บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 366
ตอนที่ 366 จิตใจคุณธรรม
ณ เวลานี้ซ่านจินจื๋อก็ยังไม่รู้เรื่องที่ซูพ่านเอ๋อทำลงไป
แต่ตอนที่ฝนเริ่มซา และเป็นตอนที่เทียนกำลังอ่อน เขาก็พอจะรู้เรื่องทั้งหมดที่กู้อ้าวเวยทำในเมืองเทียนเหยียน
เรื่องแรกพระชายาจิ้ง ที่ยุ่งกับการรักษาโรคมาหลายวันนั้นได้ผลดีขึ้น เรื่องที่สองร่างกายของนางนั้นเริ่มไม่ไหวจนต้องขอร้องให้ท่านอ๋องเข้ามาช่วย
และในกองจดหมายมากมายนั้น ก็มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ซ่อนไว้ลึกมาก และเป็นลายมือของกู้อ้าวเวยเป็นคนเขียนเอง: “อุทกภัยน้ำท่วมนั้นลำบาก,แต่ก็อย่าปล่อยให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ต้องปฏิบัติกับคนอื่นดีๆ ถึงจะได้ใจเขามา ข้าเองก็คงเตือนท่านได้เท่านี้ รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย”
คำพูดไม่กี่คำในจดหมาย แต่กลับสามารถเตือนสติของซ่านจินจื๋อได้
ถ้าหากว่าพูดถึงการทำศึกก็ต้องมีจิตใจที่แน่นิ่ง และกำจัดศัตรูเพื่อชาติบ้านเมือง ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เรื่องอุทกภัยคงจะถูกเรื่องผลประโยชน์เข้ามาครอบงำ และก็เอามาเป็นการต่อรอง
อีกด้านหนึ่ง ก็ยิ่งเป็นการเตือนเขา กู้อ้าวเวยเกรงว่าเรื่องร่างกายอ่อนแอนั้นจะไม่เป็นความจริง และที่บอกว่ารักษาเนื้อรักษาตัว ก็คงอยากจะเตือนว่า ตอนนี้ในราชสำนักนั้นได้มีคนวางแผนลงมือทำร้ายนาง ดังนั้นถึงได้ส่งจดหมายมาเตือนโดยเฉพาะ เพื่อให้เขาได้หาคนมารักษา นางและไม่มีวันยอมให้คนลักลอบทำร้ายอย่างนี้แน่นอน
เมื่อก่อนกู้อ้าวเวยเป็นคนที่ชอบรักษาโรคให้คนอื่น แต่ว่าตอนนี้กลับดูเป็นคนที่ซับซ้อนขึ้นมาก
พอนึกถึงจุดนี้ ซ่านจินจื๋อก็อดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูดออกมา : “ส่งม้าเร็วกลับไปที่เมืองเทียนเหยียน อย่างแรกที่ต้องทำคือ หาทหารฝีมือดีให้พระชายา และก็ให้เมี่ยวหารไปช่วยอีกแรง ส่วนเรื่องที่สองก็ให้เก็บเรื่องน้ำท่วมเอาไว้ให้ดี ห้ามให้ใครรู้ แล้วก็ไปตามหมอมารักษาสักสองสามคน เพียงแค่ไม่ให้โรคมันแพร่กระจาย ทุกอย่างก็จะดีเอง”
“ถ้าหากว่าพระชายาอยากรู้เรื่องนี้ละขอรับ จะให้บอกนางหรือไม่?” เฉิงซานถามขึ้น
พอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซ่านจินจื๋อก็ส่ายหน้าเบาๆ : “ก่อนหน้านี้นางเคยสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายสาม ตอนนี้ปิดนางไปก่อนจะดีกว่า”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” เฉิงซานรีบรับคำสั่งแล้วออกไปทันที
ถึงจะใช้ม้าเร็ว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองวัน และสองวันผ่านไป ประตูเล็กของตำหนักอ๋องก็เปิดออก และคำสั่งของซ่านจินจื๋อก็ได้พูดออกไป
กู้อ้าวเวยเสร้งทำเป็นนอนป่วยอยู่บนเตียง และเพื่อไม่ให้มีพิรุธ นางก็หาคนของหลิ่วเอ๋อที่พูดเก่งๆ มาคอยรับใช้ คนของเฉิงซานเลยทำได้แค่ส่งข่าวอยู่ด้านนอก
“ทูลพระชายา ท่านอ๋องมีรับสั่งให้นำผ้าไหมจำนวนยี่สิบผืน และทองคำจำนวนเงินสามพันตำลึง มาให้ขอรับ และฝ่าบาทก็ทรงมอบป้ายชื่อให้ท่านด้วยตัวเอง แถมยังพระราชทานเงินจำนวน เงินพันตำลึง และได้จารึกชื่อของท่านด้วย”
กู้อ้าวเวยแกล้งทำเสียงไอสองสามทีแล้วพูดขึ้น: “เอาของพวกนี้ไปให้กุ่ยเม่ยเก็บไว้ ท่านอ๋องได้บอกอะไรอีกหรือไม่?”
“ท่านอ๋องไม่ได้พูดอะไรขอรับ เพียงแต่หวังว่าให้พระชายาดูแลตัวเอง จะได้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ”
พอได้ยินเช่นนั้น กู้อ้าวเวยก็ชักสีหน้า และจื่อที่หลิ่วเอ๋อส่งมาเพื่อการพูดก็พลันแง้มประตูออกแล้วพูดขึ้น: “พระชายาอยู่ดีๆ ก็หลับไปแล้ว ท่านไม่ต้องรอหรอก รีบกลับไปทำหน้าที่ของท่านเถอะ”
“ทำไมอยู่ดีๆ พระชายาถึงหลับไปได้ เมื่อครู่ไม่ใช่ว่า…….”
“ก็ไม่ใช่เพราะท่านบอกว่าท่านอ๋องไม่ได้พูดอะไรอีกหรือ พระชายาเลยไม่มีแรงจะฟัง ไม่มีแรงที่จะลืมตา จึงพลันหลับไป ท่านเองก็ระวังด้วย เดี๋ยวจะรบกวนพระชายาได้” จื่อก็พลันรับกล่องเข้ามาแล้วจึงปิดประตูอย่างระมัดระวัง
และสีหน้าของพวกเขาในตอนนี้นั้นดูกังวลมาก หรือว่าพระชายาจะป่วยจริง หรือท่านอ๋องจะเดาผิดไป?
พอคิดได้ พวกเขาก็ไม่กล้าจะอยู่นาน จึงรีบกลับไปรายงานเรื่องทั้งหมดนี้
และพอจื่อปิดหน้าต่างเพื่อไม่ให้ลมเข้ามา กุ่ยเม่ยก็กลับมาถึงพอดี และกำลังพูดอยู่กับกู้อ้าวเวย: “องค์ชายสามส่งคนมาบอกว่าซูพ่านเอ๋อป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้ายแรงจึงได้ขอให้ซ่านจินจื๋อไปดูอาการให้ นึกไม่ถึงว่าจะส่งคนป่วยให้…..”
ยังไม่ทันจะพูดจบ สีหน้าของจื๋่อก็เปลี่ยนไปทันที กู้อ้าวเวยก็พลันปล่อยพู่กันทันที แล้วพูดขึ้น: “ซูพ่านเอ๋อช่างเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้เรื่องเลย แถมยังทำให้เลวร้ายกว่าเดิมอีก!ข้าเองก็อุตส่าเตือนเขาแล้วหลายครั้ง แต่เขากลับยังเข้าไปยุ่งอยู่อีก แถมพวกแม่ทัพพวกนั้นยังจะฟังซูพ่านเอ๋ออีก!ช่างไม่มีโง่เขลาจริงๆ !”
จื๋อยังไม่ทันโกรธ ก็พลันถูกความโมโหของกู้อ้าวเวยทำให้ตกใจจนถอยออกไป แล้วพลันหันไปมองเลิ่กลั่ก
กุ่ยเม่ยหันไปลูบศีรษะของนาง: “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เพียงแต่องค์ชายสามเองก็บอกว่า เขาเองก็ไม่สามารถขัดขวางได้ แต่ว่าคนของ ซูพ่านเอ๋อทางนั้นก็เริ่มไม่พอใจ เขาเลยส่งคนไปดูแล แต่ว่ามันเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุไม่ใช่ต้นเหตุ ยังไงก็ยังหวังว่าเจ้าจะช่วยอะไรบ้าง”
“จะให้ข้าทำอะไรอีก!คนในวังช่างเป็นพวกที่โลภมากในเงินทองจริงๆ !” กู้อ้าวเวยลุกขึ้นแล้วพูดเสียงดัง และพอนึกได้ว่าคนของซ่านจินจื๋ออาจจะยังไม่ไป นางเลยพูดเสียงเบาลง: “ตอนนี้ข้าเองก็พูดเรื่องของซูพ่านเอ๋อมากไม่ได้ เพราะเกรงว่าซ่านจินจื๋อจะจับพิรุธได้ จื่อ เจ้านำเงินที่ได้มาเมื่อครู่นี้ไปให้คนของทิงเฟิงโหล เพื่อให้พวกเขาเอาไปลงทุนให้ข้า แล้วก็พาประชาชนมาที่เมืองเทียนเหยียน เพราะฝ่าบาทต้องส่งพวกขุนนางมาช่วยอย่างแน่นอน และฝ่าบาทไม่มีทางฟังพวกเชื้อพระวงศ์ที่ไม่ได้เรื่องอย่างแน่นอน”
จื่อพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ: “แบบนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการหาผลประโยชน์ แต่เป็นการทำเพื่อประชาชนด้วยซ้ำ ยังไงหลิ่วเอ๋อก็ไม่มีทางรับเงินจากท่าน”
“พวกเจ้านี่ถือว่าไม่เลวเลย เงินพวกนี้ก็ถือว่าเป็นรางวัลให้กับพวกเจ้าแล้วกัน” กู้อ้าวเวยหันไปพูดกับนางพลางกลบความโมโหเอาไว้ พลันยิ้มออกมา แล้วมองนางอย่างกับมองเด็กๆ
จื่อยิ้มหยีๆ และก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร จากนั้นก็ไปทำตามที่นางมอบหมายให้ทันที
และอีกทางหนึ่ง กู้อ้าวเวยก็หันไปมองกุ่ยเม่ยแล้วพูดขึ้น: “เจ้ากลับไปบอกองค์ชายสามอีกครั้ง ว่าให้ดูแลคนพวกนั้นให้ดี ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
กุ่ยเม่ยรีบออกไปทันที ป้าจางที่นั่งอยู่ข้างๆ เตียงกับชิงจือ ก็พลันขมวดคิ้ว แล้วมือหนึ่งก็จับมือชิงจือเอาไว้ อีกมือหนึ่งก็หันไปโบกไปมาให้กู้อ้าวเวย แล้วพูดขึ้น: “พระชายา สิ่งที่ท่านพูดออกไปกับคนของอ๋องจิ้งนั้นเป็นการยื้อไว้แบบนี้ ท่านไม่กลัวว่าองค์ชายสามจะคิดว่าท่านยังมีใจให้กับอ๋องจิ้งหรือ?”
“ไม่กลัว เยว่กับฉางอีฉินล้วนแค่คอยปกป้องข้า ในเมื่อเป็นแบบนั้นแสดงว่าองค์ชายสามต้องมีใจให้ข้า เพียงแค่คำว่า มีใจ แค่นี้ ยังไงซะเขาก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวเอง” กู้อ้าวเวยพูดขึ้นพลันหัวเราะเบาๆ แต่แววตากลับดูไม่มีความสุข
พูดไปพูดมา เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยังไงก็หลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ไปได้
ป้าจางก็ไม่รู้จะว่ายังไง ได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วพูดขึ้น: “แต่จากที่ข้าดู แม้ว่าท่านกับอ๋องจิ้งจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ท่านกลับรู้ใจเขามาก และรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา ถ้าหากว่าพวกท่านเป็นคนธรรมดาทั่วไป คงเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างมาก”
กู้อ้าวเวยนิ่งไปชั่วขณะ แล้วก็พลันนึกถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่กับเขาอย่างอบอุ่น แล้วพลันหัวเราะออกมา พลางพูดขึ้น: “พวกข้าเองก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน แต่ว่าตอนนี้ต้องโทษโชคชะตาที่ไม่เป็นใจ แม้ว่าพวกข้าจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ว่าลึกๆ แล้วพวกข้าก็มีความทรงจำดีๆ ต่อกัน”
“พระชายาคิดได้แบบนี้ถือว่าดีมาก ถ้าหากว่าคนบนโลกนี้คิดได้แบบนี้ ก็คงไม่มีคนที่เห็นแก่ตัวกัน” ป้าจางพูดพลางหัวเราะ
กู้อ้าวเวยเองก็หัวเราะตามๆ กัน แล้วก็พลันหันไปทำหน้าทะเล้นใส่ชิงจือ แล้วก็พูดขึ้น: “ถ้าหากว่ามีคนเหมือนข้า อย่างนั้นข้าก็คงต้องซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเล โดยไม่มีใครหาเจอแล้ว”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วก็ยิ้ม
และด้านนอกนั้น ของที่ฝ่าบาทส่งมาพวกนั้นกุ่ยเม่ยก็มองแค่ผ่านๆ หลังจากนั้นก็เอาไปวางที่ห้องเก็บของ
และในบรรดาขวดยาจำนวนมาก นั้นก็ยังสามารถมองเห็นป้ายชื่อที่ฝ่าบาทได้เขียนให้นางว่า ผู้มีจิตใจคุณธรรม