บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 353
บทที่ 353 ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ตลอดช่วงหน้าหนาว ตำหนักอ๋องจิ้งมีเสียงดังโหวกเหวกไม่จบ
นักร้องนักเต้นระบำแห่งทิงเฟิงโหลหลั่งไหลไม่ขาดสาย คณะละครช่างชวนหยวนปรับเปลี่ยนวิธีการมาพะเน้าพะนอให้กู้อ้าวเวยเบิกบานใจ แม้กระทั่งกิจการร้านชาซ่านกับสำนักเยียนหยู่เก๋อต่างก็เกยประตูเข้ามา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพระชายาจิ้งควักกระเป๋าจ่ายหนักให้คนของร้านซ่างจึงเสาะหาถุงเข็มสองใบ ทั้งยังออกเสียงให้มีเกษตรกรด้านการแพทย์ แม้แต่ร้านยาเหย้าก็ยังถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด
ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาเยือน กู้อ้าวเวยก็ไม่ต้องเอาแต่นั่งบนรถเข็นไปวันๆ ทำเพียงมานั่งอยู่โต๊ะม้าหินคอยบัญชาช่างฝีมือเจ็ดแปดคน ต้องการจะชุบชีวิตไม้เหี่ยวแห้งในเรือนคืนมา ยุ่งงานมาแล้วสองวันจนไม่มีคำจะพูดแล้ว
ส่วนท่านป้าจางวันนี้ก็นำข่าวสารมาอย่างชำนาญลู่ทาง “องค์ชายสามพระองค์ได้ส่งมอบหยุนฝูให้กับต้าหลี่เซ่อชิงแล้ว ตอนนี้ได้นำคนไปเปิดคดีให้กับตระกูลหยุนต่อสาธารณชนแล้ว ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่คุณงามความดีแห่งตระกูลหยุน จึงได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเพิ่มแล้ว”
กู้อ้าวเวยจิบชาหนึ่งคำ “อย่างนี้ก็ดี ก่อนหน้านี้ฉีหลินยังส่งคนไปหลิ่งหนานหนึ่งเที่ยวโดยเฉพาะ เขากับหยินเชี่ยวช่างฉลาดนัก ค้นพบว่าตอนนี้ยังมีคนคอยมองหลิ่นหนานตระกูลหยุน คล้ายกับว่ายังต้องการของอะไรบางอย่าง”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” ท่านป้าจางพยักหน้า “อีกอย่างองค์ชายสามพระองค์ยังตรัสว่า ท่านอ๋องจิ้งไม่เพียงแต่ไม่ปกป้องตระกูลหยุน ขุนนางใหญ่ข้างกายหลายคนก็ล้วนผิดปกติ ต้องการจะกำจัดตระกูลหยุนจนสิ้น”
พูดถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยจึงเพิ่งจะฉุกคิดขึ้นมา หน้าหนาวผ่านไป ช่วงก่อนหน้านี้ซ่านจินจื๋อเริ่มจะเข้าท้องพระโรงแล้ว บรรดาขุนนางราชสำนักคล้ายกับจะไม่พอใจอย่างมากกับพระชายาจิ้งอย่างนางคนนี้
บอกว่านางเป็นบุตรีแห่งขุนนางต้องโทษ ตอนนี้ตระกูลหยุนก็มีเกิดเรื่องอีก จึงรังเกียจที่เห็นนางอยู่ข้างกายอ๋องจิ้ง
ขุนนางใหญ่เหล่านี้ก็จ้องจะดึงนางลงจากบัลลังก์ เปลี่ยนเป็นส่งบุตรีตระกูลตนเองเข้าเรือนมาแทน
“ท่านอ๋องไม่ช่วยก็ช่างเถิด” กู้อ้าวเวยโบกมือ หยัดตัวลุกขึ้นมาเบาๆ จับลำแขนของท่านป้าจางเอาไว้ “ท่านป้า เจ้าไปบอกกับองค์ชายสาม เรื่องนี้ให้เป็นไปอย่างช้าๆ ทีละก้าว ผ่านไปอีกไม่กี่วันข้าก็จะออกจากตำหนักอ๋องได้แล้ว”
“จริงหรือ?” ท่านป้าจางเบิกตากว้าง “แต่ท่านอ๋องไม่อนุญาตให้ท่านออกไปข้างนอกนี่นา”
“ต้องจริงอยู่แล้วสิ ช่วงฤดูใบไม้ผลิชางหลานมีอุทกภัยมาก กลัวว่าซ่านจินจื๋อต้องไปจัดการคูน้ำหรือไม่ก็จัดการบ้านเมืองตามสถานที่ต่างๆ กลัวว่าคงจะมาจัดแจงข้าไม่ได้แล้ว” กู้อ้าวเวยยิ้มเบาๆ “บอกองค์ชายสามอีกว่าขอเพียงเขาช่วยข้าเปลื้องภัยอันตรายให้กับตระกูลหยุน นับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิเป็นต้นไปข้าก็จะเริ่มปูทางให้เขาด้วยใจแน่วแน่ จนกระทั่งเขาขึ้นครองราชยสมบัติ”
พอท่านป้าจางได้ยินประโยคสุดท้าย ในใจก็แปลกใจไม่น้อย องค์ชายสามกับกู้อ้าวเวยช่างปากใหญ่ใจโตนัก
แต่ว่านางก็แค่ประชาชนคนรากหญ้าคนหนึ่ง ใครจะเป็นฮ่องเต้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางเลย อีกอย่างจากคำร่ำลือหลายครั้ง นางย่อมรู้ว่าองค์ชายสามทรงคุณธรรมมีความสามารถ ทักษะการแพทย์ของกู้อ้าวเวยยอดเยี่ยม แต่ท่านอ๋องจิ้งผู้นี้กลับเอาแต่พัวพันอี๋อ๋อกับนางสนมในหน้าหนาวไม่หยุดหย่อน ยิ่งให้คนเคลื่อนย้ายลานเรือนของท่านหมอเมี่ยวหารมาเพื่อซูพ่านเอ๋ออีกด้วย
อันไหนหนักอันไหนเบา ท่านป้าจางรู้อยู่แก่ใจ
“ท่านก็รอคอยข่าวดีเถิด” ท่านป้าจางตบแปะที่มือของนาง “ข้าไปเคี่ยวซุปให้ท่านสักหน่อยแล้วกัน”
“รบกวนท่านป้าแล้ว” กู้อ้าวเวยตอบรับติดๆ มองส่งท่านป้าจางออกไปด้วยสายตา
ช่างฝีมือไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายประชิดเข้ามาอย่างอาจหาญ “พระชายา ต้นไม้ใหญ่เหี่ยวแห้งนี้อายุมากเกินไป กลัวว่า…”
“ชุบชีวิตมันให้ได้” กู้อ้าวเวยเหลียวหลังเลิกคิ้วหน่อยๆ ท่าทีจองหองแบบนั้นทำเอาช่างฝีมือไม่กี่คนตกใจไม่กล้าพูดมากความ ทำเพียงบากบั่นกับต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เท่านั้น
ส่วนเรื่องราวเหล่านี้ล้วนถูกซ่านจินจื๋อส่งคนมาสอดส่องอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทั้งบอกเล่าให้ทราบทีละข้อ
กู้อ้าวเวยกับท่านป้าจางต่างดำเนินการอย่างรอบคอบ ทั้งท่านป้าจางยังเป็นแม่นมของฉีหลิน ซ่านจินจื๋อเองก็คาดไม่ถึงว่าท่านป้าจางจะไปรายงานข่าวให้กับทางองค์ชายสาม ทุกวันรู้แต่ว่าสิ่งที่กู้อ้าวเวยทำล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องยุ่งเหยิง ส่งผลให้หัวใจทั้งดวงก็พลอยขึ้นๆ ลงๆ ตามไปด้วย
“นอกจากเรื่องเบ็ดเตล็ดเหล่านี้ วันปกตินางยังทำอะไรอีกบ้าง” ซ่านจินจื๋อไม่เงยหน้า ซูพ่านเอ๋อที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
“วันปกติ…ยังชอบพานายน้อยชิงจือไปเดินเล่นในตำหนักอ๋อง และให้กุ่ยเม่ยแบกนางวิ่งไปทุกหนทุกแห่งอีก หลายวันก่อน…” คนผู้นั้นก้มหน้าพลิกอ่านรายนามสมุดบันทึก เอ่ยออกมาทีละอย่าง
“นางเคยเอ่ยถึงตระกูลหยุนสักครึ่งเสี้ยวบ้างหรือไม่” ในที่สุดซ่านจินจื๋อก็เงยหน้าขึ้นมา
“เอ่ยถึงอยู่หลายครั้ง แต่ว่าก็แค่บ่นพึมพำตอนที่อุ้มนายน้อยชิงจือเท่านั้น”
เอ่ยถึงตรงนี้ แม้แต่ซูพ่านเอ๋อยังขมวดหัวคิ้วมุ่น เมื่อก่อนกู้อ้าวเวยคนนี้สามารถคุกเข่าเจ็ดวันเจ็ดคืน นั่งรถเข็นตลอดหน้าหนาวเพื่อตระกูลหยุน ทว่าต่อมากลับดูจองหองหยิ่งยโส ไม่ทำเรื่องราวอะไรเลย
ก็แค่ให้นางกับกู้จี้เหยาลอบต่อสู้กันลับๆ ไม่รู้จบโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น
หากว่าย้ายเมี่ยวหารจากเรือนไปจริงๆ กลัวว่าในใจของซ่านจินจื๋อยังคงไม่หือไม่อือกับนาง ตอนนี้กว่าจะยืนมาดมั่นอยู่ข้างกายซ่านจินจื๋อได้ไม่ง่ายเลย จึงทำเพียงกล่าวอย่างจนปัญญา “กู้อ้าวทำถึงขนาดนี้ จะต้องยังทำเรื่องบางอย่างในมุมมืดอีกแน่ นางไม่ใช่พวกจัดการด้วยง่ายๆ หรอก”
ซูพ่านเอ๋อไม่วางใจกับกู้อ้าวเวย แต่ซ่านจินจื๋อกลับไม่คิดเช่นนี้
กู้อ้าวเวยสูญเสียสิ่งสำคัญมากเกินไปตั้งนานแล้ว ไม่ได้ระวังรอบคอบแบบเมื่อก่อนตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยิ่งน่าเหลือเชื่อมากขึ้นทุกวัน บางครั้งหากบังเอิญพบนางในตำหนักอ๋อง กลับมีท่าทีบ้าคลั่ง หยิ่งยโสไร้เหตุผล มันกลับทำให้เขากังวลใจ
เมื่อครั้นผู้แข็งแกร่งถูกทุบทำลายหัวใจทั้งดวง นั่นก็คงเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว
“คอยมองอยู่แบบนั้นเหมือนเมื่อก่อนก็พอ คืนนี้ ก็ไปวิหารเฟิ่งหมิงเสีย” ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้น
ซูพ่านเอ๋อเกือบจะโยนของในมือออกไป แต่กลับได้ยินซ่านจินจื๋อกล่าวต่อ “ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากดูว่านางเป็นพวกจัดการง่ายหรือไม่หรอกหรือ ไม่สู้ให้ข้าไปดูด้วยตัวเองดีกว่า”
หนึ่งประโยคนี้พูดออกมาเสียจนทำเอาซูพ่านเอ๋อไม่มีอารมณ์หุนหัน ซูพ่านเอ๋อทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้
ทว่ารอจนพระอาทิตย์ตกดิน กู้อ้าวเวยได้ยินข่าวสารก็มุ่งตรงเข้านอนแต่หัววัน รอจนซ่านจินจื๋อมาตอนค่ำ นางก็นอนอยู่ท่ามกลางผ้าห่มด้วยลมหายใจสม่ำเสมอแล้ว
ซ่านจินจื๋อถอนหายใจเบาๆ โดยไม่ทิ้งร่องรอย ทำเพียงผลัดอาภรณ์ปีนขึ้นไปบนเตียง โอบนางเข้าสู่อ้อมแขนอย่างระมัดระวัง
ขอเพียงรอคอยลูกน้องของเขาหาสูตรลับของตระกูลหยุนพบ วันหน้าก็จะดีขึ้นแล้ว
หลับสบายตลอดคืน
วันถัดมาค่อยตื่นขึ้นมาอย่างสงบ พอกู้อ้าวเวยเงยหน้าก็มองสบเข้ากับดวงตาอันลุ่มลึกคู่นั้นของซ่านจินจื๋อ ส่วนในหัวสมองของนางเป็นเพียงพื้นว่างเปล่าขาวโพลน เพียงแต่ผ่านไปเนิ่นนานจึงปิดตาลงอีกครั้ง ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “กี่ยามแล้ว”
ซ่านจินจื๋อประหลาดใจที่กับความว่างายของนาง “ฟ้ายังไม่สาง”
“อืม” ตอบรับเบาๆ หนึ่งที กู้อ้าวเวยผล็อยหลับลึกลงไปอีกครั้ง ไม่แยแสต่อคนข้างกายเลยสักนิด
หัวใจของซ่านจินจื๋อกลับทรมานเหมือนว่าถูกของอะไรสักอย่างบีบเค้นอยู่
รอจนตอนที่กู้อ้าวเวยตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พระอาทิตย์ก็ขึ้นไปอยู่จุดยามสามแล้ว ซ่านจินจื๋อที่อยู่ข้างกายหายตัวไม่เหลือร่องรอยไปตั้งนานแล้ว มีเพียงปลายนิ้วที่ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวความอบอุ่นอยู่ ส่วนนอกหน้าต่างมีเสียงของพ่อบ้านดังลอยมา
“ของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของที่ท่านอ๋องบัญชาให้ส่งมอบแก่พระชายา ทั้งยังให้พระชายาพักฟื้นร่างกายอย่างดีด้วย เรื่องที่กักบริเวณนี้ก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว”
“รบกวนพ่อบ้านแล้ว” นี่คือเสียงของท่านป้าจาง
กู้อ้าวเวยค่อนข้างมึนงง ลุกขึ้นจากเตียงมาผลัดอาภรณ์ ตอนที่คลุมอาภรณ์ออกมา บนต้นไม้เหี่ยวเฉาเริ่มมีกิ่งก้านบางส่วนงอกออกมารำไร สีเขียวชอุ่มต้องตา เจือสายลมฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่นผลัดโชยเรือนผมดำขลับข้างใบหูของนาง นางแฝงรอยยิ้มหนึ่งเสี้ยว “กุ่ยเม่ย ท่านป้า วันนี้ไม่ต้องกักบริเวณแล้ว พวกเราออกไปเที่ยวเล่นทะเลสาบกันเถอะ”