บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 411
บทที่ 411 ปัจจุบันคือหยุนเฉิน
ครั้นพบหน้ากันก็พูดคุยเกี่ยวกับเงื่อนไข ซึ่งสอดคล้องกับอุปนิสัยของกู้อ้าวเวยโดยแท้
แต่บนกระดาษม้วนนี้ กลับเขียนเพียงเงื่อนไขไม่กี่ข้อ
ประการที่หนึ่ง เขาขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิในภายภาคหน้า จะไม่พัวพันหาข้อพิพาทกับตระกูลหยุนอีกต่อไป และคิดหาหนทาง ทำให้คนทั้งโลกเข้าใจว่าสูตรยายืนยาวไม่แก่เฒ่าถูกซ่อนอยู่ระหว่างซากปรักหักพังที่ไหนสักแห่ง มันหายสาบสูญไปตั้งนานแล้ว ประการที่สอง ไม่อนุญาตให้เอาชีวิตของพี่น้องราชวงศ์ไต่เต้าเลื่อนยศทีละขั้น
เมื่ออ่านเงื่อนไขสองนี้ ซ่านเซิ่งหานจึงขมวดหัวคิ้วขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นหากเป็นท่านอา…”
“ฆ่าไม่ได้” กู้อ้าวเวยส่ายหน้า “เขามีคุณงามความดีโดดเด่น ไม่สมควรตาย”
รับฟังถ้อยวาจาดังกล่าว แม่หม้ายจู้กับซ่านเซิ่งหานต่างมุ่นเรียวคิ้วขึ้นมา พอนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ซ่านจินจื๋อทำกับกู้อ้าวเวย ก็สมควรจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตโดยแท้จริง
กู้อ้าวเวยเห็นสายตาของทั้งสองคนน่ากลัวเยี่ยงนี้ หางตาก็โค้งงอด้วยเช่นกัน “ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นพระชายาจิ้งแล้ว เป็นแค่หยุนเฉินแห่งตระกูลหยุนเท่านั้น ระหว่างข้ากับอ๋องจิ้งเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบปรปักษ์ ยิ่งไม่อยากทำให้เขาวายวอด”
“หรือว่า เจ้ายังจดจำเรื่องระหว่างเจ้ากับท่านอา…”
“ระหว่างหยุนเฉินกับอ๋องจิ้งไม่ได้เกี่ยวโยงอันใดเลย” กู้อ้าวเวยส่ายหน้าเบาๆ ทำเพียงปัดเศษฝุ่นบนอาภรณ์ ก่อนถลาเข้าไปหาเด็กน้อยกลุ่มนั้น ปลดผ้าโปร่งคลุมหน้าพลางยิ้มให้เขาเบาๆ “หยุนเฉินในปัจจุบัน คือที่ปรึกษาทางทหารของพระองค์”
ซ่านเซิ่งหานจิตใจระส่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
ส่วนเด็กน้อยไม่กี่คนนั้นประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว อ้าแขนสองข้างให้กับกู้อ้าวเวย กู้อ้าวเวยอุ้มคนที่อายุน้อยที่สุดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มืออีกข้างจูงเด็กสาวอายุห้าขวบคนหนึ่ง มองพวกเขาเปื้อนโคลมตมทั้งร่างอย่างจนปัญญา “ไม่อนุญาตให้เพ่นพ่านไปมั่วเชียวนะ รอจนถึงช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงของเทียนเหยียน ข้าจะเตรียมพร้อมทุกอย่าง และพาพวกเจ้าไปเที่ยวเล่นสักสองสามวัน ดีหรือไม่”
สายตาที่เหล่าเด็กน้อยมองไปทางซ่านเซิ่งหานดูไม่พอใจสุดฤทธิ์ คล้ายกับกล่าวโทษที่เขาจะพากู้อ้าวเวยจากไปอย่างไรอย่างนั้น
กู้อ้าวเวยจนปัญญา ทำได้เพียงขอร้องให้แม่หม้ายจู้พาเหล่าเด็กน้อยเดินออกไป และรับรองเป็นหนักหนาว่าตนจะต้องกลับมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอย่างแน่นอน
กุ่ยเม่ยยังคงถักเชือกอยู่ตามเดิม กู้อ้าวเวยจึงพาซ่านเซิ่งหานค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องไม้ไผ่ของตนอย่างช้าๆ
“ตระกูลหยุนนี่ก็ช่างเป็นแดนสุขารมณ์แห่งหนึ่งจริงๆ เจ้ามาถึงที่แห่งนี้แล้ว ยังเต็มใจจะกลับเทียนเหยียนไปพร้อมกับข้าอีกจริงๆ เชียวหรือ” ซ่านเซิ่งหานมองสำรวจวัสดุยาหรือไม่ก็ผู้คนในสถานที่ดังกล่าว ทุกอย่างล้วนดูอบอุ่นเป็นมิตร ช่างแสนเพียบพร้อมเสียนี่กระไร
“แดนสุขารมณ์ เป็นสถานที่เตรียมพร้อมสำหรับคนที่ประสบความยากลำบากมา ข้ายังอ่อนวัยขันแข็ง เทียบกับเมืองอันสงบสุขนี้ ข้าอยากไปดูลักษณะของลมพายุเสียมากกว่า” กู้อ้าวเวยสวมผ้าคลุมหน้าอย่างเบามือ “ข้าเคยลิ้มรสสุราขมปร่ามาแล้ว กลับยังไม่เคยลิ้มรสทะเลทรายผืนใหญ่มาก่อน”
“การต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังของเทียนเหยียนนั่น เจ้าก็ยินดีกลับไปจริงๆ หรือ”
“ในเมื่อข้ารับปากท่านแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ ข้าอยากทำ เพียงแต่กู้อ้าวเวยตายไปตั้งนานแล้ว บนโลกเหลือเพียงแต่หยุนเฉิน ข้าเคยรู้ข่าวว่าท่านแม่ยังไม่ตาย แต่นางอืดอาดไม่ยอมพบข้า แต่ท่าจะเป็นห่วงข้าอยู่ หากค้นพบว่าข้ากลับเมืองเทียนเหยียนหวนสู่ข้อพิพาทอีกครั้ง คิดว่าคงต้องมาพบข้าอย่างแน่นอน” กู้อ้าวเวยกล่าวเสียงแผ่ว ทำเพียงโค้งปลายตา เจือรอยยิ้มให้กับคนที่พบเจอทั้งหมด
ซ่านเซิ่งหานจนปัญญา “เจตจำนงนี้ของเจ้าไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่มารดาของเจ้าก็คิดว่าเจ้าตายไปแล้ว”
“หากนางคิดว่าข้าตายไปตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงไม่ให้คนของทิงเฟิงโหลเข้ามาคุ้มกันข้าในตอนแรกหรอก” กู้อาวเวยกลับส่ายหน้า มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องของหยุนหว่านยิ่งนัก
ซ่านเซิ่งหานทำได้เพียงบอกเรื่อง ฮูหญิงซ่างและผู้ใส่ชุดขาวคนนั้นให้กู้อ้าวเวยฟัง
หลังจากรับฟังจบแล้ว กู้อ้าวเวยกลับส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ข้ารู้เกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพน้อยมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตลอดช่วงหน้าหนาวนี้ข้าไม่เคยย่างกรายมาข้างนอกเลยสักก้าว ยิ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเข้าไปใหญ่เลย”
“ตลอดทางกลับไปนี้ ข้าจะพูดกับเจ้าโดยละเอียดเลยเชียว” ซ่านเซิ่งหานยิ้มพิมพ์ใจให้กับนาง
กู้อ้าวเวยพยักหน้า รอกระทั่งกลับเข้ามาในห้อง ก็พกสัมภาระซึ่งเตรียมพร้อมเอาไว้แต่เนิ่นๆ ไปด้วย พลางเรียกกุ่ยเม่ยขึ้นมานั่งบนรถม้าเพื่อกลับไปเมืองเทียนเหยียน
อย่างไรก็ตามในช่วงหน้าหนาวนี้กลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกลับตาลปัตร มีองค์ชายจำนวนไม่น้อยถูกอวยยศเป็นชินอ๋องและส่งตัวไปตามสถานที่ต่างๆ และมีองค์ชายสองพระองค์ถูกจำคุก ในราชสำนักตอนนี้ มีเพียงซ่านเซิ่งหานและซ่านจินจื๋อสองคนที่อำนาจพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ช่วงเวลาก่อนหน้าฮ่องเต้ทรงประชวร กลับมอบเรื่องการเมืองราชสำนักให้ซ่านจินจื๋อจัดการชั่วคราว
ส่วนเรื่องอื่นๆ ซ่านเซิ่งหานล้วนพูดกับกู้อ้าวเวยทีละข้อ
รอกระทั่งตอนที่กลับมายังเทียนเหยียน กุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างกายต้องสวมอาภรณ์สีอ่อนเคล้ากลิ่นหนอนหนังสืออย่างเสียมิได้ ปล่อยสยายเส้นผมลงมา จัดระเบียบให้สั้นลง ก็ยากต่อการจดจำแล้ว แต่ถึงกระนั้น ก็ยังเพิ่มรอยแผลเป็นทางยาวหนึ่งแผลบนใบหน้าอยู่ดี
กู้อ้าวเวยเปลี่ยนชุดคลุมของบุรุษตั้งนานแล้ว ช่วงเอวพกดาบยาวหนึ่งเล่มซ้ำยังแขวนหยกขุ่นชิ้นนั้นที่ซ่านเซิ่งหานมอบให้ก่อนหน้า สวมหน้ากากสีดำ ก็แทบจะจำไม่ได้แล้ว
ทั้งสองเดินตามหลังซ่านเซิ่งหานมายังตำหนักองค์ชายสาม ซ่านเซิ่งหานกลับพาสองคนมาที่ชั้นสองอาคารขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มองดูการตกแต่งภายใน กู้อ้าวเวยดึงหน้ากากออกเล็กน้อย กลับแปลกใจนัก “เหตุใดจึงสะดุดตาเยี่ยงนี้”
“สำหรับด้านนอก ข้าเคยบอกไปแต่เนิ่นๆ แล้วว่าอาคารนี้สร้างขึ้นเพื่อยอดฝีมือ ยิ่งสูงชั้น ยิ่ง ส่วนอาคารเล็กชั้นสองนี้ ไม่ได้ขึ้นมาง่ายขนาดนั้น” ซ่านเซิ่งหานคล้ายกับแก้ปัญหาสิ่งดังกล่าวอย่างน่าเชื่อถือแล้ว
กู้อ้าวเวยก็ไม่ใคร่สะดวกพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว อีกอย่างนางพักอยู่ข้างบน ข้างล่างให้กุ่ยเม่ยอาศัยอยู่ ก็ปลอดภัยดี ข้างนอกลานกำแพงรอบด้านเกิดอะไรก็ล้วนเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และไม่มีสาวใช้คอยปรนนิบัติข้างกายอีกด้วย ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดอะไรได้เลย
วางสัมภาระลง กุ่ยเม่ยจึงดึงเส้นผมที่กระจัดกระจายอยู่หลังลำคอ “น่าหงุดหงิดจะตาย ทำไมข้าต้องแสร้งทำท่าเป็นพวกหนอนหนังสือด้วย บนหน้ายังต้องแปะแผลเป็นทางหนึ่งอีก”
กู้อ้าวเวยหัวเราะเย้ยหยันออกมา และบีบจมูกของเขา “แบบนี้ก็หล่อดีออก ไม่แน่ว่าแม่นางบางคนก็อาจมีรสนิยมแบบนี้ก็ได้”
กุ่ยเม่ยกลอกตาขาวใส่นาง และดึงหน้ากากของนางออกด้วย “ดูหน้าดวงนี้ของท่านสิ ต่อให้พกดาบเล่มหนึ่งก็ดูอ้อนแอ้นอยู่ดี”
ทั้งสองคนจ้องกันไปมาแวบหนึ่ง และเจ้าสวนไปข้าเอาคืนโดยตรง คล้ายกับเด็กน้อยทะเลาะกันเสียงดังเต็มประดาก็ไม่ปาน
ซ่านเซิ่งหานที่จากไปแล้วคอยฟังการเคลื่อนไหวภายในห้อง ดูค่อนข้างเหม่อลอย
หน้าหนาวนี้ คล้ายกับความสัมพันธ์ระหว่างกุ่ยเม่ยและกู้อ้าวเวยจะยิ่งสนิทสนมกันขึ้นมาบ้าง
และวินาทีนั้นที่กู้อ้าวเวยและกุ่ยเม่ยเข้ามาในตำหนัก ซ่านเซิ่งหานก็มีจงใจปล่อยให้คนที่สะกดรอยทิงเฟิงโหลรับรู้ข่าวคราวไป
รอกระทั่งกลางดึก หลิ่วเอ๋อก็ลอบเข้ามาในเรือนแห่งหนึ่งท่ามกลางเมือง หยุนหว่านที่รับรู้ข่าวสารดังกล่าวพลันเปลี่ยนสีหน้าในบัดดล น้ำชาในแก้วกระเซ็นทั่วร่าง “เรื่องนี้จริงหรือ? เขาพาเวยเอ๋อมายังสถานที่อลเวงแห่งนี้อีกแล้วจริงๆ หรือ”
“คล้ายกับเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้พวกเราทำการเตรียมพร้อมเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วว่าจะนำเรื่องของกู้เฉิงไปป่าวประกาศทั่วหล้า หลักฐานจวนเจียนเสร็จสมบูรณ์ อิงจากความชาญฉลาดของคุณหนู ถึงเวลานั้นย่อมต้องสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของท่านแน่” หลิ่วเอ๋อเองก็จนปัญญาเช่นกัน
ในเมื่อกู้อ้าวเวยสามารถคลำตามเบาะแสจนหาเจอเงื่อนงำทิงเฟิงโหลของพวกนาง แต่กลับเป็นสัญชาตญาณอยู่เหนือกว่าเหตุผล
ทว่าหากทิงเฟิงโหลโจมตีกู้เฉิงด้วยตัวเอง นางจะต้องมองทะลุได้เพียงครู่อย่างแน่นอน
สุดท้ายเรื่องนี้ก็ตบตาไปไม่ได้
“ไม่ได้ เรื่องที่ข้ายังมีชีวิตอยู่รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้นาง” หยุนหว่านส่ายหน้า “คนยุทธภพต่างรู้จักเชือกทวงชีวิต คนรุ่นหลังตระกูลหยุนเป็นผู้หาสูตรลับยืนยาวไม่แก่เฒ่าพบ ในตอนแรกข้าเพียงแค่ทำเพื่อปกป้องตระกูลหยุน ถึงได้กำจัดเชือกทวงชีวิตเส้นนี้และโลงศพของข้าออกไปไม่ทันไตร่ตรอง ถ้าหากองค์ชายสามผู้นั้นรู้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่…”
หลิ่วเอ๋อมุ่นคิ้ว “ท่านไม่เชื่อในราชวงศ์ แต่ปัจจุบัน คุณหนูอาจจะพูดกับองค์ชายสามไปแล้วก็ได้”