บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 401
บทที่401ความจริง
ฤดูใบไม้ร่วงยังไม่ทันมาถึงแต่ที่นี้กลับเงียบเชียบ จนถึงตอนนี้ก็มีชาวนาจำนวนไม่น้อยที่ต้องกลับไปเก็บเกี่ยวพืชผล แม้แต่นักล่าสัตว์ที่เหลือก็ต้องเตรียมตัวสำหรับผ่านฤดูหนาว คนที่เรียนหนังสือที่เหลือก็จำเป็นต้องไปซื้อของที่เมืองอื่นๆ อ่านหนังสือดีๆเพื่อเรียนอย่างหนักในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เพื่อที่จะได้สอบและมีผลงานและตำแหน่งชื่อเสียงที่ดีได้ในปีถัดไป
ในขณะเดียวกันโรงหมอหลวงก็จะส่งคนไปหากำลังเสริม แต่บนถนนกลับไม่มีคน
โรงแรมเพียงแห่งเดียวเถ้าแก่ก็ปิดร้านบอกว่าจะพาครอบครัวไปซื้อของสำหรับฤดูหนาว กู้อ้าวเวยจึงทำได้เพียงแค่อ่านหนังสือแล้วนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมเพียงแห่งเดียวนี้ แล้วสั่งอาหารว่างสามสี่อย่างกับชาร้อนสองแก้ว
เสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นอย่างรวดเร็วจากด้านนอกประตู เถ้าแก่เนี้ยเช็ดมือแล้วรีบพุ่งออกไปด้านนอก แค่เปิดประตูไปก็เห็นฝูงชนเต็มไปหมดจึงรีบเข้าไปต้อนรับ “พวกท่านต้องการอะไรกันรึ?”
กู้อ้าวเวยเงยหน้ามองก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาอยู่หน้าตนเอง แล้วค่อยๆคุกเข่าลง
เถ้าแก่เนี้ยขวัญหนีดีฝ่ กู้อ้าวเวยยิ้มให้เธอบางๆ จับม้วนกระดาษหันหัวกลับแล้วมองเครื่องแบบทหารบนตัวคนพวกนั้น แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เป็นเขาที่ส่งพวกเจ้ามา”
“ท่านอ๋องมีงานรัดตัวสั่งให้พวกกระหม่อมมารับพระชายากลับพระตำหนัก” ทุกคนพูดพร้อมเพรียงกัน
กู้อ้าวเวยวางเงินแล้วอุ้มม้วนกระดาษออกไปข้างนอก
ก็บอกอยู่ว่าจะมารับด้วยตนเองพอวันนี้กลับส่งคนมามากมาย
ด้านนอกมีรถม้าหรูคันนึงมารอเธออยู่แล้ว เธอคิดๆอยู่สักพักแล้วก็กำชับบอกให้เอาของว่างที่ตนเองยังกินไม่เสร็จกลับมาด้วย
คนจำนวนมากขนาดนี้แน่นอนว่าก็ต้องมีคนจำนวนไม่น้อยที่ดูออก ก็แม้แต่คนที่โรงหมอหลวงส่งมานั้นล้วนคำนับรถม้า กู้อ้าวเวยจึงต้องเอาม่านลงนั่งบนเบาะแล้วอ่านหนังสือต่อ แต่คนที่ไม่รู้เรื่องข่าว กลับแพร่กระจายไปทั่วเมืองแพทย์ คนจำนวนไม่น้อยก็ปลงบอกว่าพระชายาจิ้งท่านนี้ไม่มีมาดเอาซะเลยทำเหมือนคนนอก
วันที่สองของการเดินทาง เมื่อกลับมาถึงเทียนเหยียนตำหนักอ๋องจิ้ง เธอก็รู้สึกโงนเงนเล็กน้อย ทันทีที่ดึงม่านรถก็มีมือคู่หนึ่งมาจับเธอไว้แล้วพาลงมา “มันนุ่มจริงๆ”
เมื่อเงยหน้ามอง ใบหน้าของซ่านจินจื๋อก็มีรอยยิ้มบางๆแต่ด้วยใบหน้าคมนี้ก็ยังมีความหยิ่งๆอยู่นิดๆ
แต่เมื่อนึกถึงจดหมายสองสามฉบับนั้น ในใจของกู้อ้าวเวยก็เต้นตึกๆใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วโผตรงเข้าไปกอดซ่านจินจื๋อ ซูพ่านเอ๋อที่อยู่ตรงข้างประตูเมื่อเห็นดังนี้ก็แทบจะข่วนประตู
“ท่านผิดคำสัญญาแล้วก็ควรจะชดใช้ให้ข้าใช่หรือไม่” กู้อ้าวเวยเชิดคางขึ้นแม้แต่ส้นเท้าก็เขย่งขึ้นเบาๆสองมือกอดลำคอซ่านจินจื๋อไว้แน่น
“มันปกติอยู่แล้ว” ซ่านจินจื๋อไม่ค่อยเห็นความเร่าร้อนของกู้อ้าวเวยเช่นนี้จึงตื่นเต้นมาก พาเธออุ้มกลับไปที่วิหารเฟิ่งหมิง ติดหนึบกันแทบจะตลอดวัน
แต่รอจนหลังจากค่ำคืนอันอบอุ่น ซ่านจินจื๋อก็หลับไปแล้ว กู้อ้าวเวยกลับจ้องมองไปที่ใบหน้าที่หลับใหลของซ่านจินจื๋อด้วยสายตาเย็นเยือก——ท่านเป็นคนทำเรื่องตระกูลหยุนหรอ?
นอนไม่หลับทั้งคืนจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น เฉิงซานส่งคนมาพูดอะไรกับซ่านจินจื๋อสักอย่างแล้วเขาก็รีบก็ออกไป กู้อ้าวเวยแสร้งเป็นนอนหลับอยู่แต่ก็ได้ยินคำว่าถุงน้ำดีหงส์ ทันใดนั้น ใจก็ตื่นตระหนก
“พูดที่นี่ไม่ได้” ซ่านจินจื๋อส่งเสียงไม่พอใจ คนที่อยู่ตรงประตูก็ถูกปิดปาก
รอจนในห้องเงียบสนิท ในสวนก็มีเสียงเหล่าสาวใช้จัดการกับกิ่งไม้อยู่ เธอจึงลงจากเตียงแล้วเรียกสาวใช้เข้ามา “แต่งตัวดีๆให้ข้าหน่อย”
“เพคะ” แม้สาวใช้จะประหลาดใจที่ได้รับคำสั่งจากพระชายาที่ปกติจะเรียบๆ แต่ก็ยังรีบปัดฝุ่นกล่องเครื่องประดับแล้วหยิบออกมาเพื่อแต่งตัวดีๆให้กู้อ้าวเวย
หลังจากผ่านไปสักครู่ กู้อ้าวเวยก็ยืนมองคนในกระจกที่มีรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไป ใบหน้าที่ซีดเซียวถูกปกคลุมไปด้วยเครื่องสำอางก็ยิ่งทำให้แดงชุ่มขึ้น กู้อ้าวเวยที่รอสาวใช้ม้วนผมให้ตนเองก็ถามขึ้นมาเบาๆว่า “สองสามวันที่ข้าไม่อยู่นี้ท่านอ๋องกับซูพ่านเอ๋อใกล้กันไหม?”
“ท่านอ๋องรักพระชายาสุดหัวใจ สองสามวันมานี้ไปนั่งอยู่ในห้องของพระชายาแต่ไม่เคยไปที่ห้องแม่นางซู
“งั้นก็ดี” กู้อ้าวเวยเชิดคางขึ้น
ในตอนแรกพิษนั้นมาจากมือของเมี่ยวหาร ถ้าอย่างงั้นซูพ่านเอ๋อก็ต้องรู้เรื่อง
เธอต้องการที่จะกลับมารักกันกับซ่านจินจื๋อจากนั้นก็ไปยั่งซูพ่านเอ๋อให้โกรธ แต่ตอนนี้ซ่านจินจื๋อก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของซูพ่านเอ๋อแล้ว ไม่เจอกันนาน งั้นเธอก็ไม่ต้องกระตุ้นอะไรมาอีกแล้ว โอกาสดีมาถึงแล้ว
แต่งตัวเสร็จ กู้อ้าวเวยก็มาที่ลานบ้านของซูพ่านเอ๋อ
ลานบ้านในอดีตเคยถูกไฟเผาตอนนี้ก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่ ดังนั้นสถานที่พักผ่อนของซูพ่านเอ๋อจึงดูวังเวงไม่ได้มีดอกไม้เหมือนแต่ก่อน
ตอนที่กู้อ้าวเวยเดินเข้ามา ซูพ่านเอ๋อก็เดินออกมาอย่างช้าๆทำให้คนรอบข้างถอยออกไป
“เมื่อไหร่จะถึงตาเจ้ามาแสดงกำลังต่อหน้าข้าสักทีหล่ะ?” ซูพ่านเอ๋อยิ้มอย่างเย็นชาแล้วมองไปที่เธอ อย่างที่บอกว่า ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง กู้อ้าวเวยแต่งตัวแบบนี้กลัวว่าจะเอาชนะ แม้แต่สาวงามของเทียนเหยียน
“เป็นเพียงแค่ผลของวัฏจักรเท่านั้นเอง” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นแล้วค่อยๆนั่งลงบนม้าหิน “รสชาติของการอยู่คนเดียว ก็ดีอยู่ใช่ไหม?”
ซูพ่านเอ๋อกัดฟัน “ถึงอย่างงั้น ระหว่างข้ากับพี่จื๋อ…..”
“อุ้บ…..” กู้อ้าวเวยปิดปากหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าของซูพ่านเอ๋อเปลี่ยนไปก็พูดต่อว่า “จากที่ข้าดู เจ้ากับเขาค่อยๆห่างกันออกไปนะ เจ้าควรจะเบิกตามองให้กว้างว่า คนที่ยืนข้างเขาในตอนนี้คือใคร”
ซูพ่านเอ๋อถูกพูดแทงใจดำก็โกรธจนสั่น
แต่กู้อ้าวเวยกลับหรี่ดวงตา เธอไม่รู้ว่าทำไมซูพ่านเอ๋อถึงช่วยซ่านจินจื๋อปิดบังเรื่องนี้ หรือว่าซูพ่านเอ๋อไม่รู้เรื่องที่ซ่านจินจื๋อทำจริงๆ
คิดไปสักพักเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ “ข้าแค่พูดกับพระมารดาสักสองสามประโยค เจ้าก็จะถูกกวาดออกไปจากบ้านแล้ว ถ้าเจ้าอ่านสถานการณ์ออกหล่ะก็ สู้ก้มหัวแสดงความจริงใจให้ข้าเห็นเสียแต่ตอนนี้ซะยังดีกว่า”
“เจ้า!” ซูพ่านเอ๋อคำพูดจุกอกตอนนี้มันยิ่งน่าโมโห
ในวันที่กู้อ้าวเวยไม่อยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ เธอแทบจะใช้วิธีมากมายเพื่อเอาหัวใจซ่านจินจื๋อกลับมา สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ในตอนนี้ กู้อ้าวเวยต้องการจะย่ำหัวเธอด้วยสิ่งพวกนี้
เธออยากจะให้พ่อบ้านมาสั่งสอนกู้อ้าวเวยสักที แต่เมื่อคิดอีกครั้งเธอก็คิดอะไรดีๆออก แล้วยิ้มขึ้นมาเบาๆ “ยังไงนะ? เจ้ายังเตรียมที่จะอยู่ข้างกายพี่จื๋ออีกหรอ?”
กู้อ้าวเวย一 เลิกคิ้ว——นี่เป็นธรรมชาติ
“น่าขันซะจริง!” สีหน้าของซูพ่านเอ๋อเปลี่ยนไป “เกรงว่าเจ้าจะยังไม่รู้ ตอนแรกพี่จื๋อพยายามจะรักษาข้า แต่ส่งเจ้าคนเผ่าตระกูลหยุนไปที่เครื่องประหาร!”
“เคร้ง——”
แก้วที่อยู่ในมือกู้อ้าวเวยหล่นแตกลงพื้น เสียงหัวเราะของซูพ่านเอ๋อดังก้องอยู่ในหู
ที่แท้ทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริง