บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 201
บทที่ 201 หวนสู่ข้อพิพาทอีกครั้ง
“คุณหนู นี่ท่านหมายความว่าอะไร” ชิงต้ายยืนอยู่ข้างกายของนาง ท่าทีไม่เข้าใจยิ่ง
“ซูพ่านเอ๋ออาศัยจังหวะนี้ออกอาการกำเริบ ชัดเจนว่าอยากฆ่าเด็กในท้องของข้าเพื่อทำยาให้กับนาง” กู้อ้าวเวยทำเพียงแหงนหน้าขึ้น บริเวณขมับและลำคอเต็มไปด้วยเส้นเอ็นสีฟ้า นางกำปลายแขนเสื้อแน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย “มาอีกแล้ว”
คิดคำนวณพันครั้งหมื่นครั้ง เหตุใดนางจึงคิดไม่ออกว่าซูพ่านเอ๋อกำลังเล่นสนุกกับหัวใจของซ่านจินจื๋อ
เหตุใดนาง…ซูพ่านเอ๋อกระดิกแค่ปลายนิ้วชี้ก็สามารถทำลายแผนการทั้งหมดของนางได้
ชิงต้ายหน้าซีดเผือด ไม่ได้คาดคิดว่าพระชายายังนึกอยากให้กู้จี้เหยาพัวพันกับซูพ่านเอ๋อ กลับคิดไม่ถึงว่าซูพ่านเอ๋อถึงขนาดใช้โอกาสนี้มาหมายปองชีวิตบุตรของพระชายา
“เอาเถิด หากกว่าเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นข้าเองก็จะไม่ให้พวกเขาตายดีแน่” นางหัวเราะเสียดสี ทำเพียงกอดปายเสาที่ส่งเข้ามาเอาไว้ในอ้อมอก และบีบกระดิ่งที่คอของปายเสาเบาๆ และมีข้อความหนึ่งแลบออกมา
ชิงต้ายไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ ทำเพียงปิดประตูและหน้าต่างทุกบานลงให้สนิทอย่างรวดเร็ว
วกกลับมาอยู่ข้างๆ กู้อ้าวเวยอีกครั้ง พลิกข้อความนั้นคลี่ออก และกล่าวอย่างเร่งรีบ “นี่คือลายพระหัตถ์ขององค์ชายสาม ความว่าทางฝั่งตระกูลหยุนให้ท่านระวังตัวให้มากๆ ยามอยู่ในจวนอ๋อง”
“อีกด้านคือไปเอายาน้ำมาแช่ไว้” กู้อ้าวเวยวางปายเสาลงบนแท่นนอน
ชิงต้ายรีบไปทำตามโดยด่วน ทำเพียงมองตัวหนังสือด้านบน ดูตะลึงเล็กน้อย “องค์ชายสามกล่าวว่า เด็กคนนี้ ไม่ต้องการ”
ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยจิกแน่นเต็มเหนี่ยว
เห็นชัดว่าองค์ชายสามไม่เชื่อถือสตรี หัวใจผู้หญิงแสนอ่อนโยน ถ้าหากไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขยังพอสามารถแข็งใจลงมือกับบิดาของเขาได้ แต่หากมีเลือดเนื้อแล้ว มาถึงจุดวิกฤติท้ายที่สุดก็มิอาจลงมืออย่างโหดเหี้ยมได้แน่
สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก ชิงต้ายทำได้เพียงกล่าวต่อไปว่า “ช่วยข้าเขียนที ต้องการหรือไม่ต้องการ อ๋องจิ้งจำต้องทำลายเอง”
“ค่ะ”ชิงต้ายเขียนด้วยน้ำยาซุปสูตรพิเศษลงไปอย่างรวดเร็ว รอจนกระทั่งหลังจากด้านบนไม่มีร่องรอยแล้วจึงเสียบมันกลับเข้าไปในกระดิ่งของปายเสาอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้เตรียมที่จะนำปายเสาออกไปในทันที
หากว่าเพิ่งนำมาได้ไม่นานแล้วก็รีบนำออกไปเสียแล้ว มันจะเป็นสิ่งที่น่าสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กู้อ้าวเวยหยุดนิ่งไม่เคลื่อนทัพ กลับคิดกวนน้ำในจวนอ๋องให้ขุ่นโดยการส่วนตัว
ต่อให้เจ้า…ซูพ่านเอ๋อกล้าดีสังหารลูกในท้องไปแล้วมันจะอย่างไร อย่าลืมกู้จี้เหยาคนนั้นเชียว
……
พระจันทร์ขึ้นคล้อยเหนือศีรษะ ท่ามกลางลานหลักเงียบสงัดยิ่ง
ส่วนในห้อง ซูพ่านเอ๋อรอจนกว่าซ่านจินจื๋อออกไปแล้วจึงหยัดกายลุกขึ้นนั่งบนแท่นนอน กระแอมไอเบาๆ หลายครั้งอย่างอดไม่ได้ ทำเพียงโบกมือให้กับจิ่นซิ่ว “ท่านอ๋องไปวิหารเฟิ่งหมิงแห่งนั้น หรือว่าห้องหนังสือกันแน่”
“ท่านอ๋องไปห้องหนังสือ และปล่อยตัวหมอยาคนนั้นออกมาด้วย คล้ายกับมีใจจะสังหารพระชายา”
จิ่นซิ่วกระตุกเปิดบานหน้าต่างออกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าด้านนอกไม่ได้มีใคร คราวนี้จึงเอ่ยต่อ “วันนี้คุณหนูกระอักเลือดท่วมร่างท่านอ๋อง สันนิษฐานว่าท่านอ๋องคงไม่อาจนั่งดูดายไม่แยแสได้หรอก”
ซูพ่านเอ๋อกระตุกมุมปาก ทำเพียงหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาไอสองสามที สีหน้าซีดขาวนัก
จิ่นซิ่วยืนโงนเงนอยู่ด้านข้าง จู่ๆ ก็ถึงกับจำซูพ่านเอ๋อไม่ได้ ผู้หญิงขี้โรคอ่อนแอคนนั้นไปไหนเสียแล้ว
ซูพ่านเอ๋อนำเอายาต้มที่ผสมพิษเข้าไปแล้วเทลงใส่กระถางดอกไม้ด้านข้าง จากนั้นจึงยืนขึ้นข้างเตียงด้วยเสื้อตัวในเท่านั้น “กู้อ้าวเวยก็คือหนามตำใจของข้า แต่กู้จี้เหยาคนนั้นก็ช่างบังอาจเหิมเกริมนัก อาศัยช่วงที่ดวงตาสองข้างของกู้อ้าวเวยสูญเสียการมองเห็น และข้ากำลังป่วยติดเตียง คิดจะพยายามปีนขึ้นเตียงท่านพี่จื๋อสุดความสามารถ…”
“คุณหนูความหมายของท่านคือ…”
“ให้เมี่ยวหารลงมือโดยตรงไปเลย ในจวนอ๋องแห่งนี้มีนางเพิ่มขึ้นมาหนึ่ง หรือไม่มีนางสักคน มันจะแตกต่างกันตรงไหน” ซูพ่านเอ๋อกระตุกมุมปากแสยะยิ้มบาง ก่อนจะไอผสมเลือดออกมาสองที จิ่นซิ่วกุลีกุจอเข้าไปยื่นยาแก้พิษให้ แต่ซูพ่านเอ๋อกลับปัดออกเต็มแรง
ซูพ่านเอ๋อโซเซหลายก้าว จิ่นซิ่วกลับไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ทำเพียงคุกเข่าอยู่บนพื้น “ใต้เท้าเมี่ยวหารบอกว่า ถ้าหากท่านไม่ใช้ยาแก้พิษอีกละก็ กลัวว่ามันจะทำร้ายร่างกายของท่านเข้าจริงๆ”
“ไม่จำเป็น ตราบใดที่สามารถทำให้ท่านพี่จื๋ออยู่เคียงข้างกายข้าได้ ทุกอย่างก็คุ้มค่าเพียงพอแล้ว”
ซูพ่านเอ๋อถลกชายชุดขึ้น เปลือยเท้าเหยียบย่ำลงบนพรมหลายๆ รอบ จึงค่อยๆ ทรุดลงไปนั่งบนพื้นอย่างแผ่วเบา นอนฟุบตะแคงอยู่บนพื้น ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “รีบไปเรียกท่านพี่จื๋อเข้ามาเร็วเข้า บอกไปว่าข้าเจ็บจนยากจะทนไหว ไร้หนทางจะข่มตาหลับ”
“เจ้าค่ะ” จิ่นซิ่วมองดูท่าทีบ้าคลั่งของนาง ทำได้เพียงไปเร่งเมี่ยวหารและซ่านจินจื๋อมาอย่างเร่งด่วน
เป็นอีกหนึ่งคืนที่นอนไม่หลับ
หลายวันให้หลัง กู้อ้าวเวยก็เริ่มจะนอนไม่หลับด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะไม่แย่ถึงขั้นกินแล้วอาเจียน แต่กลับขาดความสนใจต่อสิ่งต่างๆ ไปเสียหมด
ซ่านจินจื๋ออยู่เคียงข้างซูพ่านเอ๋อทั้งวี่ทั้งวัน แต่มันก็เหมือนกับช่วงเวลายุ่งง่วนในตอนแรกที่นางมาถึงจวนอ๋องแห่งนี้ ไม่มีใครมาที่วิหารเฟิ่งหมิงแห่งนี้เลยแม้แต่คนเดียว นางกลับไม่สามารถยุ่งง่วนกับการทำยาสมุนไพรเลย และเพียงแต่ว่าวันนี้องค์ชายสี่พาลี่วานเข้ามาเยี่ยมเยียนถึงที่ นางจึงหยุดกายลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน และมาทานอาหารในห้องโถงใน
“พระชายาจิ้งพักหลังนี้พอจะมองอะไรเห็นบ้างหรือไม่”
ซ่านเชียนหยวนนำสิ่งของจำนวนไม่น้อยมาด้วย และจัดเรียงไว้เต็มห้องโถง ลี่วานได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่เอ่ยถ้อยวาจาเลยสักนิด
มองไม่เห็นสิ่งของชัดเจน กู้อ้าวเวยจึงลงนั่งอย่างว่าง่าย ยกมือขึ้นมาคว้าปลายอาภรณ์ของซ่านเชียนหยวนเอาไว้ “พอมองเห็นได้ไม่น้อยแล้ว แต่ของที่มีความเล็กละเอียดยังมองไม่เห็น หน้าของท่านข้าก็มองไม่ชัด”
“สักวันหนึ่งมันจะดีขึ้นเอง” ซ่านเชียนหยวนแย้มยิ้ม ล้วงหยกพกอันหนึ่งออกมาจากปลายอาภรณ์ และช่วยแขวนเอาไว้ที่ช่วงเอวให้กู้อ้าวเวยด้วยตัวเอง “นี่คือเครื่องประดับที่เมื่อก่อนฉีหลินนำกลับมาจากทางบิดา ด้านบนสลักนกเผิงไหลสีฟ้าอ่อน วาดลวดลายเมฆมงคล บอกว่าต้องรอจนถึงลูกของเจ้าคลอดออกมาแล้วให้เขาพกเอาไว้ มันจะนำมาซึ่งสิริมงคล”
“ถ้าอย่างนั้นข้ายังมีลูกบุญธรรมอีกหนึ่งคน ให้เขาไปตามหาอีกชิ้น” กู้อ้าวเวยคลำที่หยกพกตรงช่วงเอวเล็กน้อย ปลายจมูกเริ่มแสบผะผ่าวขึ้นมา
สหายเหล่านี้ ปฏิบัติต่อนางเหมือนญาติแท้ๆ
“มีสิ” ซ่านเชียนหยวนยิ้มพลางหยิบเงื่อนเชือกออกมาจากด้านในแขนเสื้ออีกครั้ง ก่อนวางใส่มือของนาง “บอกว่าเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายก็ใช้ได้เหมือนกันหมด เป็นของที่ฉีหลินนำมาหลังจากเปิดจุดธรรมก่อนถือศีลกินเจหนึ่งเดือนจากทางด้านท่านอาจารย์ใหญ่แล้ว”
“เขาเริ่มมีความตั้งใจในเรื่องนี้สินะ” กู้อ้าวเวยกำเชือกแน่น แต่กลับมองไม่ชัดว่ามันเป็นสีอะไร
“ฮูหยินโปรดนั่งลงเถิด” ชิงต้ายที่ดูข้างๆ มองเห็นลี่วาน จึงรีบเชิญนางนั่งลง
สายตาของกู้อ้าวเวยเย็นชานัก แต่ยังไม่ได้พูดอะไรกับลี่วาน
ล้วนเป็นซ่านเชียนหยวนและกู้อ้าวเวยพูดคุยจิปาถะกันอยู่หลายประโยค เรื่อยมาจนกระทั่งใกล้จะเสวนาจบ ซ่านเชียนหยวนจึงปริปากเอ่ยเสียงเบา “รัชทายาท หลายวันก่อนหน้านี้ถูกทอดทิ้งแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ?” กู้อ้าวเวยเริกหัวคิ้วขึ้น
“เสด็จพี่ดื่มเหล้าเมามาย ไม่เพียงแต่ดื่มเหล้าเมาแล้วไปวิวาทตามท้องถนนเท่านั้น ยิ่งกำดาบไปฟันบ่าวสองคนที่มาเตือนเขาอีกด้วย เสด็จพ่อทรงทราบเข้าก็พิโรธยิ่ง ถอดตำแหน่งรัชทายาทของเขาไปแล้ว ปัจจุบัน ตำแหน่งนี้ยังคงว่างอยู่” ซ่านเชียนหยวนพูดถึงตรงนี้ ก็เริ่มอึกอัก ทำเพียงเล่าเรื่องพอสังเขปของราชสำนักให้ฟังหนึ่งรอบเท่านั้น
ลี่วานที่อยู่ข้างๆ ขนคิ้วตั้งชัน รีบดึงเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว “พระองค์ ท่านเอาเรื่องพวกนี้มาเล่าให้พระชายาจิ้งฟัง…”
“เขาก็แค่นึกอยากให้เขาออกความคิดเห็นก็เท่านั้นเอง” กู้อ้าวเวยก็กระตุกปลายเสื้อของซ่านเชียนหยวน “ข้ายังไม่ค่อยมีความเข้าใจต่อเรื่องในราชสำนักมากเท่าใด แต่ถ้าจะให้ข้าพูด เวลานี้อย่าเพิ่งปฏิบัติการเชิงรุกก่อนจะดีกว่า”
“นี่พระชายาจิ้งคงไม่หวังให้องค์ชายของข้าต่อสู้กับอ๋องจิ้งของท่านกระมัง” ลี่วานลากซ่านเชียนหยวนมาไว้ข้างกายโดยตรง สายตาแดงก่ำ