บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 309
บทที่ 309 ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น
“ท่านรู้ว่าเรื่องนี้ซูพ่านเอ๋อเป็นคนทำ”
“ข้ารู้” ซ่านจินจื๋อวางนางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา เห็นว่าสีหน้านางซีดขาว จึงยกมือขึ้นไล้พวงแก้มของนาง กลับถูกนางตีเนียนเบี่ยงหลบ แต่ก็ไม่ได้เคืองโกรธ “เด็กไม่อยู่แล้ว ข้าไม่สามารถเติมต่อชีวิตของพ่านเอ๋อโดยเปล่าประโยชน์ได้หรอกนะ”
“วันใดที่ซูพ่านเอ๋อยังอยู่ ท่านก็จะไร้ทายาทอยู่วันยังค่ำ” กู้อ้าวเวยยิ้มเย็นสลัดมือของเขาออก “ข้าจะคอยดูว่าท่านสามารถทำร้ายชีวิตคนจนตายสักกี่มากน้อยเพียงเพื่อซูพ่านเอ๋อ”
ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้ว เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่สิ้น
นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงออกจากซูพ่านเอ๋อเพื่อมาอยู่ข้างกู้อ้าวเวย “เจ้ากำลังชังที่ข้าจิตใจโหดเหี้ยมมากเกินไป”
“ไม่กล้าชังหรอก ข้าทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว สุดท้ายไม่พ้นวัน ท่านก็ต้องอธิบายต่อกู้จี้เหยา อธิบายต่อจวนเฉิงเสี้ยงอยู่ดี” กู้อ้าวเวยแผ่ตัวลงไปโดยตรงเอาดื้อๆ “ท่านอ๋องไปยุ่งธุระก่อนดีกว่า ข้าไม่ส่ง”
ทางด้านกู้อ้าวเวยนี้ก็ปิดประตูส่งแขก ซ่านจินจื๋อย่อมคิดไม่ตกอยู่แล้ว “ในมุมมองของข้า เจ้าและกู้จี้เหยาไม่ได้เป็นพี่น้องที่รักกันกลมกลืนเท่าใดนัก และไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกู้เฉิงด้วย ไยต้องหงุดหงิดใจ”
หงุดหงิดใจตัวดีเลยแหละ!
กู้อ้าวเวยดึงผ้าน่วมและฝังร่างตัวร่างอยู่ในนั้นตรงๆ ไม่สนใจเขาอีกแล้ว
ซ่านจินจื๋อถอนใจเบาๆ หนึ่งเฮือก เอ่ยกำชับเสียงต่ำ “พระชายากักตัวอยู่ในวิหารเฟิ่งหมิง ห้ามออกไป ไม่อนุญาตให้รบกวน ดูแลเป็นอย่างดี หากมีปัญหา พวกเจ้าก็หิ้วหัวมาเฝ้า”
สี่คำสุดท้ายกระแทกเสียงดัง บรรดาสาวใช้คนรับใช้ตัวสั่นงันงก รีบพยักหน้าพัลวัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กู้อ้าวเวยจึงรู้สึกว่าทุกอย่างจมสู่ความสงบแล้ว หัวไหล่น่องขาเจ็บอย่างรุนแรง แต่กลับได้สติอย่างไม่สามารถนอนหลับได้ ทำเพียงตะกายขึ้นมาด้วยสภาพเหงื่อเต็มหน้า เรียกให้ชิงต้ายและกุ่ยเม่ยเข้ามา
ชิงต้ายเอ่ยเสียงเบา “ข้าวของในห้องซูพ่านเอ๋อไหม้จนเกลี้ยงไปแล้ว จิ่นซิ่วขอคำมั่นสัญญาจากซ่านจินจื๋อ ให้ออกจากวังอ๋องในวันเดียวกัน แม้แต่สาวใช้ไม่กี่คนในเรือนของซูพ่านเอ๋อก็ออกไปหมด ที่บังเอิญคือ เมี่ยวหารซึ่งอาศัยอยู่ในเรือนหลักเป็นเวลานานกลับมาไม่ทันดับไฟ จนทำให้ซูพ่านเอ๋อถูกไฟไหม้ที่ขาแล้วด้วย”
“เมี่ยวหารที่ภักดีต่อซูพ่านเอ๋อขนาดนั้น ถึงขนาดไม่อยู่เชียว?” กู้อ้าวเวยเลิกคิ้ว
กุ่ยเม่ยเองก็จนปัญญา “นั่นเป็นเพราะเมี่ยวหารไปวางยาให้คุณหนูรอง ตอนนั้นที่ข้าไปวางเพลิงก็ไม่ยักเห็นเขาเลย”
“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง รอยแผลไฟไหม้นี้ จะอยู่กับนางไปตลอดทั้งชาติ” กู้อ้าวเวยรับชาขมจากมือของชิงต้ายมา ทำเพียงข่มความระส่ำระสายในก้นบึ้งหัวใจเอาไว้อย่างยากลำบาก
ชิงต้ายและกุ่ยเม่ยสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้า
ถ้าไม่ใช่เพราะซูพ่านเอ๋อทำรุนแรงต่อคนใต้บัญชา เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา กู้อ้าวเวยคงไม่อาจลงมือกับนางเพียงเพราะสาวใช้ไม่กี่คนนั่นได้เด็ดขาด เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าซูพ่านเอ๋อจะถึงขั้นให้เมี่ยวหารที่คอยเฝ้าไม่คลาดสายตาไปวางพิษด้วยตัวเองเพียงเพราะต้องการทำร้ายเด็กในท้องของกู้จี้เหยา เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน
สุดท้าย เด็กในท้องของกู้จี้เหยาก็เสียไปแล้ว ซูพ่านเอ๋อก็เสียคนสนิทอย่างจิ่นซิ่วไป ยิ่งทิ้งรอยแผลดวงใหญ่บนขาไว้อีกด้วย เพียงแต่จะซัดทอดไปถึงเมี่ยวหารที่ทำงานให้นาง กลัวว่าคงจะถูกซ่านจินจื๋อลงทัณฑ์อย่างเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่
“สถานการณ์ของกู้จี้เหยาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ร้องไห้เสียงดังยิ่งนัก ไทเฮาได้ยินข่าวนี้เข้าก็ล้มป่วยลง เมื่อครู่กู้เฉิงเสี้ยงเพิ่งจะพาก็กู้ฮูหยินเข้ามา” ชิงต้ายรีบพูดอย่างรวดเร็ว
กู้อ้าวเวยมุ่นหัวคิ้วขึ้นมา “บิดา ได้ถามถึงข้าบ้างหรือไม่”
ชิงต้ายคิดเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า
แก้วในมือดูเหมือนจะหนักขึ้นเป็นร้อยกิโล กดทับจนมือของนางแทบจะยกไม่ขึ้นแล้ว
ชิงต้ายเห็นนางสั่นระริก ทำเพียงรับแก้วน้ำกลับมาวางไว้บนโต๊ะด้านข้าง
“คุณหนู…”
“ช่างเถิด อย่างไรข้าก็ยังมีพวกเจ้าอยู่นี่นา” กู้อ้าวเวยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเนิบนาบ ชิงต้ายจนปัญญา ทำเพียงประคองนางค่อยๆ นอนลง
บนโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่รักลูกตัวเอง แต่กู้เฉิงกลับไม่แสดงมันอีกเพราะหยุนหว่านฮูหยินมีคนรักอยู่แล้ว ลามมาจนถึงลูกสาวแท้ๆ คนนี้ก็ยังไม่สนใจ ตอนแรกที่นางตั้งครรภ์ กู้เฉิงก็แค่เอ่ยขึ้นมาสองสามประโยคเท่านั้นเอง แต่ในทางตรงข้ามพอเป็นกู้จี้เหยา กลับส่งข้าวของดีๆ เข้ามาในวังอ๋องเต็มรถคันแล้วคันเล่า
ทำดีกับนางหรือไม่นั้น คนส่วนใหญ่ก็มองออกทั้งนั้น
“จริงสิ กุ่ยเม่ย เมื่อก่อนสิ่งที่ข้าพูดกับเจ้าไป เจ้าแพร่ออกไปหรือยัง” กู้อ้าวเวยกวักมือให้เขา
กุ่ยเม่ยจนปัญญา “เชือกทวงชีวิตไม่ได้อยู่ในมือของท่านแล้ว หากแพร่ข่าวลือออกไปบอกว่าท่านคือเอ่อร์ชิง แล้วตอนนี้เอ่อร์ชิงเอาเชือกทวงวิญญาณไป นั่นไม่ใช่เป็นการเอาความผิดไปวางไว้บนหัวท่านหรอกหรือไง”
“แต่ข่าวที่ข้าถูกฮ่องเต้กักบริเวณ พวกเขาน่าจะรู้” กู้อ้าวเวยหัวเราะเย็นชา “หลังจากเจ้าแพร่ข่าวออกไป คิดว่าในยุทธภพจะต้องมีต้นฉบับต่างๆ นานา ทำให้คนหน้ามืดตาลาย นี่ถึงจะเป็นเป้าหมายเดิมของข้า”
กุ่ยเม่ยยังไม่ทันคิดชัดเจน แต่ต้องไปทำตามคำสั่ง
ชิงต้ายหรี่ตามองกู้อ้าวเวยสักพัก แต่กลับทำเพียงนิ่งเงียบ
กลางดึก กู้อ้าวเวยพลิกไปตะแคงมา เสียงร้องโวยวายของวิหารชิงเฟิงลอยเข้าโสตหูนางตลอดเวลา เอะอะจนนางได้ยินเป็นเสียงหลอนร้องไห้ของเด็กทารก ลุกขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อเย็นท่วมกาย
เดิมนางคิดอยากลุกไปนั่งด้านนอก หรือไม่ก็ไปปลอบขวัญกู้จี้เหยาที่วิหารชิงเฟิงสักหน่อย
แต่นึกได้ว่าตนยังถูกซ่านจินจื๋อกักบริเวณในวิหารเฟิ่งหมิงแห่งนี้อยู่ จึงออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงถอนมาตั้งหลักครั้งที่สองก่อน นางหยิบไม้เท้าด้านข้างมา เคราะห์ดีแต่คนชุดขาวผู้นั้นฟันคนละด้าน ไม่ถึงขนาดทำให้นางค้ำไม้เท้าไม่ได้เลย
ย่างออกจากประตู ก็เห็นเงาคนๆ หนึ่งกำลังพิงอยู่ที่ประตู ทำเอากู้อ้าวเวยสะดุ้งโหยง
เพ่งตามองให้ดี กู้อ้าวเวยจึงพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ เกือบเอากริชตรงช่วงเอวทิ่มเข้าไปแล้วไหมเล่า “ชิงต้าย ทำไมเจ้าถึงยังไม่ไปพักผ่อนอีก”
“รู้ว่าคืนนี้คุณหนูนอนไม่หลับ ถึงได้ตั้งใจรอโดยเฉพาะ” ชิงต้ายเปลี่ยนกล่องข้าวเล็กๆ ออกมาจากทางด้านหลัง ภายในบรรจุเหล้าเก๊กฮวยอ่อนสองจอกและขนมอบเลิศรสบางส่วน
พยุงกู้อ้าวเวยไปนั่งบนบันได เสียงร้องครวญข้างหูยังไม่จางหายไป นางกำลังจิตใจเหม่อลอย
“คนชุดขาวผู้นั้น เป็นใครกันแน่ เหตุใดคุณหนูต้องปกป้องเขา” ชิงต้ายเติมเหล้าให้นาง
กู้อ้าวเวยแน่นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปที่นางอย่างประหลาด “เจ้ามองออกแล้ว?”
“ย่อมมองออกดูแล้ว ตอนนี้ที่อยู่ของเชือกทวงชีวิตไม่แน่ชัด ข่าวลือนี้จะมีหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นไร แต่ท่านก็ดึงดันให้กุ่ยเม่ยแพร่กระจายออกไป จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างความสับสน ซ้ำยังโกยเอาเรื่องทั้งหมดมากองไว้ที่ตัวเอง นี่ไม่ใช่ว่าอยากช่วยคนชุดขาวผู้นั้นหรอกหรือ” ชิงต้ายหัวเราะ
“เจ้านี่ยังคงฉลาดจริงๆ ด้วย” กู้อ้าวเวยพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าเชื่อเขามาก ถึงแม้เขาจะหลอกใช้ข้าก็ตาม แต่เขาก็บอกเรื่องราวให้ข้าฟังไม่น้อยเลย”
“แต่ว่าคุณหนู เมื่อก่อนถึงแม้ท่านจะทำทุกสิ่งที่ปรารถนาภายใต้ชื่อของพระชายาจิ้ง แต่ก็ไม่เคยชักภัยมาถึงตัวเลย ข้าดูไม่ออกจริงๆ ว่าท่านต้องการทำอะไรกันแน่” ชิงต้ายมุ่นคิ้ว “ถ้าหากเรื่องของหยุนหว่านฮูหยินไม่ถูกเปิดโปง ฮ่องเต้ยังพอปกป้องท่านเพื่อตำรับยานั่นได้ แต่ตอนนี้…เห็นชัดว่าฮ่องเต้ประสงค์อยากหน่วงเหนี่ยวท่านไว้ แล้ววันหน้าจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้ารู้จักการเกิดใหม่สู่นิพพานหรือไม่” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมา มองดูพระจันทร์เต็มดวงบนฟากฟ้า แต่ดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรสักอย่างแล้ว
“เปลือกนอกของพระชายาจิ้งนี้ เปลือกนอกของบุตรีแห่งเฉิงเสี้ยง ข้าล้วนไม่ต้องการมันแล้วทั้งนั้น”
“เช่นนั้นความรักที่มีต่อท่านอ๋องเล่า?”
“ก็ไม่ต้องการแล้ว” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางมองทางนาง ปลายนิ้วจุดเข้าที่หน้าผากของนางเบาๆ “รอสักวันหนึ่งที่ข้าสามารถออกจากวังอ๋องอย่างสมเหตุสมผล ข้าจะพาเจ้าและกุ่ยเม่ยไปดูโลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้เอง ดีหรือไม่”