บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 302
บทที่ 302 หัวใจหนึ่งดวง
“จะจัดการหรือไม่” กุ่ยเม่ยเห็นว่านางนิ่งเงียบ จึงถามนาง
“อยากจัดการ แต่จัดการไม่ได้” กู้อ้าวเวยมองทางกุ่ยเม่ยอย่างตั้งใจ “จิ่นซิ่วคงจะกลัวพฤติกรรมอุกอาจของซูพ่านเอ๋อเข้าให้แล้ว จึงนึกอยากหนีไป แต่สัญญาค้าทาสของนางยังอยู่ในมือของซูพ่านเอ๋อ ซ่านจินจื๋อคงไร้หนทางร้องขอสิ่งของในมือซูพ่านเอ๋อ ข้ายิ่งทำไม่ได้เลย”
“แต่เด็กสาวคนนั้นน่าสงสารจริงๆ” กุ่ยเม่ยขมวดคิ้ว
กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ อย่างขมขื่น “ตอนนี้เจ้ามีความรู้สึกเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ แล้ว ซ้ำยังยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นแล้วด้วย”
“ไม่ใช่ว่าท่านจัดการไม่ได้หรอกหรือ”
“จัดการไม่ได้แต่ยังพอบังคับได้อยู่” กู้อ้าวเวยกระดิกนิ้วให้เขา กุ่ยเม่ยประชิดใกล้เข้ามาฟัง ก่อนพยักหน้า “มันใช้ได้ทีเดียว แต่ถ้าหากท่านอ๋องกลับมาแล้วรู้เข้า…”
“ไม่มีใครสามารถค้นพบร่องรอยของเจ้าได้ นับประสาอะไรที่ผ่านไปอีกหลายวันนี้ยังเป็นช่วงงานเลี้ยงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่การตระเตรียมหละหลวมมากที่สุดพอดี ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไปฟาดดาบใส่พวกนางสองสามที ขอเพียงแข้งขาไม่เจ็บหน้าไม่ลายพร้อย ข้าจะเอาเงินจำนวนมากให้พวกนางหนีไปอย่างใจกว้างเอง” กู้อ้าวเวยตบไหล่ของกุ่ยเม่ย ก่อนเอ่ยพลางยิ้ม “พอดิบพอดีเลย”
“แล้วจะโบ้ยความผิดให้ใคร”
“ชายชุดขาวโหวเซ่อ ในเมื่อเจ้าจดจำกระบวนท่าของสองสำนักได้ ก็ย่อมเลียนแบบได้สักสองสามดาบกระมัง” ดวงตาของกู้อ้าวเวยหรี่ลงมา “ขอเพียงซูพ่านเอ๋อไม่สบายใจ ข้าก็สบายใจมากแล้ว”
กุ่ยเม่ยกลอกตามองนาง “มิน่าท่านถึงได้โบ้ยให้โหวเซ่อ มันคือแพะรับบาปที่ดีจริงๆ”
“อย่างไรเสียซ่านจินจื๋อก็รู้ จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็คือตัวของซ่านจินจื๋อเอง ถ้าอย่างนั้นการทำร้ายคนในดวงใจของเขา ก็ย่อมใช้การได้นี่นา” กู้อ้าวเวยแค่นเสียงหัวเราะเย็นออกมา แต่ยังคงกำชับให้กุ่ยเม่ยระวังตัวอย่าได้ถูกเปิดโปง
ตนเองกลับตะลอนหาชิงต้ายและจิ่นซิ่วในเรือนอื่นจนพบ
จิ่นซิ่วกำลังร้องห่มร้องไห้ พอเห็นนางเข้ามา จึงทำเพียงรีบปาดน้ำตาและโค้งคำนับให้นาง
“พระชายา ขอท่านได้โปรด…”
“ข้าตัดสินใจให้ไม่ได้จริงๆ ถ้าหากนางรู้ว่าเจ้ามาหาข้าที่นี่ กลับไปยังไม่รู้เลยว่าจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร” กู้อ้าวเวยโบกมือ และดึงชิงต้ายมาอยู่ข้างกาย
ชิงต้ายกะพริบตาปริบๆ นึกสงสัยว่ากู้อ้าวเวยคิดจะทำอะไรอีก
อย่างไรเสียสิ่งที่คุณหนูของนางชื่นชอบมากที่สุดก็คือการยุ่งเรื่องชาวบ้าน
บัดนั้นจิ่นซิ่วสีหน้าซีดขาว อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่สักพัก กู้อ้าวเวยคิดว่าจิ่นซิ่วคนนี้ก็ช่วยคนเลวสร้างกรรม เป็นคนที่น่าสงสารยิ่งนัก แต่สุดท้ายแล้วนางก็เป็นคนสนิทของซูพ่านเอ๋ออยู่ดี ไม่ควรปักใจเชื่อโดยง่าย ดังนั้นจึงไม่ได้บอกอุบายของตนให้ฟัง
“เจ้ากลับไปอยู่กับคุณหนูของเจ้าก่อนไป รอหลังจากงานเลี้ยงฤดูใบไม้ร่วงเสร็จแล้ว ในวังอ๋องจะชำระคนบางส่วนออกไป”
กู้อ้าวเวยโบกมือให้นาง
ชั่วขณะนั้นดวงตาของจิ่นซิ่ววาววับขึ้นมา ตอบรับสองสามคำ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ชิงต้ายยังคงกลัวว่าพอจิ่นซิ่วคนนี้กลับจะถูกสั่งสอนจริงๆ ก่อนที่นางจะจากไปจึงตั้งใจฉีกทึ้งเสื้อผ้าของจิ่นซิ่ว และป้ายโคลนสีเทาให้นางเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “รอประเดี๋ยวจะบอกว่าจำนวนคนในวังอ๋องไม่พอ พระชายาให้เจ้าช่วยไปย้ายตัวยาสมุนไพร”
“แต่…” จิ่นซิ่วมองทางกู้อ้าวเวยอย่างเป็นกังวลแวบหนึ่ง แล้วถ้าหากซูพ่านเอ๋อเข้ามาหาเรื่องจะทำอย่างไร”
“ก็พูดไปแบบนี้แหละ” กู้อ้าวเวยโบกมือ และเดินออกไปโดยไม่ร่ำไร
ชิงต้ายที่อยู่ด้านหลังก็รีบตามไป จิ่นซิ่วถูโคลนตมบนใบหน้า ก่อนพยักหน้า มนุษย์ไม่รักตัวเองฟ้าดินประหัตประหาร นับประสาอะไรที่กู้อ้าวเวยรับคำด้วยตนเองอีก ชีวิตน้อยๆ ของตนก็ยังสำคัญอยู่
นางรีบกลับไปยังเรือนหลักอย่างรวดเร็ว ซูพ่านเอ๋อปฏิบัติต่อสาวใช้ข้างกายอย่างนางไม่เลวเลย เพียงแต่ได้ยินว่ากู้อ้าวเวยให้นางไป ก็ตรงมามอบรางวัลโดยการตบหูนางจนเสียงดังสนั่น เมี่ยวหารเองก็ไม่ได้เข้ามาห้าม
“เจ้าเป็นสุนัขของนางกู้อ้าวเวยหรือไง” ซูพ่านเอ๋อหัวเสีย
จิ่นซิ่วกุมหน้าพลางคุกเข่าอยู่บนพื้น “แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นพระชายา ถ้าหากข้าไม่ทำละก็…”
“พ่านเอ๋อ เรื่องนี้จะตำหนิจิ่นซิ่วไม่ได้” เมี่ยวหารมุ่นคิ้วก้าวไปเบื้องหน้า นับตั้งแต่ซูพ่านเอ๋อกลับมาจากทางด้านจูเย่นก็มีอะไรผิดปกติออกไปเล็กน้อย จึงทำได้เพียงขยิบตาให้จิ่นซิ่วรีบออกไป ส่วนตนก็ก้าวมาข้างหน้า “ท่านฆ่าสาวใช้สองคนในเรือนไป มันก็มากเกินไปหน่อยแล้ว”
“พวกนางสมควรตาย” ซูพ่านเอ๋อผลักเมี่ยวหารออก “จูเย่นจะไม่ช่วยข้าถูกกู้อ้าวเวยเจียดยาอีกแล้ว ตอนนี้เจ้ายังจะช่วยกู้อ้าวเวยพูดอยู่อีกหรือไง”
“ข้าไม่ทำหรอก” เมี่ยวหารประคองไหล่ของนางเอาไว้ “ข้าจะคอยรับใช้อยู่ข้างกายท่านตลอดไป”
คราวนี้ซูพ่านเอ๋อจึงใจเย็นลงมาบ้าง และเข้าใกล้อ้อมอกของเมี่ยวหาร ซุกฝังอยู่ในวงแขนของเขาพลางมองห้องนี้แวบหนึ่ง มันว่างเปล่าขาวโพลนไปตั้งนานแล้ว ส่วนปลายนิ้วของนางค่อยๆ เกี่ยวคอเสื้อของเมี่ยวหารออก “ข้าสงบสติอารมณ์ไม่ได้เลย ช่วยข้าที…”
เมี่ยวหารนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน แต่ยังคงกุมหัวไหล่ของนางเอาไว้ “ขอเพียงเป็นสิ่งที่ท่านปรารถนา”
“ข้าปรารถนาเจ้า และต้องการความภักดีของเจ้า เมี่ยวหาร” ซูพ่านเอ๋อขบหัวไหล่ของเขาเต็มแรง ส่วนเมี่ยวหารทำเพียงกัดฟันแน่น คล้ายกลับเรียนรู้จะเคยชินไปกับมัน
ลมใบไม้ร่วงพัดผ่าน ใบไม้ร่วงสีแดงเพลิงปลิวว่อน ภายในห้องกลับเต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์แห่งฤดูใบไม้ผลิ
จิ่นซิ่วนั่งกอดเข่าอยู่ริมประตู พนมมือขึ้นราวกับสวดภาวนา พึมพำบทพระสูตรอยู่ในใจ
นางได้ฟังมากมาย รับรู้มากมายเกินไป และก็ไม่รู้ว่าจะออกจากวังอ๋องจิ้งแห่งนี้ได้หรือไม่
ในอีกด้านหนึ่งของวิหารเฟิ่งหมิง กู้อ้าวเวยยกตั่งน้อยไปนั่งใต้ชายคา มองดูสาวใช้หลายคนกำลังยุ่งง่วนกับตัวยาสมุนไพรแทนนาง และพูดเบาๆ กับชิงต้ายถึงแผนการเมื่อครู่หนึ่งรอบ ชิงต้ายรู้สึกว่ามันไม่เลวเลย “ซูพ่านเอ๋อเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา แผนการนี้นางก็สมควรได้รับมันแล้ว”
“ได้ยินว่าห้องนางยังมีของที่ซ่านจินจื๋อมอบให้นางอยู่ไม่น้อยเลย” กู้อ้าวเวยยังกินขนมอบถั่วเขียว พลางหัวเราะเสียงเย็น
“คุณหนู นี่ท่านมีเจตนาแก้แค้น หรือว่ากำลังริษยากันแน่” ชิงต้ายแน่นิ่ง
ยัดขนมอบถั่วเขียวที่เหลือเข้าไปในปาก กู้อ้าวเวยแหงนหน้าขึ้นปะทะท้องฟ้า “หากพูดกันตามจริง ข้าก็คงริษยา”
“เรื่องก็ผ่านมาแล้ว คุณหนูยังยินดีอยู่ต่อ? ข้าดูแล้วท่านอ๋องปฏิบัติต่อท่าน….”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะอยู่ต่อหรือไม่ แต่ข้าคิดไว้แล้วว่าอยากช่วยองค์ชายสามแย่งบัลลังก์ สุดท้ายก็ต้องเป็นศัตรูกับเขาอยู่วันยังค่ำ” กู้อ้าวเวยนวดขมับ “อีกอย่าง มีซูพ่านเอ๋ออยู่ ซ่านจินจื๋อก็จะตกอยู่ในอันตราย หากให้เข้านั่งบัลลังก์จักรพรรดิ…”
“คุณหนูเป็นแพทย์ผู้รักษาจริงๆ เลย” ชิงต้ายคุกเข่าลง และแช่ชาขมให้นางหนึ่งแก้ว “ท่านมีแก่ใจคิดถึงทั่วหล้า ซ้ำยังคิดถึงเรื่องส่วนตัวอีก มันยากเหลือเกิน ไม่ขบคิดถึงตัวเองบ้างเลย ถ้าหากชอบด้วยใจจริง อยู่ต่อก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ ถ้าหากมีความรักอย่างแท้จริง ต่อให้เรื่องราวเปิดโปง พวกท่านก็แค่ทำธุรกิจต่อไปในชีวิตที่เหลืออยู่ และมันจะไม่ได้อย่างไรหรือ”
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าหลังจากซ่านจินจื๋อรู้ความจริงเข้า ยังจะสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระร่วมกับข้าได้” กู้อ้าวเวยมองนางอย่างแปลกประหลาด
ชิงต้ายกลับส่ายหน้า “ท่านอ๋องมิใช่องค์ชายหกเสียหน่อย แต่ข้าดูแล้วท่านหวั่นไหวแล้วจริงๆ แต่มนุษย์นี้หนอ ชั่วชีวิตก็มีเพียงหัวใจหนึ่งดวง พอตกอยู่ที่ตัวเขาแล้วก็หยิบขึ้นมาไม่ได้แล้ว”
ดื่มชาขมเจือรสชาติหวานเลี่ยนจางๆ หนึ่งอึก กู้อ้าวเวยจนปัญญาขึ้นมา “ดูมาแล้ว ในตอนแรกเจ้าก็มีคนในดวงใจนี่”
“เจ้าค่ะ ดังนั้นไม่มีเขาแล้ว หัวใจดวงนี้ของข้า ก็ไม่อาจตกไปที่ตัวชายอื่นใดได้อีก” ชิงต้ายทอดถอนใจเบาๆ หนึ่งเฮือก “ก็เหมือนกับหัวใจขององค์ชายหกที่ตกมาอยู่ที่ตัวท่าน ก็เอาแต่คอยเป็นห่วงอาลัย ตอนนี้หัวใจของท่านตกไปอยู่บนกายท่านอ๋อง วันหน้าถ้าหากมันสะบั้นลง เช่นนั้นก็ยากจะเสาะหาคนรักในครึ่งชีวิตหลังแล้ว”
สดับฟัง กู้อ้าวเวยก็ส่ายกระหม่อมโงนเงน “ข้ารอดูก่อนเถิด ถ้าหากวันหนึ่งข้ารักเขาอย่างน่าสังเวชจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ต้องยอมรับแล้ว”