บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 301
บทที่ 301 เสพติดความรัก
เมื่อออกจากจวนเฉิงเสี้ยงแล้ว สีหน้าของกู้อ้าวเวยก็ไร้แววใดๆ อีก
นางเดินทางออกจากเมืองด้วยม่านฝนโปรยปรายตลอดทาง จรไปอย่างเนิบนาบจนกระทั่งมาถึง ตระหนักเจิ้นหุน (ตระหนักผู้พิทักษ์) ที่เชิงเขาหยินซาน ร้านพักแขกนี้ผุพังไปแล้วกว่าครึ่งค่อน ทว่านางกลับยังคงไม่สนใจความเฉอะแฉะก่อนก้าวเข้าไปมองสำรวจห้องแล้วห้องเล่า
และจบลงด้วยการหยุดที่ห้องทรุดโทรมเล็กน้อยห้องหนึ่ง ทว่าเป็นห้องที่ว่างเปล่าไร้สิ่งของใดๆ
“ดูท่าสิ่งที่ท่านแม่ชอบคงไม่ใช่การฝึกปรือทักษะการแพทย์ช่วยเหลือผู้คนหรอกกระมัง” นางนั่งยองๆ ลงบนพื้น และขุดเปิดแผ่นไม้ชิ้นหนึ่งตรงพื้นขึ้น ด้านในว่างเปล่าขาวโพลน ทว่าในช่องมืดเล็กๆ นี้ กลับไม่มีแมลงใดๆ เลย มีเพียงโคลนสีเข้มที่แข็งตัวเท่านั้น
มีเพียงสถานที่ซึ่งเก็บวัชพืชพิษไว้เป็นเวลานานเท่านั้น จึงจะไม่มีแมลงใดๆ กล้ำกลายเข้ามาเลย
กู้อ้าวเวยแค่นหัวเราะเย็นๆ หนึ่งเสียง นางค้นพบสิ่งต่างๆ จำนวนไม่น้อยในห้องว่างๆ อาทิเช่น เศษซากของหนังสือพิษ ไหนจะผืนดินเล็กๆ ที่หญ้าไม่งอก และรากสมุนไพรพิษที่ฝังซ่อนอยู่ใต้ดินอีกด้วย
ผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านตัวยาสมุนไพร คงไม่อาจลบล้างร่องรอยเหล่านี้จนเกลี้ยงเกลาได้เป็นอันขาด
นางทิ้งมือที่เต็มไปด้วยโคลนตมลง ทำเพียงนั่งยองๆ แน่นิ่งใต้ชายคา
กู้เฉิงก็ยังคงโกหกตนอยู่ พูดมาก็ถูก หากว่ากู้เฉิงชอบหยุนหว่านจริงๆ คำที่ควรเอ่ยถาม ก็ควรถามว่านางใช้ชีวิตอย่างไร เหตุใดถึงถามว่านางอยู่ที่ไหน แต่กลับไม่ถามเลยว่านางสบายดีหรือเปล่า ทำเพียงเอ่ยว่าวาดหวังในนางสบายดีเพื่อให้ตนสบายใจเท่านั้นเอง
“ช่วงที่แม่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ชอบมากที่สุด ก็คือยาพิษ” น้ำเสียงแสนคุ้นเคยดังลอยมาจากชายคาบ้าน คนชุดขาวในมือกำพัดทรงกระดูกโรยตัวลงมาหยุดต่อหน้านาง
“เหตุใดท่านจึงยังตามข้าอยู่อีก” กู้อ้าวเวยชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง
“เจ้าออกมาข้างนอกเพียงลำพัง ข้าย่อมต้องดูแลเจ้าอยู่แล้วสิ” คนชุดขาวหัวเราะเบาๆ ยืนอยู่ในม่านฝนโปรย และเอ่ยวาจาต่อ “แม่ของเจ้ามิได้สืบทอดทักษะการแพทย์ใดๆ ทั้งนั้น ทว่าสืบทอดทักษะด้านพิษของตระกูลหยุน ปีนั้นมีคนตั้งไม่รู้เท่าไรแห่มาซื้อพิษกับนาง แต่นางก็ไม่ยอมขาย”
“ท่านคือใครกันแน่ เหตุใดถึงได้รู้ชัดเจนขนาดนี้”
“ข้าคือวิญญาณที่ตายอย่างไม่เป็นธรรม มาเพื่อช่วยเจ้าแก้แค้น” ในตอนนี้คนชุดขาวไม่มีรอยยิ้มแล้ว ก่อนเอ่ยต่อเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าฉลาดขนาดนี้ ข้าไม่ต้องบอกเรื่องเก่าในปีนั้นให้เจ้าฟังก็ได้ ขอเพียงเจ้ารู้ไว้ กู้เฉิงเป็นคนชั่วร้ายคนหนึ่ง”
“ถ้าอย่างนั้นในปีนั้นทำไมเด็กในท้องของท่านแม่เล็กถึงสิ้นไปแล้ว? ไม่ใช่ท่านแม่ข้าวางยาพิษจริงๆ หรอกใช่หรือไม่” กู้อ้าวเวยค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นมา “อีกอย่าง ข้าไม่เคยได้ยินท่านปู่พูดถึงเรื่องของท่านแม่เลยสักครั้ง”
“นั่นเป็นเพราะเด็กในท้องของท่านแม่เล็กตายทั้งกลมอยู่แล้ว เพียงแต่โบ้ยความผิดให้แม่เจ้า อีกอย่างแม่เจ้าถูกคนปฏิบัติอย่างทัดเทียมในตระกูลหยุน พวกนางแค่ยอมรับว่าแม่เจ้าเป็นคนของตระกูลหยุน แต่กลับไม่ชอบนาง ก็แม้แต่พิษของระฆังเหล็กยังนำไปใช้โดยอิงตามใบสั่งยาโบราณของนางเลยเชียว” คนชุดขาวยิ้มพลาง “อีกอย่าง แม่เจ้าก็ไม่ใช่คนทรงคุณธรรมแม่ศรีเรือนอะไร นางเจ๋งสุดๆ ไปเลย”
กู้อ้าวเวยยังนึกอยากเอ่ยถามคำถามอีกหนึ่งข้อ คนชุดขาวผู้นั้นพลันเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ก่อนอันตรธานหายไปในทันที
กู้อ้าวเวยถลาออกจากชายคาบ้าน แต่กลับเผชิญหน้ากับความว่างเปล่า
และเงาดำทะมึนอีกเงาก็ค่อยๆ โรยตัวลงมาข้างกายนางอย่างเงียบๆ เขาคือองครักษลับที่คอยตามไม่คลาดสายตาของซ่านจินจื๋อนั่นเอง
“ท่านอ๋องถวิลหาพระชายานัก บัญชาข้าน้อยมาส่งจดหมายฉบับนี้ให้โดยเฉพาะ” องครักษลับคุกเข่าลงในน้ำโคลน นำยื่นจดหมายส่งให้นางอย่างเคารพ ทั้งยังกำชับอีกว่า “ข้าน้อยจะรีบสั่งคนไปหยิบร่มมาให้พระชายาบัดเดี๋ยวนี้ พระชายาโปรดรอสักครู่”
“ไม่จำเป็น เจ้านำจดหมายสอบภาคฤดูใบไม้ร่วงส่งให้ท่านอ๋อง และต้องกำชับให้ด้วยว่าจดหมายฉบับกู้เฉิงเสี้ยงบิดาของข้าเป็นคนคัดเลือกมา” กล่าวจบ เมื่อนางรับจดหมายมาถือไว้ ยังเห็นว่าบนจดหมายฉบับนั้นมีหญ้าแห้งหนึ่งกิ่ง และเอ่ยหนึ่งประโยคออกมาแบบจับพลัดจับผลู “ให้ท่านอ๋องระวังตัวหน่อย กลับมาอย่างปลอดภัย”
หลังจากเอ่ยจบ นางก็แน่นิ่งไปเล็กน้อย องครักษลับคนนั้นรับจดหมายไปแล้วพลันจรลีหายไปทันที
กู้อ้าวเวยส่ายศีรษะเต็มแรง นางอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “ความรักนี้ มันทำให้เสพติดได้จริงๆ ด้วยสินะ…”
ตั้งสติสักหน่อย นางพลันเดินกลับไปพลาง และคลี่จดหมายในมือเปิดอ่านไปพลาง
ด้านในเขียนเพียงแค่เรื่องปกติของแนวชายแดน พอมาถึงแผ่นที่สอง ก็เป็นคำกำชับที่มีต่อนางมากมาย ซ้ำยังเขียนไว้หลายประโยค “บิดาเจ้าแอบให้กู้เหยียนจือชักจูงอำนาจทางทหาร องค์ชายสองแยกอำนาจทางทหารแล้ว จงใจกำจัดบุตรบุญธรรม ระวังด้วยนะ”
สีหน้าของกู้อ้าวเวยเปลี่ยนไป ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดกู้เฉิงถึงได้ดีกับตนในช่วงสองสามวันมานี้
หากว่ากู้เหยียนจือไม่พ้องใจกับเขา ถ้าอย่างนั้นลูกชายคนนี้ก็เหมือนไม่มี ดังนั้น กู้เฉิงก็คงเหลือเพียงลูกสาวสองคน กู้จี้เหยาตั้งครรภ์อยู่ ตนกลับเป็นพระชายาเอก วันหน้าเด็กคนนี้กลัวว่าจะต้องเรียกตนว่าแม่ ย่อมต้องปฏิบัติด้วยอย่างดีอย่างแน่นอน
นางพับกระดาษจดหมายในมือและยัดใส่กระเป๋า คราวนี้จึงปั้นหน้าขรึม
บิดาโกหกเต็มปากเต็มคำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมารดาก็ดี หรือเรื่องแต่งตั้งกู้เหยียนจือก็ตาม กลัวว่าจะไม่เคยบอกความจริงกับลูกสาวคนนี้อย่างนาง กู้จี้เหยาโง่เง่าไร้เดียงสา คิดว่าบิดาเองก็ไม่เคยบอกนางมาก่อนเช่นกัน
ดูแล้วเรื่องของมารดายังมีกลิ่นตุๆ อยู่อีก แต่ความหมายของคนชุดขาวเมื่อครู่นั้น แค้นนี้เขาจะต้องชำระกับบิดาให้จงได้
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีธุระของนางแล้ว
ปัจจุบันบิดากู้เฉิงเสี้ยงและหู้ปู้เซ่อหลางต่างพากันหันเหไปทางองค์ชายสอง เกรงว่ารู้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่ารัชทายาทไร้ความสามารถคนนี้จะร่วงบัลลังก์ และหันไปเชื่อมไมตรีกับลูกชายารองที่ขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิได้ง่ายกว่าแทน
รบรากันมาตั้งนาน ซ่านจินจื๋อก็เป็นเพียงหมากในมือของขุนนางใหญ่เหล่านี้ด้วยเช่นกัน
ปั้นหน้าขรึม กู้อ้าวเวยเดินไปในประตูเมือง คราวนี้จึงคิดได้ว่ายังอ่านจดหมายฉบับนั้นไม่ทันจบ จึงหยุดเพื่ออ่านโดยละเอียดหนึ่งรอบ
“ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าจะพาเจ้าไปชมทิวทัศน์ทะเลทรายเสียหน่อย”
หนึ่งประโยคแสนธรรมดา ทว่าในใจของกู้อ้าวเวยกลับมึนตื้อไปโดยไร้สาเหตุ
ฝนในเมืองเทียนเหยียนตกลงมาหนักกว่าเดิมเล็กน้อย นางซ่อนจดหมายฉบับนี้เข้าไปในอาภรณ์อย่างระวัง ก่อนทอดหายใจเบาๆ หนึ่งเฮือก
รบรากันไปมา ในที่สุดนางก็ไม่สามารถสูดลมหายใจเฮือกนั้นของลูกลงไปได้
ทว่าปัจจุบันยังอยู่ข้างกายของซ่านจินจื๋อ ก็ควรจะถนอมมันไว้อย่างระวัง คงต้องมีสักวัน นางเองก็คงจะเป็นคู่อริที่แตกคอกันกับเขาได้
หากจะบอกว่าระหว่างความรักของพวกเขามีอะไรเพิ่มมากขึ้น มันก็คงจะเป็นโอกาสกระมัง
รักหากพลาดโอกาสไป มันก็กลายเป็นไม่รักเสียแล้ว
นางค่อยๆ หลับตาลง และถอนหายใจอย่างแช่มช้า “เอาเถิด มารดาก็ดี อ๋องจิ้งก็ตาม จะต้องมาทีละเรื่อง”
ปล่อยมันลง ปล่อยมันลง นางบ่นงึมงำในใจ
เมื่อกลับมาถึงวังอ๋องอีกครั้ง สิ่งแรกที่นางทำก็คือส่งคนไปบอกยัยไง่หง ให้นางเรียกกุ่ยเม่ยกลับมา ไม่ต้องไปสนใจเรื่องของหยุนหว่านฮูหยินโดยสมบูรณ์ อย่างไรเสียก็มีคนเป็นธุระไปจัดการเรื่องให้อยู่แล้ว
นางกระทั่งเชื่อมั่นชายชุดขาวคนนั้น มากยิ่งกว่ากู้เฉิง บิดาบังเกิดเกล้าของตัวเองเสียอีก
นางกลับมาถึงวิหารเฟิ่งหมิง มองเห็นใบไม้ร่วงเต็มพื้น มีสาวใช้กำลังเก็บกวาดอยู่ นางกลับโบกมือ “ไม่ต้องกวาดแล้ว แบบนี้มันสวยดีออก”
สาวใช้ไม่กี่คนต่างยอบกลายลงเล็กน้อย และรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
กุ่ยเม่ยกระวีกระวาดกลับมา พูดเพียงแต่ว่าฝนตกลงมาได้สักพักแล้ว และยืนมองนางอยู่ริมหน้าต่าง “ตอนที่กลับมา ดูเหมือนข้าจะเห็นชิงต้ายกำลังปลอบใจจิ่นซิ่วอยู่ ซ้ำยังบอกให้ข้านำคำมาบอกให้ท่านไปดูสักเที่ยวอีกด้วย”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นถามเขา
กุ่ยเม่ยเงียบนิ่งไปสักพัก ก่อนเอ่ยคำ “ดูเหมือนว่า ซูพ่านเอ๋อจะสังหารสาวใช้สองคนในเรือนไป”
กู้อ้าวเวยชะงักฝีเท้า ลมใบไม้ร่วงดูเหมือนจะยิ่งหนาวเย็น
นางเกือบลืมไปเสียสนิท ซูพ่านเอ๋อเป็นคนพิเศษ นางสามารถเล่นสนุกกับชะตาชีวิตได้อย่างโอหัง และสามารถเล่นสนุกกับซ่านจินจื๋อได้อย่างอวดดีอีกด้วย