บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 207
บทที่ 207 อยากจะคิดบัญชีกับข้า
เหล่านักล่าจากไปด้วยเสียงอันดังกึกก้อง คนรับใช้สองคนด้านหลังรีบไปเก็บกวาดเหยื่อที่เปื้อนเลือดนั่นอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหงขยุ้มแผ่นหลังของเมิ่งซู่มองดูอยู่เนิ่นนาน คราวนี้จึงจำได้ว่าเป็นกู้อ้าวเวย บัดนั้นจึงตกใจเบิกตาโตวิ่งเหยาะๆ ไปที่ข้างลำตัวของกู้อ้าวเวย รีบยอบกายลงทันที “พระชา…”
“เรียกข้าว่าเอ่อร์ชิงก็พอแล้ว” กู้อ้าวเวยยื่นถุงเงินไปให้ชิงต้ายที่อยู่ข้างๆ “ข้าไม่ได้เจอพวกเขามานานมากแล้ว คืนนี้จะไม่กลับไปบนเขาแล้วนะ”
“คุณหนูจะไม่ให้ข้าคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายจริงๆ หรือเจ้าคะ” ชิงต้ายมองดวงตาของกู้อ้าวเวยอย่างสงสัยแวบหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอก ข้าไว้ใจพวกเขาได้” กู้อ้าวเวยพยักหน้าอย่างจริงจัง
ชิงต้ายยอบกายลง กลุ่มคนรอบสารทิศต่างทยอยแยกย้ายกันไป คราวนี้กู้อ้าวเวยจึงมองไปทางเมิ่งซู่และเสี่ยวหง
เมื่อก่อนซ่านจินจื๋อไปเอะอะอยู่ที่ศูนย์การแพทย์ขนาดนั้น เมิ่งซู่และเสี่ยวหงย่อมรู้อยู่แล้วว่าท่านหมอเอ่อร์ชิงมือฉมังคนนั้นก็คือพระชายาอ๋องจิ้งในปัจจุบันนั่นเอง
เสี่ยวหงบิดขย้ำอยู่เนิ่นนานก็ยังไม่กล้าย้ายตัวออกมาเป็นปกติ มีเพียงดวงตาสองข้างที่กลิ้งกลอกไปมา มองนางอย่างถี่ถ้วน
เป็นเมิ่งซู่ที่ดึงเสี่ยวหงมายืนอยู่ข้างกาย มายังข้างลำตัวกู้อ้าวเวยพลางประสานมือเล็กน้อย “มารยาทยังมีความจำเป็นอยู่”
“ไม่ต้องหรอก วันนี้เรียกท่านเข้ามาเดิมก็ไม่ได้เรียกในนามพระชายาอยู่แล้ว” กู้อ้าวเวยโบกมือให้นาง การมองเห็นค่อนข้างพร่าเลือนเล็กน้อย ในยามปกตินางมักจะหมกตัวอยู่ในศูนย์การแพทย์ ถึงได้หาไม่เจอว่าที่นี่มีโรงเตี๊ยมที่ไหนบ้าง ทำได้เพียงเอ่ยอย่างจนปัญญา “พวกเราไปหาโรงเตี๊ยมนั่งสนทนากันสักแห่งก่อนดีกว่า”
“ดวงตาของท่าน…” เสี่ยวหงชี้ไปที่ดวงตาของนางอย่างระแวดระวัง
“เมื่อก่อนเกิดเรื่องนิดหน่อย ทำให้มองไม่เห็นชั่วคราว ทำได้แค่รบกวนเจ้าแล้ว” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปาก ยกมือขึ้นวางลูบบนไหล่ของเสี่ยวหงเบาๆ
เสี่ยวหงพยักหน้าอย่างจริงจัง และยิ่งลดระดับไหล่ข้างนั้นลงเล็กน้อย ชะลอความเร็วลงด้วย
เมื่อมาถึงห้องอันหรูหราของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง อันที่จริงก็เป็นเพียงแค่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ห้องหนึ่งเท่านั้น และไม่ได้มีการตกแต่งมากมายอะไร นอกหน้าต่างมีลมหนาวพัดโชยเข้ามาบ้าง กู้อ้าวเวยรวบผมที่พัดกระเซิงไปไว้ด้านหลังอย่างลวกๆ ทำเอาเสี่ยวหงต้องหยัดกายลุกขึ้นมา “ท่านยังคงไม่รู้จักแต่งตัวอยู่เหมือนเคย ถ้าหากเขาทิ้งไป แล้วควรจะทำอย่างไรดีเล่า”
“การยกมือขึ้นมันช่างเหนื่อยเหลือเกิน ข้าไม่อยากมวยผมน่ะ” กู้อ้าวเวยเบ้ปาก ทำเพียงคว้าขนมอบยัดเข้าไปในปากเท่านั้น
เสี่ยวหงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “บนโลกใบนี้ไหนเลยจะมีแม่นางที่ไม่รักสวยรักงาม ท่านช่างแปลกคนนัก”
“นี่สิถึงจะเป็นเสี่ยวหงคนนั้นที่ข้ารู้จัก” กู้อ้าวเวยเองก็หัวเราะตามขึ้นมาเช่นกัน เหมือนกับอยู่ในคฤหาสน์แบบเมื่อก่อนไม่ผิดเพี้ยน
กลับเป็นเมิ่งซู่ที่มองสำรวจกู้อ้าวเวยอย่างถี่ถ้วน ก่อนมุ่นคิ้วน้อยๆ “คิดไม่ถึงเลยว่าไม่ได้เจอกันไม่กี่เดือน ท่านจะผอมลงไปมาก”
การเคลื่อนไหวในมือของกู้อ้าวเวยชะงัก ทำเพียงช้อนสายตาขึ้นมองทางเมิ่งซู่เท่านั้น “พูดมาเสียยืดยาว เพียงแต่วันนี้ที่มา ข้ามีเรื่องจะขอร้องสักหน่อย”
“ข้าก็เป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง พระชายาไม่จำเป็นต้อง…”
“ข้าก็ไม่ใช่พระชายาที่ถูกหลักธรรมนองครองธรรมหรอกนะ” กู้อ้าวเวยสีหน้าเย็นชาโดยสมบูรณ์ หมดความอดทนขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ “เจ้าก็คือเพื่อนของข้า ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าพระชายาหรอก”
เมิ่งซู่รู้สึกแปลก กู้อ้าวเวยก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะไม่มีนิสัยผลีผลามขนาดนี้สิถึงจะถูก
เสี่ยวหงที่อยู่ด้านหลังเอ่ยถามอย่างแปลกๆ “เพราะอะไรหรือ”
“ดวงตาของข้านี้ มีไว้เพื่อคนที่เรียกว่าอ๋องจิ้ง ต่อให้ตอนนี้ข้าจะตั้งครรภ์ ก็เป็นการทำกระษัยยาเพื่อนวลจันทราในดวงใจของเขาก็เท่านั้นเอง” กู้อ้าวเวยหลับตาลงช้าๆ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่ดวงใจ ชาร้อนในมือคล้ายกับไม่มีความร้อนเลยสักนิด
เสี่ยวหงทำเพียงเบิกตากว้าง ส่วนเมิ่งซู่กลับมีทีท่าวับวาม “เป็นศิษย์น้องคนนั้นหรือ?”
“ใช่” กู้อ้าวเวยอดหัวเราะไม่ได้
ก็แม้แต่เมิ่งซู่ที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในเรือนยังรู้ว่าอ๋องจิ้งมีศิษย์น้องอยู่คนหนึ่ง ซ้ำยังรู้ว่าเขาปฏิบัติต่อศิษย์น้องราวกับไข่ในหิน ต้องตำหนิกู้อ้าวเวยเมื่อก่อนที่ตาไม่ถึงได้เพียงนี้ ถึงได้รั้นจะแต่งเข้าจวนอ๋องจิ้ง
และต้องโทษที่จมปลักได้ลึกขนาดนี้ ถึงขนาดมีใจหวั่นไหวกับคนที่ทำร้ายตัวเองเสียได้
เย้ยหยันกับตนเองซ้ำไปซ้ำมา เมิ่งซู่ทำเพียงปั้นหน้าขรึม กลับเป็นเสี่ยวหงที่ทนฟังต่อไปไม่ไหว “มันมากเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่ท่านเป็นชายาเอกของเขาแท้ๆ”
“ข้าเองก็ไม่ได้เตรียมตัวจะมาเป็นชายาเอกของเขาจริงๆ” พับเก็บแววเย้ยหยันตนเองบนใบหน้าเอาไว้ กู้อ้าวเวยลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองไปทางเมิ่งซู่อย่างจริงจัง “เมื่อก่อนข้าเคยอยากให้ท่านทำงานเพื่ออ๋องจิ้ง รอกระทั่งวันหน้าหลังจากได้ขึ้นเป็นขุนนางใหญ่แล้ว จะได้ทำคุณประโยชน์แก่ข้าคนเดียวเท่านั้น”
“นี่ท่านคิดบัญชีกับข้าตั้งแต่ทีแรกแล้ว?” เมิ่งซู่หรี่ตาลงเล็กน้อย
นึกถึงวันเวลาที่เคยอยู่ร่วมกันตั้งหลายวันนั้นในคฤหาสน์ เมิ่งซู่พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ไม่เลย” กู้อ้าวเวยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ในตอนนั้นข้าถูกคุณชายซู๋และซู๋ฮูหยินพาตัวกลับไป เดิมทีก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญฉากหนึ่ง ต่อมาได้พบท่านเข้า ก็แค่ไม่อยากให้ท่านเสียพรสวรรค์ไปโดยเปล่าประโยชน์”
“ถ้าอย่างนั้นเหตุใดท่านจึงเรียกข้ามายังสถานที่แห่งนี้ในต้นฤดูหนาวอย่างนี้ด้วยเล่า หรือไม่ใช่เพราะวางอุบายลับเรื่องบางอย่างอยู่” เมิ่งซู่กล่าวต่อไป
“ก็แค่เพื่อให้ความคิดเหล่านั้นของท่านเป็นจริงขึ้นมา ข้ารู้ถึงความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ของท่าน” กู้อ้าวเวยกล่าวต่อ ทำเพียงดึงจดหมายที่พกติดตัวมาด้วยออกมาเท่านั้น ด้านบนเขียนถึงสิ่งที่นางเขียนเห็นบนชั้นวางหนังสือของเมิ่งซู่อย่างแน่นขนัด
นางจำได้เกือบทั้งหมด
เมิ่งซู่มองไปที่จดหมายในมือเรียว และนิ่งเงียบเป็นเวลานาน
“คิดไม่ถึงว่าท่านจะยังจำได้อยู่ ตอนนั้นแม้แต่เจ้านายของนายน้อยยังบอกว่านายน้อยเป็นคนงี่เง่าอยู่เลย” เสี่ยวหงพุ่งเข้ามาในวงสนทนาอย่างรวดเร็วพลางหัวเราะฮ่าๆ และยิ่งมองทางเมิ่งซู่บ่อยครั้งขึ้น
นายน้อยคิดถึงคะนึงหากู้อ้าวเวยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจริงๆ ปัจจุบันนางเป็นภรรยาของชายอื่นไปแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งก็ยิ่งสูงศักดิ์เข้าไปใหญ่ ฟังจากน้ำคำแล้วก็มีท่าทีอยากจะร่วมมือหาผลประโยชน์ร่วมกัน กลัวก็แต่จะทำร้ายหัวใจของนายน้อยเอาเท่านั้นแหและ
“นายน้อยของเจ้าไม่ใช่พวกกบในกะลา ข้าเองก็แค่บังเอิญค้นพบเท่านั้นเอง” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปาก ก่อนเอ่ยคำต่อไป “หากท่านอยากจะบากบั่นในแวดวงข้าราชการเพียงลำพัง กลัวว่าต้องใช้เวลาสิบปีขึ้นไป แต่หากว่าข้าช่วยท่าน ไม่พ้นกี่ปีข้างหน้า ท่านก็จะมีแข้งขาที่แข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว”
เมิ่งซู่เหลือบสายตาขึ้นมองนาง “ทำไมท่านต้องปอปั้นข้าขนาดนี้กันแน่”
“ข้าไม่อยากให้อ๋องจิ้งขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิ” กู้อ้าวเวยสารภาพ ถ้อยวาจานี้กลับทำเอาเสี่ยวหงตกใจเสียจนหุบรอยยิ้มเสียงหัวเราะไปเลย ก็แม้แต่เมิ่งซู่ยังเลิกคิ้วขึ้น
วางแก้วในมือลง กู้อ้าวเวยเอ่ยเสียงขรึม “ข้าไม่อยากโกหกท่าน ข้าเองก็ไม่ใช่คนดีไร้เดียงสาอะไรหรอก ข้ายังอยากเอาเลือดในใจของข้ากลับคืนมา เพื่อผลลัพธ์ของการแต่งงานชั่วชีวิตนี้ อ๋องจิ้งซ่านจินจื๋อทำบาปต่อข้า และยิ่งไม่แยกแยะดีชั่วทำเพื่อซูพ่านเอ๋อ ในการส่วนตัว ข้าต้องการเขี่ยเขาตกจากแท่นบูชา เพื่อเหล่าประชา เขาไม่เหมาะสมกับใต้หล้าแคว้นชางหลานแห่งนี้”
กู้อ้าวเวยยิ่งพูดก็ยิ่งชิงชัง แต่ละคำเพิ่งความดังขึ้น ดวงตาไร้แววคู่นั้นกลับผุดเผยความรุนแรงออกมาไม่น้อย
“แต่ข้าได้ยินมาว่าอ๋องจิ้งล้างบางเด็ดขาด ในราชสำนักก็ทำคุณความดีไม่น้อยเลยทีเดียว” เมิ่งซู่ทำเพียงวางกระดาษในมือลง
“ไม่ว่าท่านจะเอนเอียงไปพึ่งใคร ก็สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง แต่ข้าได้แนะนำท่านให้กับบิดาข้าไปแล้ว เขาย่อมคอยช่วยเหลือท่านอยู่ลับๆ เป็นธรรมดา” กู้อ้าวเวยยกมุมปากกลายๆ ยิ้มพลางโบกมือ ดึงเสี่ยวหงที่อยู่ด้านหลังกายมานั่งลงอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอ่ยคำต่อ “ไม่สำคัญว่าภายภาคหน้าท่านจะจงรักภักดีต่ออ๋องจิ้ง หวังก็แต่หากท่านโบยบินได้สักวันแล้วจะจำข้าและปกป้องชีวิตข้าเอาไว้ก็พอ”
เมิ่งซู่ยิ่งสงสัยเข้าใหญ่ “ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่ทำไมท่านต้องบอกว่าจะแก้แค้นอ๋องจิ้งด้วยเล่า ไม่ใช่ว่าอยากให้ข้าเลือกข้างท่านและต่อกรกับอ๋องจิ้งร่วมกันหรอกหรือ”