บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 33
ตอนที่ 33 เพื่อข้า
เมื่อลมเย็นๆพัดผ่านไป ส่งผลให้ปลายจมูกมักจะได้กลิ่นที่ดูเหมือนกับสมุนไพร ถึงจะขมฝาดเล็กน้อย แต่กลับหอมหวานมากทีเดียว
ในขณะที่กุ้อ้าวเวยกำลังขี่ม้า ท่านชายที่พบกันโดยบังเอิญผู้นี้กลับสอนเคล็ดลับไม่น้อยแก่นาง บัดนี้ก็ได้เดินทางเคียงไหล่ไปพร้อมกับนาง มุมปากได้กระตุกรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาบาง ๆ แล้วถามนางว่า : “ตัวของเจ้ามักเต็มไปด้วยหลิ่นของโอสถ เป็นข้ารับใช้ในวังหรือหมอหลวงกันแน่?”
“ไม่ใช่เพคะ แต่หากเจ้าชอบกลิ่นนี้ ข้าจะมอบขวดหยกนี้เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณ” กุ้อ้าวเวยล้วงไปหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า แล้วโยนให้กับบุรุษไป ในนั้นมีสมุนไพรและกากยาต้มไม่น้อย กลิ่นเข้มข้น
“กลิ่นนี้มีความหอมหวานมากกว่าขมฝาด ได้อย่างไร?” ดูเหมือนว่าบุรุษจะชอบมาก จึงได้สูดดมหลายครั้ง
“ในนั้นมีเปลือกผลไม้ตากแห้ง กากยาต้มที่ผสมกัน โดยปกติแล้วเมื่อไปอยู่บนร่างกายในเวลาที่มีเหงื่อออกมากจะมีกลิ่นที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เมื่อเจ้านำกลับวังไปก็สั่งให้สาวใช้นำยัดใส่หมอนซะ จะช่วยให้หลับสนิทตลอดทั้งคืน” กุ้อ้าวเวยลองดึงเชือกบังเหียนเพื่อเลี้ยว เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าใกล้ค่ำลง จึงได้พูดขึ้นว่า : “วันนี้ขอบใจเจ้ามาก แต่ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเด็กน้อยที่อยู่ในบ้านจะเป็นห่วงเอา”
“ได้” บุรุษปิดกล่องไม้ลง แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ
กุ้อ้าวเวยยังไม่กล้าที่จะควบม้าเร็วนัก จึงได้แต่ควบไปยังทางที่เพิ่งจากมาอย่างช้าๆ นางมักชอบลูบไล้ไปบนขนสีแดงบนตัวม้า บุรุษมองไปยังแผ่นหลังของนาง จึงได้ตามไป
เมื่อทหารม้าชราเห็นกุ้อ้าวเวยจึงรีบออกมาต้อนรับทันที หยินเชี่ยวและชิงต้ายที่กินของว่างที่นางพามาจนหมดเกลี้ยงอยู่ใต้ต้นไม้ด้านข้าง เมื่อเห็นนางกลับมา จึงได้รีบถือของว่างที่เหลือเดินเข้ามาทันที
นางจปัญญา แต่กลับยังไม่ลงจากม้า จึงได้ทำการกระทำที่อันตราย โดยการยื่นมือยาวออกไปป้อนขนมทอดน้ำตาลให้แก่นาง นางเลียมุมปาก แต่ก็ยังไม่อ้าปาก จนได้ยินเสียงตะโกนดังเข้ามาในหู : “เวยเอ๋อ! เจ้าเป็นถึงพระชายา ไปทรงม้าเช่นนี้เหมาะสมได้อย่างไร!”
กุ้อ้าวเวยรีบจับเชือกบังเหียนไว้แน่น หยินเชี่ยวและชิงต้ายต่างก็เก็บของกันอย่างลุกลี้ลุกลน จากนั้นก็หันไปทำความเคารพต่อกุ้เฉิงที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่สองสามคนอย่างเชื่อฟัง : “คุณท่าน”
กุ้เฉิงสวมเครื่องแบบอย่างเป็นทางการ ส่วนขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างกายก็ล้วนแล้วแต่มองมาทางนาง
“ท่านพ่อ” กุ้อ้าวเวยจึงได้ก้มหัวทำความเคารพอยู่บนหลังม้า ขาทั้งสองข้างกลับหนีบตัวม้าไว้ แล้วก็พาเดินเล่นตรงไปยังอีกด้าน : “ท่านอ๋องรอข้าอยู่ ข้าต้องไปก่อนแล้วเพคะ”
คนฝั่งนี้มากมายนัก พูดได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด ขอแค่เพียงหนีออกไปได้เร็วๆก็เพียงพอแล้ว
“เวยเอ๋อ!” กุ้เฉิงมองไปทางนางที่ยังคงกล้าหาญชาญชัยควบม้าเดินเล่นต่อไป จึงได้บันดาลโทสะออกมาจนหน้าดำหน้าแดง
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สองสามคนที่อยู่ด้านข้างก็ได้หันไปปลอบประโลมกุ้เฉิง : “พระชายาจิ้งอายุยังน้อยนัก แต่เพียงทรงม้าเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรพะยะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตได้อย่างไร!” กุ้เฉิงเอามือกุมหน้าอก เมื่อเห็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากมาย ณ ที่แห่งนี้ กลับไม่ได้ถ่อมตนแต่อย่างใด
อ๋องจิ้งอยู่กับนางสนม เขาคาดไม่ถึงว่าลูกสาวนางนี้จะมีอารมณ์มาทรงม้าอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้!
หยินเชี่ยวและชิงต้ายรีบจ้ำอ้าวตามกุ้อ้าวเวยไปในทันที เมื่อมาถึงด้านข้างของป่า พวกนางก็ได้หยุดลง แล้วหัวเราะออกมาพักใหญ่
บุรุษที่อยู่ในป่าได้เห็นเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็นำกล่องไม้เก็บไว้ในอ้อมแขน แล้วตามพวกนางไป จนกระทั่งพวกนางเดินตรงไปยังเนินที่อยู่ด้านข้างของสนามล่าสัตว์ จึงได้จากไปอย่างเงียบๆ
เมื่อซ่านจินจื๋อเห็นกุ้อ้าวเวย กุ้อ้าวเวยกำลังควบม้าอย่างระมัดระวังวิ่งออกมาจากในป่าด้านข้าง ดวงตาคู่นั้นจึงได้กวาดไปรอบทิศทางบนเนินเขา สุดท้ายก็มาจบลงบนร่างกายของเขา จึงได้ลงจากหลังม้าอย่างระมัดระวัง หยินเชี่ยวและชิงต้ายสาวน้อยทั้งสองคนจึงรีบวิ่งมาประกบซ้ายขวาอย่างลุกลี้ลุกลน
ท่าเช่นนี้นางยังสามารถลงมาได้หรือ?
ซ่านจินจื๋ออดที่จะมองไปทางอากัปกิริยาน่าขบขันของนางไม่ได้
“พระชายาจิ้งน่ารักมากใช่ไหม?” ท่านชายชุดขาวยิ้มบางๆออกมา
“ไม่สู้เท่าตอนที่เจ้ารวบตัวนางหรือ?” ซ่านจินจื๋อยิ้มเยาะเย้ยออกมา
“ข้าไม่กล้า นี่เป็นถึงพระชายาจิ้งเชียวนะ แต่ข้าเป็นเพียงแม่ทัพเท่านั้น” ท่านชายชุดขาวโบกมือไปมา แต่ซ่านจินจื๋อกลับยิ้มไม่หยุด
กุ้อ้าวเวยเดินขึ้นมาสองสามเก้า จากนั้นก็นั่งลงข้างกายเขา ฝ่ามือแดงก่ำ รองเท้าเปื้อนไปด้วยโคลน แต่นางกลับไม่สนใจสักนิด นอกจากยื่นหน้าเข้ามาสำรวจอย่างเงียบๆ : “ท่านอ๋อง ท่านชายชุดขาวที่อยู่ข้างกายเจ้าผู้นั้นเป็นแม่ทัพเซียวหรือ? ได้ยินมาว่าเขาร่ำเรียนวิชาแพทย์มาจากบรรพบุรุษ สืบต่อมาจากรุ่นพ่อของเขาที่สละตำราเรียนแล้วเอาดีด้านการรบ ในบ้านน่าจะมีตำราทางการแพทย์อยู่ไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?”
“ได้ยินมาจากที่ไหนกัน?” ซ่านจินจื๋อกลับเห็นดวงตาของนางเปล่งประกายเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“ชิงต้ายบอกเพคะ อีกทั้งนางยังบอกอีกว่าท่านอ๋องกับเขาเป็นเพื่อนรักกัน หากท่านอ๋องช่วยเรื่องนี้แก่หม่อมฉัน ต่อจากนี้ไปหม่อมฉันจะได้รักษาแม่นางพ่านเอ๋อได้ดีมากยิ่งขึ้น” กุ้อ้าวเวยกระพริบตาปริบๆ จนลืมความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นระหว่างนางและซ่านจินจื๋อก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น
“ก็ได้ ตำราเก่าแก่ในบ้านของข้าไม่มีใครอ่านอยู่แล้ว” ท่านชายชุดขาวหันกลับมา กุ้อ้าวเวยเจอกับเขาเมื่อวานครั้งหนึ่งแล้ว แต่วันนี้นางเพิ่งรู้ว่าเขาร่ำเรียนวิชาแพทย์มาจากบรรพบุรุษด้วย
กุ้อ้าวเวยจึงได้รีบมานั่งด้านข้างของเขาทันใด พร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปาก จนถึงขั้นรินเหล้าแก้วหนึ่งเพื่อเขาด้วยตัวเอง : “แม่ทัพเซียวพูดจริงใช่หรือไม่เพคะ? อย่าโกหกนะเพคะ”
แม่ทัพเซียวถือโอกาสหันไปมองซ่านจินจื๋อแวบหนึ่ง ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางกระตือรือร้นต่อผู้อื่น จึงเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในใจเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือขึ้นไปคว้านางกลับมา : “พระชายาผู้สง่างาม มันใช้ได้ที่ไหนกัน”
“ความเหมาะสมไม่สำคัญแล้ว ตำราเก่าแก่นั้นสำคัญยิ่งกว่า” กุ้อ้าวเวยยังคงกลับมานั่งข้างกายซ่านจินจื๋ออย่างว่าง่าย แต่ในหัวสมองกลับคิดแต่เรื่องตำราเก่าแก่ในบ้านของแม่ทัพเซียว
แม่ทัพเซียวผู้นี้มีนามว่าเซียวไห่ เกิดในครอบครัวขุนนาง คนในบ้านอยู่ในวงการราชการ แต่เขาและน้องชายอีกสองสามคนได้เข้ามาเป็นทหารในพระราชวัง ตำแหน่งแม่ทัพนี้ของเขาก็เป็นเพียงการแต่งตั้งขึ้นมาอยากหลอก ๆเท่านั้น หากมีเรื่อง เขาคงรีบถอดหมดทหารแล้วจากไป โดยปกติแล้วก็มักใส่ชุดขาวเดินล่องลอยไปรอบ ๆ ไม่มีความเป็นแม่ทัพเลยสักนิด
สิ่งสำคัญเลยคือรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา มีกี่คนแล้วที่คิดว่าเขาเป็นนักวิชาการผู้อ่อนโยน
“ทำไมยังไม่เริ่มละ?” ไม่รู้ว่าทำไมซ่านจินจื๋อกลับทนดูไม่ได้กับท่าทางดูตั้งอกตั้งใจของนาง จึงทำได้เพียงแค่ถามเฉิงซานที่อยู่ข้างกาย
“ฮ่องเต้และฮองเฮามาช้าไปหนึ่งชั่วยามพะยะคะ บอกว่าไท่จื่อได้พาบุตรสาวของต้าหลี่เซ่อชิงกลับตำหนักมาด้วย ต้าหลี่เซ่อชิงร้องห่มร้องไห้เป็นการใหญ่ ฮ่องเต้จึงอยากจัดการให้เรียบร้อยก่อนแล้วถึงมาพะยะคะ” เฉิงซายพูดเสียงเบาๆ
“ไท่จื่อผู้นี้……” ซ่านจินจื๋อนวดขมับเล็กน้อย ถึงแม้จะบอกว่าไท่จื่อในปัจจุบันจะเป็นบุตรชายคนโตของเสด็จน้องก็ตาม แต่กลับมีนิสัยที่อารมณ์ร้าย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนแล้วแต่แสดงออกมา แต่นิสัยของฮ่องเต้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งแต่อย่างใด เขาจึงไม่สามารถช่วงชิงตำแหน่งไท่จื่อของเขาได้ ตอนนี้จึงได้ทะเลาะกับต้าหลี่เซ่อชิง เกรงว่าตำแหน่งไท่จื่ออาจจะรักษาไว้ไม่อยู่
เช่นนี้ก็ดี เจียงซานแห่งนี้ไม่ใช่ที่นั่งของพระราชโอรสของจักรพรรดิที่อ่อนแอขี้ขลาด
“พ่านเอ๋อ พระอาทิตย์ดวงโต อย่าออกไปตากแดดเลย” ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นต่อ
เซียวไห่มองกลับมาอย่างจนปัญญา ซ่านจินจื๋อ ผู้นี้ได้ถูกพิษของซูพ่านเอ๋อแน่ๆ เขายังคิดที่จะปลอบใจกุ้อ้าวเวยอีกหลายประโยค และในวันข้างหน้าก็อยากให้กุ้อ้าวเวยทำเพื่อซ่านจินจื๋อ
เห็นเช่นนี้ จึงทำให้แก้วสุราที่อยู่ในมือเกือบจะถือไว้ไม่อยู่
เพียงแค่เห็นตำราแพทย์ที่ไม่รู้ว่ากุ้อ้าวเวยเอามันมาจากไหน ก็ดูมีความสนใจอย่างยิ่งแล้ว