บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 447
บทที่ 447 ทะเลาะเบาะแว้ง
“ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาล่าช้าไปเป็นเวลาสองชั่วยาม ในวันนั้นพวกเราก็หาได้จำเป็นที่จะต้องกังวลประหวั่นพรั่นพรึงไปไม่” ปากของกู้อ้าวเวยได้เอ่ยพูดออกมาเช่นนี้ แต่กลับรีบกวักมือเรียกกุ่ยเม่ย ยังไม่ลืมที่จะถามขึ้นไปว่า “เขามาที่นี่ด้วยสาเหตุอันใดอีกเล่า?” “บอกว่าให้ส่งคนไปแทนที่ที่เมืองกวนผิง อีกทั้งยังพูดอีกว่าองค์ชายสามในเมื่อทรงมีความกล้าหาญชาญชัยเช่นนี้แล้ว ให้ไปร่วมออกศึกกับเขาน่าจะดีกว่า ” องครักษลับคุกเข่าลงกับพื้นอยู่ครึ่งตัว โดยไม่กล้าแม้กระทั่งที่จะมองสบตากับกู้อ้าวเวย
เลิกคิ้วขึ้น กู้อ้าวเวยพลางคิดทบทวน “ครั้งนี้ฝ่าบาททรงมีท่าทีอย่างไรบ้างกับการรักษาเมืองในครั้งนี้”
“ฝ่าบาททรงพึงพอพระทัย ดูเหมือนว่าความคิดเห็นที่มีต่อองค์ชายสามเองก็ดีขึ้นมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”น้ำเสียงขององครักษลับแสดงให้เห็นถึงความภูมิอกภูมิใจ
ถ้าอย่างนั้นทั้งหมดนี้ก็นับว่าเป็นไปตามธรรมชาติ
ปากของซ่านจินจื๋อพูดว่าจะพาเขาไปออกรบ แต่ในสถานที่ที่มีการตีรันฟันแทงสู้รบกันอยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นจะหาอะไรไปเป็นหลักฐานได้ก็คงไม่เพียงพอ
มีคำสั่งให้องครักษลับออกไป กู้อ้าวเวยก็ได้หยิบมีดเล่มเล็กของตัวเองออกมาอีกครั้ง “แต่ข้าเองก็ไม่เคยได้ไปออกรบมาก่อน”
“ต่อให้นับว่าเจ้าต้องไปร่วมศึก ข้าก็จะคุ้มครองเจ้า”กุ่ยเม่ยพูดขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนใจ ยับเอายาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาจากกล่องยาที่เหน็บอยู่ตรงเอวแล้วยัดเข้าไปในกระเป๋าของกู้อ้าวเวย “นี่เป็นยาที่ทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นกลับคืนมาได้ เจ้าเอาไปติดตัวไว้เถอะ”
“ถ้าเช่นนั้นหากเจ้าเองต้องสู้รบกับคนอื่น ได้รับบาดเจ็บแล้วจะทำอย่างไรกัน”กู้อ้าวเวยรู้สึกไม่พอใจ
จากเรื่องของชิงต้ายในครั้นก่อน กู้อ้าวเวยเองก็ได้แอบเตรียมยาลูกกลอนที่ชุบชีวิตให้ฟื้นคืนอีกครั้งมาตั้งนมนานมาแล้ว ตามตำรับของตระกูลหยูน จุดสำคัญเลยก็คือคุณสมบัติตัวยาของเลือดมังกรและถุงน้ำดีหงส์ยากที่จะทำให้เป็นกลางได้ ต่อให้มีสารที่เต็มพร้อมไปด้วยถุงน้ำดีหงส์และเลือดมักร แต่ฤทธิ์ของตัวยาที่มีอยู่จริง ๆ ก็นับว่ามีเพียงแค่เม็ดนี้ มิหนำซ้ำยังมีกลิ่นของเหล้าออกมาเล็กน้อยด้วย
“ข้ายังวิ่งเร็วกว่าเจ้าเสียอีก”กุ่ยเม่ยช่วยนางทาวนรอบ ๆ เป็นจุดสุดท้าย
กู้อ้าวเวยจุ๊ปากขึ้น แล้วก็เก็บลง
แต่ทว่าแค่เพียงชั่วครู่ อ๋องจิ้งก็ได้นำพลทหารหนึ่งพันนายมาถึงยังเมืองกวนผิง เพราะว่าเรื่องที่ได้มีบัญชาลงไปกับหมู่ทหาร นายกองที่ได้เฝ้ารักษาเมืองไม่รู้ตั้งแต่พันคนถึงได้พากันรู้สึกไม่พึงพอใจต่อเขาขึ้น ใบหน้าท่าทีก็ไม่นับว่ามีความเคารพยำเกรงสักเท่าไหร่
กู้อ้าวเวยยืนรอต้อนรับอยู่ที่ประตูเมือง สบตากับซ่านจินจื๋อไปทีหนึ่งจากที่ไกล ๆ
ซ่านจินจื๋อเร่งฝีเท้าขึ้น กีบม้าที่ย่ำอยู่ก็ได้หยุดลงใกล้ ๆ กับกู้อ้าวเวย ม้าตัวสีดำสนิทก็ได้ทำเสียงพรืดออกมาจากทางจมูก ดวงตากลมโตสีดำสนิทคู่หนึ่งจ้องมองกู้อ้าวเวย
อย่างสำรวจ หันหน้าไปอีกครั้งพลางเดินวนรอบแล้วถึงหยุดลง ”
ซ่านจินจื๋อไม่ทันได้สังเกตว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับม้า กู้อ้าวเวยก็ได้ทำท่าถวายความเคารพ พูดขึ้นต่อไปว่า “ทั้งหมดได้น้อบพระบัญชาของใต้ฝ่าพระบาทอ๋องจิ้ง”
“ได้ยินมาว่า การปกป้องรักษาเมืองในครั้งนี้เป็นแผนการของเจ้า”ซ่านจินจื๋อทำใบหน้าเย็นชาลงพร้อมกับพูดขึ้น
กู้อ้าวเวยกระพริบตาปริบ ๆ พยักหน้าลง
ในช่วงเวลาถัดมา นางรู้สึกได้ว่าที่แขนถูกดึงขึ้นจนรู้สึกเจ็บ ตอนที่มีสติรู้ตัวขึ้นในตอนนั้น ตัวเองก็ได้นั่งอยู่ที่ด้านหลังของซ่านจินจื๋อ มีนายกองชั้นสูงจำนวนไม่น้อยเลยที่ได้ส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ แต่ซ่านจินจื๋อกลับพูดขึ้นด้วยเสียงเยียบเย็นว่า“ยังมีที่ที่ยังมีปัญหาอยู่ไม่กี่ที่ เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยก็แล้วกัน”
“ข้าขี่ม้าเองได้”กู้อ้าวเวยขัดขืนขึ้นด้วยความว่าอยากจะลงเสียเต็มแก่
นี่มันดูเหมือนอะไรกัน!
“ถ้าหากว่ารอให้เจ้าขี่ม้า เกรงว่าวันนึงก็คงไม่ได้ไปไหนกันแล้ว”พูดจบ ซ่านจินจื๋อก็ได้ยกแส้ขึ้น กู้อ้าวเวยรู้สึกตกอกตกใจ เพียงแค่รีบโอบยึดที่เอวของเขาเอาไว้เป็นมั่น พลทหารที่อยู่ด้านหลังสองร้อยนายก็ได้รีบตามมา
ออกจากเมืองแล้ว หิมะขาวโพลนกองพะเนินเทินทึกก็ได้บดบังเอาสีสันทุกอย่างไปทั้งหมด
ท่ามกลางพายุลมหิมะที่พัดเข้าปะทะกับใบหน้า นางก็ได้ยินซ่านจินจื๋อเอ่ยปากพูดขึ้นต่อไปว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนหนึ่งที่เป็นทายาทของตระกูลหยูน กลับได้มีความเข้าใจในกลยุทธ์ทางการทหารมากมายเช่นนี้”
“นี่มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ตระกูลหยูนของเราไม่ได้มีเพียงแค่หมอ ยังมีไม่น้อยเลยด้วยซ้ำที่เป็นผู้ปราดเปรื่องรอบรู้”กู้อ้าวเวยพูดขึ้น เพียงแค่รู้สึกว่าคนของตระกูลหยูนล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีความเก่งฉกาจ ค่อนข้างจะน่าภูมิอกภูมิใจ
“ถ้าหากว่าข้าประสงค์ คิดอยากจะสังหารเจ้าไม่ว่าเวลาใดก็ได้ ก็ต้องจัดการให้แบบถอนรากถอนโคน”
คำพูดเช่นนี้ยังเยือกเย็นเชือดเฉือนได้มากกว่าพายุลมหิมะในฤดูหนาวเสียด้วยซ้ำ
เพียงแค่เขาเต็มใจ กู้อ้าวเวยก็จะตกลงไปจากหลังม้าได้ในทันที
“แต่ว่าเจ้าเองก็รู้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นเพราะว่าข้าเพียงคนเดียว ข้าไม่ได้เป็นคนเรียกทัพเสริม คนที่พบเข้ากับรถลากหินก็ไม่ใช่ข้า” กู้อ้าวเวยกระซิบพูดขึ้น “ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้า จะต้องมีสักวันที่ซ่านเซิ่งหานจะสามารถมางัดข้อกับเจ้าได้ ”
“แต่ว่าสิ่งที่ข้าต้องการคือให้ซูพ่านเอ๋อมีชื่อเสียงถูกต้องไปทำนองคลองธรรม” น้ำเสียงของซ่านจินจื๋อพลันก็อ่อนโยนลง
คนที่อยู่ด้านหลังนิ่งงันไปครู่หนึ่ง พูดขึ้นด้วยความระอาใจว่า “ถ้านางไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีทำอะไรไม่เป็นไปตามเหตุและผล เจ้าก็จะไม่ชอบแล้วอย่างนั้น?”ในตอนแรกพี่สาวของข้าก็มีชื่อเสียง ทำอะไรไปตามเหตุตามผล เจ้ายังเอานางมาเป็นหมากหวังใช้ประโยชน์ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบนั่นแหละ
“เจ้าไม่เข้าใจ” “เพียงแค่เจ้าไม่เต็มใจที่จะยอมรับ”น้ำเสียงของกู้อ้าวเวยเหมือนน้ำแข็งเย็นที่ได้ไต่เลื่อนไปตามสันหลังของซ่านจินจื๋อ “นอกจากซูพ่านเอ๋อแล้ว นี่เจ้าไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยต่อราชบัลลังก์ที่ในวันนั้นจะหลุดลอยไปจากมือของเจ้าเลยหรือใช่ไหม”
ถูกพูดกระทบเข้ากับความเห็นแก่ตัวเบื้องลึกภายในจิตใจ ซ่านจินจื๋อก็ดึงบังเหียนขึ้นอย่างหงุดหงิด
กีบเท้าหน้าของม้าก็ได้ยกตัวขึ้นอย่างรุนแรง ด้านหลังของม้าก็เทเอียงไป
กู้อ้าวเวยก็ได้กลิ้งตกลงมาจากหลังม้า ตกลงมาหนัก ๆ ลงบนกองหิมะที่หนาทึบ เสื้อผ้าในฤดูหนาวทำให้นางไม่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดอะไรที่มากนัก แต่เสียงกองทัพม้าของพลทหารอีกสองร้อยนายที่อยู่ด้านหลังยังคงดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว
ทหารทั้งสองร้อยนายพากันหยุดอยู่ข้างกายนางอย่างที่คาดไม่ถึง กองทัพม้าพวกนั้นถ้าหากได้เดินก้าวไปข้างหน้าอีกสักก้าวก็คงจะพรากเอาชีวิตของนางไปแล้วด้วยซ้ำ
นายกองผู้ช่วยทำมือส่งสัญญาณด้วยความระมัดระวัง ให้คนถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อป้องกันไม่ให้ทำภยันตรายต่อเสนาธิการที่ตกลงมาจากหลังม้าได้
ในตอนนี้เรื่องที่หยูนเฉินได้ช่วยเหลือซ่านเซิ่งหานจัดการกิจธุระบ้านเมืองให้สงบมั่นคงก็ได้เผยแพร่ออกไป ได้รับการเชิดชูจากฝ่าบาท นางเองก็คงไม่ใช่จะตายไปได้ง่าย ๆ หรอก
กู้อ้าวเวยพยายามขัดขืนเงยหน้าขึ้นมองจากกลองหิมะ มองทะลุผ่านลมพายุหิมะจ้องมองไปที่ใบหน้าอันเยียบเย็นของซ่านจินจื๋อ
เฉกเช่นกับเมื่อก่อน นางฝืนคุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าของเขา หวังว่าเจ้าคนที่ประพฤติทำตัวหยาบช้ามาแต่แก่นรากของตนจะช่วยเหลือพวกพ้องของตัวเองได้ แต่ภายในใจของนางกลับเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่กำลังโหมไหม้
“ดูท่าทีของเจ้าเช่นนี้สิ ได้มีท่าทีเฉกเช่นเทพแห่งสงครามในวันนั้นกันเสียที่ไหน”
“เจ้าในบัดนี้ ไม่ได้เป็นเทพแห่งสงครามที่มีจิตใจคิดสู้รบเพื่อบ้านเมืองเหมือนในตอนแรกแล้ว เป็นเพียงแค่คนที่ใส่ใจกังวลอยู่กับความอ่อนแอที่ผ่านมาในอดีต ”
กู้อ้าวเวยตะโกนออกมาอย่างไม่ได้มีสติยั้งคิด “ซูพ่านเอ๋อก็ดี!สูญเสียราชบัลลังก์ก็พอแล้ว!นั่นมันเป็นเพียงของที่พันผูกไม่สามารถแยกเจ้าออกได้ แต่มันน่าขันที่ว่าเจ้าเองไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวตรงนี้เลยสักนิด ได้ยินคนพวกนั้นที่ได้ตะโกนเรียกชื่อของเจ้า เงยหน้ามองมาที่ท่าทีดั่งเทพนักสังหารมันมีความรู้สึกประสบความสำเร็จกันหรืออย่างไร!”
พลทหารทั้งสองร้อยนายต่างตั้งอกตั้งใจฟัง จ้องมองไปที่ซ่านจินจื๋อด้วยความหวาดกลัว
คนที่พูดถึงรู้สึกอับอายจนโมโหพลิกตัวลงจากหลังม้า เอาดาบที่ถูกเช็ดไว้จนส่องประกายออกมาวางไว้ตรงปลายจมูกของนาง
“อย่ามาแสดงท่าทีเหมือนกับพี่สาวของเจ้า”
“ข้าอยากจะฆ่าเจ้าเสียจนเต็มแก่ เอาไปฝังรวมอยู่กับนาง”
ช่างเหมือนกันมากยิ่งนัก!สายตาเช่นนี้เหมือนกับกู้อ้าวเวยในตอนนั้นที่โกรธโมโหราวกับเป็นคนเดียวกัน!
ซ่านจินจื๋อโกรธจนเดือดปะทุ แต่ดาบที่อยู่ในมือกลับได้ถูกพับเก็บลงในความทรงจำที่อยู่กับกู้อ้าวเวย ความรู้สึกผิดและความรักที่ไม่อาจลบเลือนได้หยุดยั้งความหุนหันพลันแล่นของเขาที่คิดอยากจะฆ่าคน
แต่กู้อ้าวเวยที่ถูกปลายดาบจ่ออยู่พลันก็มีสติคิดมาบ้าง สูดหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง นางค่อย ๆ ปิดตาลงแล้วก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาเพิกเฉยเยือยเย็น “เจ้าเองไม่เคยได้รู้ ความรู้สึกชอบของเจ้าที่มีต่อกู้อ้าวเวยได้มากเกินกว่าทุกสิ่ง จริง ๆ แล้วมันมีอะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าลงมือไม่ได้?”
ประโยคนี้ดูเหมือนกับกำลังสอบถามคนอยู่สองคน
กู้อ้าวเวยจะไปรู้ได้อย่างไร ซ่านจินจื๋อที่อดทนต่อการตีรวนของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเพียงเพราะว่าเขาช่างเหมือนกับกู้อ้าวเวยราวกับเป็นคน ๆ เดียวกัน