยยิ้มที่เจืออยู่ตรงมุมปาก หากไม่ใช่ว่าดวงตาคู่นั้นไร้ความเจิดจรัส กู้จี้เหยาคงคิดว่านางไม่ได้ตาบอด
“จี้เหยามาที่นี่เพียงแค่มาดูว่าข้านั้นตาบอดไหม แล้วยังได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องอยู่หรือเปล่าใช่ไหมล่ะ ตอนนี้เจ้าก็น่าจะเห็นชัดแล้วว่าวิหารเฟิ่งหมิงของข้าแทบจะวังเวงไร้คนอาศัย? นางลุกขึ้นอย่างนุ่มนวล ยกมือมานวดที่บริเวณข้อมือ ถึงแม้จะถูกพันเป็นแนวด้วยผ้านุ่มๆ แต่ตรงนั้นก็ยังคงทิ้งร่องรอยเขียวช้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงรอยคล้ำใต้ตาที่ปรากฏเด่นชัดขนาดนี้
เมื่อลุกขึ้นยืนเช่นนี้ กู้จี้เหยาถึงกับตกตะลึงที่กู้อ้าวเวยคล้ายจะซูบผอมลงไปไม่น้อย
“ท่าน…”
“อย่ามัวคิดมาหาเรื่องวุ่นวายกับข้า อย่าได้ลืมว่าศัตรูร่วมกันของเจ้ากับข้าคือใคร”
กู้อ้าวเวยคลายมุมปาก ปลายนิ้วกดโต๊ะเบาๆ “หากเจ้าอยากจะได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง คืนนี้วิหารเฟิ่งหมิงจะทิ้งไว้ให้เจ้าแล้วกัน”
“พี่สาวหมายความว่าอย่างไร?” หัวคิ้วกู้จี้เหยาขมวดแน่น แม้แต่หลานเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆก็ยังมองกู้อ้าวเวยด้วยความสงสัยใคร่รู้
ใครจะไปคาดคิดว่าคนที่มองเห็นไม่ชัดจะจับปลายคางของกู้อ้าวเวยเอาไว้ ปลายนิ้วไล้ผ่านใต้ริมฝีปากของนาง “เทียนเหยียนต่างพูดกันว่ากู้เฉิงเสี้ยงได้ให้กำเนิดบุตรสาวที่งดงามถึงสองคน หน้าตาดีๆอย่างน้องสาวจะไม่ใช้ก็น่าเสียดาย หากเจ้าสามารถได้ครอบครองหลังม่านของท่านอ๋อง นั่นยังไม่ใช่เพื่ออนาคตในวันหน้าของบิดาหรือ?”
ขณะที่ถูกกู้อ้าวเวยบีบปลายคางเชิดขึ้นน้อยๆ กู้จี้เหยาพลันประหลาดใจ “ท่านโปรดปรานอ๋องจิ้งเป็นที่สุด ทำไมวันนี้ถึงได้ใจดีหลีกทางให้ข้าเล่า?”
“ก็แค่อยากให้เจ้าเห็นในว่าจวนอ๋องแห่งนี้ ศัตรูของเจ้าคือใครกันแน่” เมื่อสะบัดมือออก กู้อ้าวเวยค่อยวางข้อมือของตนลงในฝ่ามือของชิงต้ายพลันเคาะลงไปสองครั้งอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ชิงต้ายไม่จำเป็นต้องเอ่ยมากความ
ชิงต้ายเพียงพยักหน้าเล็กน้อยพูดตามคำของกู้อ้าวเวย “ภายในวิหารเฟิ่งหมิงนอกจากชิงต้ายแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก คุณหนูรองต้องการทำอะไรก็ตามล้วนสามารถวางใจได้อย่างเต็มที่
“กู้อ้าวเวย หรือท่านไม่กลัวว่า….”
“เจ้ากับข้าเดิมทีก็เป็นพี่น้องกัน บัดนี้ร่วมใช้สามีคนเดียวกัน สมควรจะยืนอยู่ฝ่ายไหนรอจนนานพ้นคืนนี้ไป จี้เหยาเจ้าจะเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง” มุมปากพลันยกขึ้น กู้อ้าวเวยเพียงจับมือของชิงต้ายเอาไว้แน่น เดินโซเซข้ามธรณีประตูไปแล้วแต่เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก จึงล้วงถุงใบเล็กขนาดครึ่งฝ่ามือออกมาจากอกเสื้อ
“หลานเอ๋อร์” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นเอ่ยเสียงค่อย
หลานเอ๋อร์รับสิ่งของนั้นมาด้วยความงุนงง เปิดออกมาดูภายใต้สายตาของกู้จี้เหยา ด้านใจกลับบรรจุไว้ด้วยเข็มเงินสิบเล่มและสมุนไพรเล็กๆนับสิบซอง
“พระชายา พวกนี้คือ?” หลานเอ๋อร์ถามนางอย่างใจกล้า
“เข็มเงินทดสอบพิษ ส่วนสมุนไพรใช้ถอนพิษ คอยระวังเมี่ยวหารให้ดี” กู้อ้าวเวยบีบปลายนิ้วของชิงต้ายเป็นเชิงส่งสัญญาณแล้วเดินออกไปอย่างแช่มช้า
เมื่อออกจากวิหารเฟิ่งหมิงจึงประหลาดใจกับใบไม้ที่ร่วงหล่นลงพื้น ทันทีที่เหยียบลงไปเสียงใบไม่แห้งแตกก็ดังขึ้น
เสียงใบไม้แห้งแตกกราวดังอยู่ข้างหูแต่จมูกกลับได้กลิ่นดอกไม้ที่ไม่ควรมีในฤดูนี้ กู้อ้าวเวยชะลอฝีเท้า “ดอกไม้นี่ ซ่านจินจื๋อเตรียมให้ซูพ่านเอ๋อหรือ?
“เป็นท่านอ๋องที่เตรียมไว้เพคะ” ชิงต้ายเพียงจับมือของกู้อ้าวเวยเอาไว้อย่างมั่นคง “รอคุณชายน้อยหรือคุณหนูน้อยคลอดออกมาแล้ว คุณหนูค่อยไปจากจวนอ๋องแห่งนี้ดีไหม?”
“มีแผนอยู่ แต่แค่เกรงว่าจะยาก” ในน้ำเสียงของกู้อ้าวเวยกลับจนด้วยเกล้าถึงเจ็ดแปดส่วน
ลมฤดูกาลฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นเสียดกระดูก มีเพียงกลิ่นบุปผาอ่อนๆที่มีความอ่อนโยนจางๆ นางยกมือมาวางไว้บนครรภ์ของตนเองด้วยความอับจน “หากซ่านจินจื๋อไร้เมตตาต่อข้า อยากจะแยกทางกับข้าจริงๆก็คงทำไม่ทำให้ข้าตั้งท้องทายาทของเขา
“ในเมื่อไม่อาจจากไป เหตุใดคุณหนูต้องดึงคุณหนูรองมาเป็นพวกด้วย คุณหนูรองไม่ได้ฉลาดเฉลียว ถึงแม้จะมีหลานเอ๋อร์ชี้แนะข้างกายแต่สุดท้ายก็ไม่อาจข้ามหน้าข้ามตาได้” มือของชิงต้ายสะท้านเบาๆ
ยามนี้กระทั่งหยินเชี่ยวก็ถูกส่งไปจวนตระกูลฉี นานแล้วที่หยุนฝูดูแลจัดการโรงยา ข้างหายกู้อ้าวเวยจึงเหลือชิงต้ายเพียงคนเดียว
“ส่งนางถึงเตียงซ่านจินจื๋อ แล้วซูพ่านเอ๋อจะยังปล่อยนางไปหรือ?” กู้อ้าวเวยยกโค้งมุมปากขึ้นทันใด ใบไม้แห้งใบหนึ่งบังเอิญร่วมใจกลางฝ่ามือ นางเพียงบีบใบไม้แหลกจนแหลกคามือ ขณะที่มุ่งหน้าเดินไปวิหารชิงเฟิงก็ไม่ลืมที่จะถามชิงต้าย “ซูพ่านเอ๋อย่อมไม่ต้องการให้ลูกในท้องของข้าคลอดออกมาเป็นแน่ ดังนั้นท่านอ๋องจึงได้พาข้ากลับจวน กำลังลังเลว่าจะต้องสังหารข้าไหม ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เซียวไห่ได้นำคำสั่งทหารออกไปตรวจสอบสถานที่อื่นๆ พี่น้องพบปะได้พูดคุยเรื่องนี้ ต้องดื่มน้ำเมาสักเท่าไหร่จึงจะพอล่ะ?”
“สุราได้นำไปแล้วเพคะ” ชิงต้ายยกมุมปาก ในที่สุดก็เข้าใจความหมายของกู้อ้าวเวย
รอจนเงื่อนไขของกู้จี้เหยากับซ่านจินจื๋อสุกงอมจนสำเร็จ ซูพ่านเอ๋อย่อมเห็นนางเป็นดั่งหนามทิ่มตาแน่นอน สองต่อสู้กัน กู้อ้าวเวยที่อยู่ในจวนได้รับการปกป้องการท่านอ๋องยังพอมีโอกาสรอดชีวิต
เพียงแต่ชิงต้ายกลับไม่ทราบว่ากู้อ้าวเวยวางแผนไว้เช่นนี้
ดำเนินการอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว กระทั่งชิงต้ายที่คิดว่าตนเองฉลาดเฉลียวแต่สุดท้ายแล้วก็ยังตามกู้อ้าวเวยไม่ทัน “ทำไมคุณหนูละเอียดรอบคอบได้ขนาดนี้”
“ก็แค่ความเคยชินน่ะ” กู้อ้าวเวยยักคิ้ว ชิงต้ายคล้ายไม่เข้าใจแต่ก็ยังพานางไปถึงวิหารชิงเฟิง แม้แต่สาวใช้ของที่นี่ก็ยังเยอะกว่าวิหารเฟิ่งหมิงอยู่มากโข
เมื่อพบเห็นนางแต่ละคนก็เนือยหน่ายหย่อนยานอย่างมาก เพียงนำพานางไปที่ห้องพักผ่อนด้านข้าง
พระจันทร์สีเงินแขวนอยู่ที่ขอบฟ้า กู้อ้าวเวยกลับไม่มีความง่วงแม้แต่น้อย เพียงแค่เอนครึ่งร่างพิงบนเบาะอันอ่อนนุ่มด้วยความคิดมาก
เหตุใดจึงส่งคนถึงเตียงซ่านจินจื๋อ เหตุใดความคิดของนางจึงว้าวุ่นเช่นนี้เล่า