บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 427
บทที่ 427 คนที่ตายไปแล้ว
“ทุกคนต่างพูดว่าฝ่าบาทไร้ความเมตตา แต่ทั้งหมดนั้นก็เพราะโดนบีบบังคับ”
กู้อ้าวเวยหอบเค้กที่เมืองเย่นส่งมาให้ แล้วก็หันไปพูดกับกุ่ยเม่ย
แต่กุ่ยเม่ยกำลังหัดหว่านแห แต่ก็ดีวันหลังจะได้เอาไปให้เด็กตระกูลหยุน แล้วเขาเลยก้มหน้าลง ปล่อยให้กู้อ้าวเวยซบที่บ่าตัวเอง แล้วก็เอาของกินพวกนั้นไปเลอะตัวเขา。
“แต่ว่าตอนนี้เหมือนกับว่าฮ่องเต้ยังไม่ถูกตัดแขนขา แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนกับว่าตัวเองโดนโทษทัณฑ์ เกรงว่าเขาจะเคยมีเรื่องอะไรไม่ดีมาก่อน ที่ไม่สามารถลืมได้ ”
“เจ้านี้เก่งถึงขนาดเดาใจฝ่าบาทได้เลยหรือ” กุ่ยเม่ยหันมาพูดขึ้น: “คนอื่นเดาใจเทพ แต่เจ้ากลับเจ้ากลับเดาใจฮ่องเต้ เจ้าจะเดาแม่นหรือ?หากว่าองค์ชายสามไม่สามารถโน้มน้าวฝ่าบาทได้จะทำยัง?”
“ก็ไม่เห็นเป็นไร เขาก็เพียงแค่พูดประโยคสองประโยค ฮ่องเต้เองก็แค่ฟังเท่านั้น หรือว่าเขาจะกล้าลงโทษลูกของตัวเองอย่างนั้นหรือ คิดไปคิดมา ถ้าเขาไม่รักลูกของเขาขนาดนี้ ตอนนี้ก็คงไม่เหลือแค่พระองค์หรอก ยังไงเขาก็ไม่กล้าลงโทษแน่นอน” กู้อ้าวเวยหัวเราะออกมา แล้วพลันเอาเค้กยัดปากกุ่ยเม่ยทันที แล้วนางก็ไปเอาเชือกมาทอ และก็ทำได้ดีมาก
เดิมทีกุ่ยเม่ยก็ไม่ชอบของกินแบบนี้อยู่แล้ว แต่ว่าพอเห็นกู้อ้าวเวยกินทุกวันอย่างมีความสุข เขาเองก็พลันเริ่มชอบมันด้วย
และในเมื่อมีคนเขามาทำแทนเขา เขาก็หันไปพิงด้านข้างแล้วมองนางพลันพูดขึ้น: “ช่วงวันหยุด เจ้าเตรียมตัวพาเด็กๆ ออกไปเที่ยวอินโจวหน่อยนะ”
“ได้ ข้าเองก็ควรจะไปเตือนอ๋องจงผิงเอาไว้หน่อย แม้ว่าเขาจะมองทุกอย่างออก แต่มาคิดดูแล้ว อินโจวเป็นที่ที่มีพ่อค้ามากหน้าหลายตาเข้ามา แล้วก็ไม่รู้ว่าพวกที่จ้องเล่นงานนั้นมีมากน้อยแค่ไหน” พอนางพูดจบ ก็มองเห็นซ่านเซิ่งหานเดินถือร่มเข้ามาอย่างไกลๆ นางเลยเอาแหที่มือตัวเองยัดคืนกุ่ยเม่ยทันที
ซ่านเซิ่งหานเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วก็พูดเรื่องสีหน้าและท่าทางของฮ่องเต้ให้นางฟังทั้งหมด
“ไม่เข้าใจก็คือไม่เข้าใจ แต่ฝ่าบาทได้อนุญาตให้ท่านจัดการเรื่องโรงเรียนหรือไม่?” กู้อ้าวเวยยกมือถามขึ้น
“อนุญาตแล้ว เพียงแค่คิดว่าหวางโม่ไม่ใช่คนที่มีความสามารถ” ซ่านเซิ่งหานพยักหน้า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ วันนี้เจ้าก็ต้องปล่อยข่าวออก แล้วก็คิดหาทางซื้อของพวกนี้และที่ที่ไม่มีเจ้าของเอาไว้ เพื่อเอามาสร้างโรงเรียน และก็ต้องบอกว่า เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท พอทำแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะมีคนจำนวนเท่าไหร่ที่จะเข้ามาติดต่อกับเรา ” พอนางพูดเสร็จ นางก็เอามือไปลูบหลังของกุ่ยเม่ยพลางพูดขึ้น: “คราก่อนที่ฝ่าบาทพระราชทานป้ายให้นั้น เขียนว่าอะไรหรือ?”
และในตอนนี้เองกุ่ยเม่ยก็พลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนัก แล้วพูดขึ้น: “เขียนว่าจิตใจคุณธรรม”
“เกรงว่าคงต้องรบกวนให้ท่านต้องไปที่ตำหนักอ๋องจิ้งสักครั้ง เพื่อไปเอาแผ่นป้ายนี้ออกมา ” กู้อ้าวเวยพูดขึ้นพลางหันไปจับมือซ่านเซิ่งหาน แม้ว่าท่าทางจะเหมือนสั่งการ แต่ว่าใบหน้าของนั้นก็มีแต่รอยยิ้ม
“ป้ายนี้เป็นป้ายพระราชทานจากฮ่องเต้ เกรงว่า…..”
“ท่านต้องบอกว่า เรื่องนี้เป็นความปรารถนาของชายาอ๋องจิ้ง ในเมื่อนางไม่อยู่ และป้ายนี้ก็ควรจะนำไปห้อยไว้ที่ห้องของโรงหมอโหย่วเว่ย ยังไงเขาก็ไม่มีทางปฏิเสธ”
เป็นเจ้า ซ่านจินจื๋อที่ติดค้างข้า
ป้ายนี้ยังไงก็ไม่มีทางตกไปอยู่ในมือของเจ้า ไม่สู้เอาออกมาเพื่อใช้ประโยชน์จะดีกว่า
“แบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการเปิดศึกกับอ๋องจิ้งอย่างเป็นทางการหรือ?” กุ่ยเม่ยไม่เห็นด้วยพลางดึงนางออกมา แล้วพลันจ้องหน้านาง : “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาใช้อารมณ์นะ”
“ข้าไม่ได้ใช้อารมณ์สักหน่อย การเอาป้ายนี้ออกมา ข้อแรกก็เพื่อชื่อเสียงของข้าเอง ข้อสองคือให้เมิ่งซู่ได้มีอำนาจเสนอความเห็นบ้าง อย่าลืมว่าถ้าอยู่กับโรงหมอ ก็ยังมีพี่น้องตระกูลเมิ่งด้วย ให้พวกเขาเป็นคนออกหน้า ยังไงฝ่าบาทก็ต้องไว้หน้าอย่างแน่นอน เพราะถ้ามีเมิ่งซู่ยังไงเราก็ยังมีสิทธิ์ ถ้าข้าเป็นฮ่องเต้ ไม่มีทางที่จะให้ตระกูลกู่เซฺงยิ่งใหญ่แค่ตระกูลเดียว แต่ตอนนี้ในราชสำนักมีเสนาอำมาตย์เพียงแค่คนเดียว ตอนนี้เลยต้องหาคนเขามารับมือเขาไว้ “กู้อ้าวเวยพูดเสียงเบา
ดูจากความกังวลใจของฝ่าบาทที่มีต่อตระกูลหยุนแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เมิ่งซู่ไม่ต้องเกร็งมาก เพราะว่ามีโรงหมอคอยหนุนหลังอยู่ และทำให้เขาสามารถยืนได้อย่างมั่นคงในราชสำนักได้
ซ่านเซิ่งหานรู่สึกทนไม่ไหวเลยพูดขึ้น: “เรื่องนี้ก็เป็นเพียงการหลอกใช้คนอื่น”
“แค่ได้หลอกใช้ก็พอแล้ว” นางหันไปกระพริบตาให้เขาแล้วพูดขึ้น: “ท่านคิดว่า ซ่านจินจื๋อจะได้ข่าวอะไรจากกู้เฉิงหรือไม่ อย่างเช่น….เรื่องที่ข้ามีชีวิตอยู่”
กุ่ยเม่ยส่ายหัว แล้วพูดขึ้น: “พูดให้ข้าเข้าใจที”
“ยังไงซ่านจินจื๋อก็ต้องส่งคนสะกดรอยตามกู้เฉิง ถ้าดูจากนิสัยของกู้เฉิงแล้ว ต้องออกค้นหาข้ากับแม่ข้าอย่างหนักแน่นอน เพราะเขาไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันคือความฝันหรือความจริง และถ้าหากเขารู้ว่าข้ายังไม่ตายแล้วไปปรากฏตัวบนเขา เขาหยินซาน มิหนำซ้ำป้ายพระราชทานให้ชายาอ๋องจิ้งก็ยังมาถูกเอาไปอีก เขาต้องตามหาตัวข้าอย่างแน่นอน” กู้อ้าวเวยดึงลิ้นชักออกมาแล้วหยิบกระดาษหนังออกมาพร้อมกับของเล็กๆ น้อยๆ แล้วกำไว้ในมืออย่างแน่น
“เจ้าเป็นคนที่ตายไปแล้ว และตอนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว” :ซ่านเซิ่งหานพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
“ถูก เพราะกู้อ้าวเวยได้ตายไปแล้ว แต่ว่านนี้กลับฟื้นคืนมา พวกคนในราชสำนักถึงได้ออกตามหากัน และในช่วงเวลานี้ ตอนนี้ก็มีแค่กู่เซิง คนเดียว ถ้าจัดการเขาได้ พวกเราก็ถือว่าชนะแล้วครึ่งทาง ” กู้อ้าวเวยพูดขึ้นพลางทำสีหน้าเยือกเย็น พร้อมกับแววตาที่ดุดัน
“ในเมื่อคนในราชสำนักคิดว่าคนของตระกูลหยุน ตายแล้วก็จะกลายเป็นผี”
“อย่างนั้น ข้าก็จะลองเป็นผีดูสักครั้ง คอยจับดูความทุกข์ใจของพวกเขาคงรู้สึกดีไม่น้อยเลย”
พอนางพูดจบ ทั้งกุ่ยเม่ยและซ่านเซิ่งหานต่างรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที และอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขากลับไม่เข้าใจ ว่าชีวิตของนางนั้นเป็นคนเดียวที่ต้องเจอเรื่องไม่ดีอยู่ตลอดๆ ตามที่คนอื่นเขาพูดกัน
พอฝนซาลงแล้ว ซ่านเซิ่งหานก็สั่งให้คนไปเอาป้ายพระราชทานนั้นมา เพื่อหวังว่าจะเอามาแขวนไว้ที่โรงเรียนแพทย์ แต่ใครจะเชื่อว่าซ่านจินจื๋อจะตอบตกลงเร็วขนาดนี้ และก็ยังสลักคำว่า รำคาญ ลงไปบนป้ายอีก
ซ่านเซิ่งหานรู้สึกไม่น่าเชื่อ แต่กู้อ้าวเวยยังจะไปเขาหยินซานอีกครั้ง เพื่อถอนเอาชาวนามากี่สิบคน
และในตอนนั้น คนทั้งเทียนเหยียนก็พากันกระวนกระวายใจ ขนาดหยุนหว่านที่อยู่ เมืองเย่นถึงต้องเขียนจดหมายมาถามนาง ว่าเรื่องที่นางเป็นคนปล่อยข่าวออกมานั้น นางทำไปเพื่ออะไร
กู้อ้าวเวยไม่ตอบกลับ แต่ว่านางกลับเดินไปบนถนนอย่างกับไม่มีใคร ท่ามกลางฝนปรอยๆ ที่ตกลงมา
ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาต่างพากันตกใจ
เช้าวันต่อมา ทุกคนในเมืองเทียนเหยียนก็พากันเริ่มซุบซิบกัน แต่กู้อ้าวเวยกลับแต่งหน้าทาปากอย่างสวยงามนั่งรอสำรับเช้าอยู่ พอได้ยินคนข้างๆ พากันพูดเรื่องนี้อยู่ นางก็พลันหันมองออกไปไกลๆ โดยไม่สนใจใคร
ช่วงนี้ตอนกลางวันนางออกไปข้างนอก นางรู้สึกเหมือนว่ามีคนคอยตามอยู่ด้านหลัง แต่พอหันไปกลับไม่มีใคร ช่างน่าแปลกจริงๆ
แต่เงาที่คอยสะกดตามนางนั้นกลับมาโผล่ที่ตำหนักอ๋องจิ้ง
“เป็นน้องบุญธรรมนางจริงหรือ” ซ่านจินจื๋อทำสีหน้าเคร่งเครียด
“ใช่ ช่วงสองสามวันมานี้พวกข้าตั้งใจจะไปสืบข่าวของหยุนเฉิน แต่กลับไปรู้ว่าคนที่ องค์ชายสามเชิญมานั้นล้วนแต่เป็นผู้มีความสามารถชั้นสูง แต่กลับไม่มีใครเก่งด้านการรักษาเลย เพียงแต่ค่อนข้างจะคล้ายกับพระชายา” เฉิงซานพูดขึ้นมายาวมาก