บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 460
บทที่ 460 ชื่อแช่
คำพูดนี้พูดออกไป กู้อ้าวเวยกลับยังไม่ทันจะได้พูด ก็ถูกขัดจังหวะขึ้น
“ชีวิตนี้ล้วนเป็นของท่าน เพียงแค่ท่านปล่อยน้องสาวของข้าสองคนไป” เด็กผู้ชายอายุราวสิบสามสิบสี่ขวบคุกเข่าอยู่บนกองฟืน โขกหัวเสียงดังอย่างรุนแรง เด็กผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่อยู่ด้านหลังต่างก็จ้องมองมาทางนาง
กู้อ้าวเวยรู้สึกโมโหขึ้นในทันใด ทำไมพวกเขาอายุสิบกว่าขวบจึงไม่รู้จักคำว่าชีวิตสองคำนี้
ตอนที่ดึงสติกลับมาได้ ตัวเองก็คลานไปที่กองฟืนแล้ว ดึงเขาขึ้นมาอย่างทันที มองเขาอย่างจริงจัง “ชีวิตของเจ้าก็คือเป็นของเจ้าเอง ไม่มีใครสามารถเอาไปได้”
เด็กผู้ชายอึ้งไป ทาสรับใช้ที่อยู่ด้านข้างหลายคนก็ล้วนพากันมองดูอย่างอึ้งๆ หลับไปกล้าพูดอันใด
กู้อ้าวเวยดึงเด็กผู้ชายคนนั้นลงมาจากเตียงอย่างใจกล้า เอาผ้าเช็ดหน้าที่เลอะขี้ฟืนขี้ฝุ่นให้เขาอย่างสะอาด มองเด็กน้อยที่ดวงตาดำกระด้างราวกับหิน พูดอย่างจริงจังว่า “เจ้ามีชื่อหรือไม่”
เด็กผู้ชายหดคอลง ส่ายหัว
“งั้นเจ้าก็ไม่นับว่าเป็นคน” กู้อ้าวเวยเอานิ้วที่แหลมเขี่ยไปที่แก้มอย่างอ่อนโยน เด็กผู้ชายคนนนั้นตกใจกลัวจนอยากจะจากไป แต่กลับเพราะว่าสันดานของทาสที่จะต้องยืนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน สบตากันอยู่นานพอควร กู้อ้าวเวยจึงค่อยๆ พูดขึ้นว่า “งั้นเจ้ามีตัวหนังสืออะไรที่ชอบ”
“ตัวหนังสือหรือ”
“ก็คือที่เจ้าเคยได้ยินในคำพูดพวกนั้นไง ชอบประโยคไหนที่สุด ข้าจะเลือกเอาหนึ่งตัวหนังสือมาตั้งชื่อให้เจ้า” กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าในใจของตนเริ่มเกิดความเอ็นดูขึ้น น้ำเสียงเริ่มอ่อนลง
นิ่งเงียบอยู่นาน เด็กผู้ชายจึงพูดออกมาอย่างเหม่อๆ ว่า “เมื่อก่อนคุณหนูบ้านข้าบอกว่า พระอาทิตย์ตกดินดูดีมาก”
กู้อ้าวเวยคิดไปคิดมา มองเขา “หากเจ้าเป็นเด็กผู้หญิง ไม่แน่ก็สามารถชื่อซีหยางได้ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นเด็กผู้ชาย งั้นชื่อสู้หยางดีกว่า สู้ก็คือดวงอาทิตย์กำลังขึ้น และคำว่าหยางที่อยู่ด้านหลังนั้น เจ้าก็สามารถคิดได้ว่าเป็นพระอาทิตย์ตกดิน”
“สู้……สู้หยาง(หมายความว่าพระอาทิตย์)หรือ” เด็กผู้ชายคิดไปมาอย่างเหม่อๆ ดูเหมือนกับว่าจะไม่เข้าใจกับความหมายของมัน
คนรับใช้เสี่ยวเอ้อนั้นก็ดูจะเอ็นดูเป็นพิเศษ ดึงเด็กผู้ชายมาสอนที่ข้างกาย กู้อ้าวเวยก็ให้กุ่ยเม่ยเอาอุปกรณ์เครื่องเขียนของตนเองมา กู้อ้าวเวยไม่คิดถึงเรื่องอื่นใดอีก แค่ตั้งชื่อให้เด็กราวๆ สามสิบกว่าคนที่อยู่ที่นี่ อีกทั้งยังเอาชื่อทั้งหมดเขียนออกมาด้วย วางใส่ไปในมือของพวกเขา
แต่พวกเขาไม่พูดแม้แต่คำพูดเดียว มีเพียงการแสดงความยินดีในดวงตาเท่านั้น
คนรับใช้เสี่ยวเอ้อมีชื่อว่าหลี่ซู เพียงแค่เพราะว่าพ่อแม่ของเขารู้จักแค่คำว่าซูตัวนี้ ก็เลยตั้งชื่อนี้ แต่หลี่ซูเป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้คนมากมายที่แคว้นเจียงเยี่ยน เป็นคนชนชั้นต่ำที่ทำหน้าที่เป็นทาสในแคว้นเจียงเยี่ยน ลูกที่มีกับทาสด้วยกันก็ได้เพียงเข้าสู่ตระกูลทาส แต่ก็มีเพียงทาสบางคนที่ฉลาดแข็งแรงจึงจะสามารถไปเป็นทหารได้ แม้แต่แค่หัวหน้าในหน่วยเล็กๆ ก็ได้ คนที่เกิดในรุ่นราวคราวเดียวกันในหนึ่งครอบครัวก็จะมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่สามารถปัดความเป็นทาสออกไปได้
แม้ว่าเป็นเช่นนี้ หลี่ซูก็ไม่มีทางที่จะหางานดีๆ อะไรทำได้ในแคว้นเจียงเยี่ยน ก็มีแค่คนรับใช้เสี่ยวเอ้อ เพราะว่าเขาทำอะไรได้หลายอย่างกว่าคนอื่น ฉลาดกว่า ค่าจ้างก็ไม่ได้สูงอะไร
กู้อ้าวเวยฟังที่หลี่ซูพรรณนาเรื่องราวของตนอย่างง่ายๆอยู่ ก็มองดูพวกเด็กที่ไม่ยอมพูด แล้วก็ไม่ยอมนอนอย่างปวดหัวอีก แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไร “อีกสักพักก็จะมีรายงานสงครามเข้ามา ข้าจะไม่อยู่พักหนึ่ง เจ้าดูพวกเขากินข้าวหลับนอนกัน”
“ท่านยุ่งของท่านเถอะ ที่นี่มีข้าคอยดูแลก็พอแล้ว” หลี่ซูรีบตบเข้าที่หน้าอก
กู้อ้าวเวยพยักหน้าทันที ตอนที่กำลังจะจากไป เสียงที่ไม่บรรลุนิติภาวะดังมาจากมุมกองฟืน “พวกเราต้องทำอะไรบ้างไหม”
“ไม่ต้อง” กู้อ้าวเวยส่ายหัวด้วยความแปลกใจ กลับเห็นพวกเด็กๆ ต่างห่อไหล่ด้วยความหดหู่
หลี่ซูรีบทะยานมาที่ข้างหูของนางแล้วพูดว่า “โดยปกติแล้วพวกเขาไม่ทำงาน ก็จะไม่ได้กินข้าว เกรงว่าจะหิวแล้ว”
กู้อ้าวเวยจึงเข้าใจขึ้นทันที ให้กุ่ยเม่ยไปเอาอาหารมา คิดไปคิดมา ก็เรียกผิงชวนมาด้วย กดเขาลงไปบนเตียงไม้ในห้องในนั่งลง ตบไหล่ของเขา “เจ้าดูพวกเขาให้ข้า อย่าให้ทหารของแคว้นชางหลานเข้าใกล้พวกเขาแม้แต่ครึ่งก้าว”
“เจ้ากลัว……”
“มักจะมีคนที่ชอบแอบทำอะไรไม่ดีไม่ชอบ จะว่าไปแล้วพวกเขาก็เป็นเด็กๆ แคว้นเจียงเยี่ยน” กู้อ้าวเวยพยักหน้า แล้วก็เอาขวดยาที่มีอยู่บนตัวไว้ให้ ยังกำชับอย่างเสียงเข้มว่า “ดีที่สุดให้ในใจของพวกเขาไม่โกรธแค้น ถึงเวลาข้าจะได้ใช้พวกเขาง่ายๆ หน่อย”
“พวกเขาล้วนเป็นแค่เด็ก ท่านก็จะหลอกใช้พวกเขาหรือ” ผิงชวนขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย
“ไม่เพียงแค่พวกเขา ข้ายังจะหลอกใช้ทาสรับใช้ของแคว้นเจียงเยี่ยนทั้งหมด อย่างน้อยก็ให้พวกเขาลุกขึ้นสู้” กู้อ้าวเวยพูดด้วยเสียงกดต่ำลง “แคว้นเจียงเยี่ยนจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูป”
“หลังจากนั้นล่ะ แล้วค่อยให้แคว้นชางหลานตีแคว้นเจียงเยี่ยนหรือ”
“เป็นอย่างนั้นได้อย่างไร สถานการณ์ตอนนี้ข้ารู้สึกว่ามันไม่เลวเลยทีเดียว” กู้อ้าวเวยค่อยๆ ส่ายหัวไปมา คิดไปคิดมา “แม้ว่าข้าจะคิดวางทุกอย่างไว้อย่างสวยงาม แต่ข้าหวังว่า ทั้งสามแคว้นล้วนจะอยู่เย็นเป็นสุขกันทั้งสิ้น”
ผิงชวนไม่เข้าใจว่าที่แท้นางกำลังคิดอะไรกันแน่
มีเพียงกุ่ยเม่ยที่ดึงนางไว้ บอกนางว่าคนด้านนั้นของแคว้นเจียงเยี่ยนเริ่มบุกโจมตีเมืองชี่แล้ว แต่ไพร่พลและม้าของอ๋องจิ้งดูเหมือนว่าจะไล่ตามมาที่เมืองชี่ไม่ทัน ออกคำสั่งให้องค์ชายสามเคลื่อนกำลังพล นางจึงค่อยๆ ลุกยืนขึ้น แล้วเดินตามกุ่ยเม่ยออกไปด้านนอก
เดินมาบนทางที่ไม่มีคน กุ่ยเม่ยถามนางว่า “ทาสรับใช้ของแคว้นเจียงเยี่ยนไม่ใช่จะสามารถตีแตกได้ในวันเดียว”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรจะไปต่อสู้” กู้อ้าวเวยค่อยๆ พูดออกมา “น่าเสียดายที่อำนาจไม่มีอะไรแน่นอน หากกดแคว้นเจียงเยี่ยนลงได้ ยังมีแคว้นเจียงเยี่ยนอีกนับไม่ถ้วนที่จะถูกกดลง และผู้ที่ถูกทำให้พ่ายแพ้พวกนั้นก็จะถูกแคว้นชางหลานมองอย่างดูแคลน ต้องมีสักวัน ดินแดนทั้งหมดจะถูกแบ่งแยกออก ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะเก็บเอาไว้ตามที่มันควรจะเป็นมากกว่าการกลืนกิน”
“เจ้าเริ่มจะช่วยแคว้นเจียงเยี่ยนแล้วหรือ” กุ่ยเม่ยมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ อีกทั้งยังดึงนางเอาไว้ “เจ้าก็เป็นแค่จุนซือตัวเล็กๆ อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงของแคว้นเอ่อตาน ทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ตรงไหนเลย”
“มีประโยชนืสิ” กู้อ้าวเวยก็หันกลับไปมองเขาอย่างจริงจัง “ถึงเวลาข้าอยากอยู่ด้วยกันกับเจ้า พาชิงต้ายไปด้วยตามที่เราสัญญากัน มองดูโลกใบใหญ่ ข้าไม่อยากเห็นเลือดไหลเต็มแม่น้ำ ซากศพกลาดเกลื่อน ยิ่งไม่อยากเห็นทาสรับใช้พวกนี้กลายเป็นมดที่อยู่ใต้เท้าของคนแคว้นชางหลานอื่นๆ อีก ในเมื่อข้าสามารถทำได้ ข้าก็ควรจะไปทำ”
“เจ้าแค่คนคนเดียว”
“แต่ใดๆ เล่า ข้าเพียงคนเดียวก็สามารถเป็นวงล้อของทั้งหมดได้” กู้อ้าวเวยค่อยๆ เอามือของตัวเองยื่นห่างออกไป แววตาแน่วแน่ “ข้าไม่เคยเอาตัวเองเป็นคนของแคว้นชางหลานหรือว่าคนแคว้นเอ่อตาน ภายใต้ชื่อพวกนี้ อันดับแรก ข้าต้องเป็นคนที่เหยียบย่ำลงสู่พื้นดินอย่างมั่นคง เป็นคนที่มีชื่อแซ่”
มองดูด้านหลังของกู้อ้าวเวย กุ่ยเม่ยเหมือนกับว่าศิษย์พี่มองดูน้องสาวที่มุมานะอย่างนั้น เดินตามขึ้นไป “งั้นก็ออกแรงทำให้ดีที่สุด”
กู้อ้าวเวยมองคนที่เปลี่ยนใจในเวลาเพียงชั่วครู่อย่างประหลาดใจ ค่อยๆ หัวเราะออกมา “แน่นอน”
“ดังนั้นฐานะองค์หญิงของแคว้นเอ่อตาน……”
“ขึ้นอยู่กับท่านแม่ นางอยากให้ข้าได้กลับไปรู้จักกับพ่อ ข้าก็ยอม หากนางไม่ยอม ข้าก็ไม่เพียงแค่หยูนเฉินตัวน้อยๆ” กู้อ้าวเวยรีบเดินไปทางกระโจม
ในกระโจมเริ่มมีการแตกแยกทางความคิดขึ้นนานแล้ว มีคนคิดว่าจะไปช่วยเมือง แต่อีกคนกลุ่มหนึ่งกลับแสดงถึงความต้องการทำตามแผนการที่เคยพูดเอาไว้ จะดีกว่าไหมถ้าคุณสามารถตัดกองทัพของฝ่ายตรงข้ามนับหมื่นคนได้
ตอนที่กู้อ้าวเวยเข้ามา คนไม่น้อยล้วนต่างพากันมองมา ซ่านเซิ่งหานก็เอ่ยปากขึ้น “จุนซือคิดเห็นเช่นไร”