บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 312
บทที่ 312 ไม่สนใจ
เมื่อส่งจางเหยียงซาน กู้อ้าวเวยกลับรั้งฉีหรัวเอาไว้
ฉีหรัวบอกกล่าวนาพลางยิ้มแย้ม “งานแต่งของหยินเชี่ยวกับเสี่ยวหลิน ในที่สุดก็จัดการลงตัวแล้ว”
“ทำได้อย่างไรกัน?” กู้อ้าวเวยสงสัย นางยังไม่ทันจะได้ลงมือเลย
“ไยมิใช่เป็นเพราะท่านอ๋องของท่านหรือที่ไปพูดกับบิดาข้าน้อย”ฉีหรัวกระเถิบเข้าใกล้ กระซิบข้างใบหูนาง “ยังบอกอีกว่าหยินเชี่ยวเป็นน้องสาวบุญธรรมของท่าน แต่งให้กับเสี่ยวหลินล้วนถูกต้องเหมาะสม ระยะนี้เขายังไปพบหยินเชี่ยวอยู่หลายครา”
กู้อ้าวเวยตกตื่นอยู่ในใจ ไม่รู้เลยว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย
ฉีหรัวดันไหล่ของนางเบาๆ “เรื่องที่ท่านไม่รู้ยังมีอีกเยอะ หลายวันก่อนบิดาได้นำข่าวที่ บอกว่าบิดาท่านยอมจำนนเข้าร่วมกับองค์ชายรอง แอบนำบุตรสาวตระกูลสาขาของสกุลกู้แต่งให้กับองค์ชายรองเป็นสนมต้นห้อง ยังมีเงินก้อนที่เข้าเฉียนจวง(ธนาคารโบราณ) ส่วนใหญ่ล้วนเข้ากระเป๋าองค์ชายรอง ที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยถึงได้ส่งมอบให้อ๋องจิ้ง”
“ปกติพ่อเจ้าไยมิใช่ว่าไม่ชอบนำเรื่องพวกนี้มาพูดกับเจ้านี่?”กู้อ้าวเวยหรี่ตามองนาง “พ่อเจ้ากล่าวโน้มน้าวถึงเพียงนี้ เกรงว่าท่านอ๋องไปแล้วคงไม่มีใบหน้าใหญ่โตเพียงนั้น”
ฉีหรัวที่ถูกพูดจี้ใจดำเพียงแต่อับจนปัญญา “ไม่มีหนทาง ข้าน้อยได้ข่าวว่าฉีหยู่กลับมาแล้ว ยังแต่งให้กับคหบดีที่ร่ำรวย หากรอจนนางกลับมา สำนักเหยียนหยู่เก๋อย่อมหลุดมือข้าน้อยเป็นแน่แล้ว”
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วนิ่วหน้า เกือบจะลืมไปแล้วว่ายังมีฉีหยู่ด้วย
“เจ้าใช้ยาที่ข้าเคยให้ครั้งก่อนแล้ว?” กู้อ้าวเวยกระซิบถามนาง
ฉีหรัวผงกศีรษะ “ข้าน้อยไร้หนทางจริงๆ”
กู้อ้าวเวยในยามนี้ไม่รู้ควรพูดอย่างไรดี แต่ถ้าหากทำให้ฉีหรัวเดือดเนื้อร้อนใจ นางไม่อาจลงมือตามแผนขั้นต่อไปแล้ว
“ดังนั้น ตอนนี้เจ้ากำลังช่วยท่านอ๋องถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร?” ครานี้กู้อ้าวเวยเป็นฝ่ายกระซิบ
“มีข้อมูลบางส่วนที่ข้าน้อยช่วยเป็นธุระ แต่บางข้อมูลที่สำคัญๆยังคงอาศัยบิดาเขียนจดหมาย” ฉีหรัวแบสองมือแสดงให้เห็นว่าตนเองสามารถช่วยกู้อ้าวเวยได้เพียงเท่านี้
กู้อ้าวเวยผงกศีรษะ ตบเข้าที่ไหล่ของนางเบาๆ “งานแต่งจะจัดขึ้นเมื่อใด?”
“เป็นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า อีกไม่กี่วันก็เป็นงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง ถัดจากงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงไม่กี่วันก็เป็นฤดูหนาวแล้ว ไม่ง่ายดายที่จะจัดงาน” ฉีหรัวส่งยิ้มให้นาง กู้อ้าวเวยกับชิงต้ายจึงโล่งอกได้ในที่สุด
งานแต่งของหยินเชี่ยว จะร้ายดีอย่างไรก็สำเร็จลุล่วงแล้ว
ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ค่อนวัน ฉีหรัวก็ถูกข้ารับใช้ตระกูลฉีมาตามกลับ ภายในเรือนอันใหญ่โตจึงเหลือเพียงกู้อ้าวเวยกับชิงต้ายเพียงสองคน ดูเหมือนเมื่อสักครู่เพิ่งจะพูดถึงงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง ชิงต้ายจึงเดินก้าวขึ้นมายังเบื้องหน้ากู้อ้าวเวยในทันที “คุณหนูเจ้าคะ ช่วงงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงขาของท่านใกล้จะหายดีแล้ว ข้าน้อยต้องไปตามคนจูงหยินเอ่อวิ่งสักสองสามรอบหรือไม่?”
กู้อ้าวเวยตบศีรษะ ที่เพิ่งนึกได้ว่าหยินเอ่อยังงอมืองอเท้าทำตัวเกียจคร้านอยู่ในคอกม้า จึงรีบให้ชิงต้ายไปตาม
เมื่อชิงต้ายออกไปตาม กุ่ยเม่ยกลับมาอย่างเร่งร้อนบอกว่าภายในยุทธภพยามนี้มีข่าวเล่าลือออกมาแตกต่างกัน แล้วยัดขนมอบ ร้อนๆให้นางพลางเอ่ยต่อ “ท่านเตรียมที่จะไปจากจวนอ๋องเมื่อใด?”
“เจ้าควรถามว่าเมื่อใดที่เขาจะปล่อยข้าต่างหาก” กู้อ้าวเวยที่กำลังกินขนมอบ กลับมีความว้าวุ่นใจ
หากซ่านจินจื๋อไม่ได้มีความละอายรู้สึกผิดต่อกู้จี้เหยา หรือซ่านจินจื๋อไม่ได้รักใคร่ตนขนาดนี้ ป่านนี้กู้เฉิงคงถูกลดระดับไปเป็นสามัญชนนานแล้ว ซึ่งเหล่านี้มีเพียงแค่ฉีหรัวทีรู้ ซ่านจินจื๋อมีเหตุผลมากพอที่จะจัดการเขา
เพียงแต่กู้อ้าวเวยรู้สึกกังขาเล็กน้อย เหตุใดคนชุดขาวนั่นถึงไม่สะสางเรื่องของกู้เฉิง
หรือว่า จะสะสางไปแล้ว แต่นางไม่รู้?
“ช่วยข้าไปนำตัวหลิ่วเอ๋อร์แห่งทิงเฟิงโหลวกลับมา อย่าได้ให้ผู้ใดรู้เห็น”กู้อ้าวเวยสบตามองเขา
กุ่ยเม่ยมุมปากกระตุก “ข้าน้อยติดตามท่านอ๋องยังไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้ ท่านรู้บ้างไหมระยะนี้ภายในจวนมีองครักษ์เงากี่คน? แล้วข้าน้อยจะพานางเข้ามาได้อย่างไร?”
อึ้งกิมกี่……
กู้อ้าวเวยแสร้งกระแอมไอ “แต่ข้าก็ออกไปไม่ได้นี่นา”
“แล้วท่านจะพบหลิ่วเอ๋อร์แห่งทิงเฟิงโหลวทำไม?” กุ่ยเม่ยเอ่ยถามนาง
“ข้ามีเรื่องที่ใคร่อยากถามนางสักหน่อย” นางลูบปลายจมูก ยังอยากที่จะรู้ว่าพวกนางจะทำอะไรกันแน่
“ท่านมิใช่ทำการค้ากับพวกนางหรือ? อาศัยนามของคุณหนูฉีเรียกตัวพวกนางเข้ามาก็ได้แล้ว ท่านอ๋องไม่อนุญาตให้ท่านออกไป แต่ก็มิได้วางองครักษ์เงาจับตาดูท่านในวิหารเฟิ่งหมิง เพียงส่งกำลังคนอารักขาอยู่รอบๆเท่านั้นเอง”กุ่ยเม่ยเหยียดตามองอย่างจนใจ
กู้อ้าวเวยพลันพยักหน้า “นั่นสินะ”
“เมื่อสักครู่หลังจากที่คุณหนูฉีพูดถึงเรื่องของท่านอ๋อง ท่านก็เริ่มใจลอยเสียแล้ว” กุ่ยเม่ยยืนขึ้นปัดฝุ่นบนร่าง ชำเลืองมองนาง “อย่างไรท่านตอนนี้ยังไม่ตัดสินใจ ก็เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลานี้ เมื่อจากไปก็จะกลับมาไม่ได้แล้ว”
ขณะที่มองดูเงาแผ่นหลังของกุ่ยเม่ย กู้อ้าวเวยที่กำลังถือขนมอบ ไว้ในมือพลันยิ้มอ่อน “อืม ที่เจ้าว่ามาก็ไม่ผิด สมควรทะนุถนอมให้ดี”
กุ่ยเม่ยรีบออกไปจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว นางนึกใคร่ครวญ เรื่องของลูกกู้จี้เหยานางค่อนข้างไม่พอใจซ่านจินจื๋อจริงๆ แต่เมื่อนึกถึงซ่านจินจื๋อที่สามารถอดกลั้นต่อนาง ทั้งยังยอมปล่อยบิดานาง ในใจพลันรู้สึกไม่ดี
ขณะที่ใคร่ครวญนางก็เดินถึงประตูข้าง บ่าวรับใช้ล้วนรายล้อมนาง “พระชายา ท่านอ๋องรับสั่งไว้ว่าท่านไม่สามารถออกไปได้เพคะ”
“ท่านอ๋องอยู่ที่ใด?”กู้อ้าวเวยเอ่ยถามเสียงค่อย ขณะยันไม้ค้ำยังเหน็ดเหนื่อยเปลืองแรงอยู่บ้าง
สาวรับใช้ข้างกายเดินเข้ามาประคองนาง “ท่านอ๋องกำลังอยู่ที่ห้องหนังสือ ร่วมพบปะกับใต้เท้าหลายรายเพคะ”
。
“พาข้าไปที” กู้อ้าวเวยกล่าวเสียงค่อย
สาวรับใช้ค่อนข้างลำบากใจแต่เมื่อหวนนึกดู ท่านอ๋องระยะนี้ห่วงหาพระชายาอยู่เสมอ ยิ่งแสดงออกชัดเจนว่าเย็นชาต่อซูพ่านเอ๋อร์ จึงกัดฟันตอบรับ ประคองนางมุ่งไปยังห้องหนังสือ
เมื่อเดินถึงประตูห้องหนังสือ ก็สามารถได้ยินเสียงสนทนาของคนหลายคนด้านในเล็ดรอดออกมา
บาดแผลบนขาของกู้อ้าวเวยถึงแม้จะดีขึ้นไม่น้อย แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเหลือทน บ่าวรับใช้ยกม้านั่งตัวเล็กมาให้นาง นางจึงนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดินด้านนอก ทั้งยังให้คนนำน้ำแกงตุ๋นนกพิราบชามเล็กเข้ามาด้วย
ซ่านจินจื๋อเห็นกู้อ้าวเวยอยู่ก่อนแล้ว ได้สั่งการเหล่าขุนนางใหญ่อยู่หลายประโยค จึงโบกมือให้คนพานางเข้ามา
เหล่าขุนนางใหญ่เมื่อเห็นนางก็คารวะอย่างนอบน้อม แต่ในดวงตากลับรังเกียจอยู่ลึกๆ
มารดาของนางตัวมารร้ายทิ้งหายนะเอาไว้ไม่น้อย บุตรสาวผู้นี้หน้าตาแม้ไม่ถึงเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่มองอย่างไรหญิงงามก็เป็นต้นเหตุแห่งหายนะ โดยเฉพาะเชือกทวงชีวิต มิใช่สิ่งมงคลดีอันใด นำพาแต่เภทภัยมาให้
กู้อ้าวเวยเดินเข้าไปเยื้องยาตรเข้าไปด้านใน กลับไม่สนว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร
เมื่อได้นั่งลง นางมองไปหาซ่านจินจื๋อ “ท่านอ๋อง ท่านไม่จำเป็นต้องปล่อยบิดาเพื่อข้ากับกู้จี้เหยาหรอก บัดนี้เขาก็คือศัตรูของท่าน”
ฉีหรัวเมื่อสักครู่เพิ่งเข้ามาพูดถึงอยู่หลายประโยค เจ้าทราบความหมายของข้าหรือไม่?” ซ่านจินจื๋อส่งยิ้มเรียบมองนาง
“นายท่านฉีเป็นคนสุขุมรอบคอบ หลังจากที่ถูกวางยาจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อถือบุตรสาวราวสุนัขจิ้งจอกผู้นี้อย่างง่ายดาย มีเพียงอย่างเดียวที่นึกออก ก็คือท่านแนะนำให้กระทำ” กู้อ้าวเวยทอดถอนใจเสียงอ่อย “ข้าทราบว่าท่านหวังดี ข้าไม่โมโหแล้ว”
ในใจซ่านจินจื๋อสั่นไหวเล็กน้อยเดินมานั่งที่ข้างกายนาง ยกมือเชยตางของนางขึ้นมาพลางกล่าวว่า “เจ้ายินยอมให้ข้าจัดการกับบิดาของเจ้าจริงๆหรือ”
กู้อ้าวเวยเงยหน้าเล็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยความขมขื่น “หากท่านใส่ใจชีวิตบุตรสาวอย่างพวกเราทั้งสองจริง นับจากนี้ไป ท่านก็ไม่อาจเหยียบเรือสองแคมแล้ว”