บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 466
บทที่ 466 ตั้งใจแก้แค้น
องครักษ์24นายคอยปกป้องไม่ห่างแต่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องระหว่างนางกับอ๋องจิ้ง
ตอนนี้รอผิงชวนเอาชุดเกราะกับดาบสองพันกว่าชุดมาตามคำสั่งขององค์ชายสาม องครักษ์นายหนึ่งก็มาอยู่ข้างๆกู้อ้าวเวยอย่างไร้สุ้มเสียงทำให้นางตกใจ “เจ้าคือ…..”
“ข้าชื่อเห้อเฟย ถ้าแม่นางต้องการอะไรก็เรียกข้าได้ตลอดเวลา”บนหน้าคนนั้นมีผ้าคลุมอยู่ก้มหัวลงมาตรวจสอบเกราะเงินและดาบยาวแต่ใต้รถม้าก็ยังมีอาวุธสงครามอีกสองกล่อง
อาวุธสงครามสองกล่องนั้นเป็นสิ่งที่เขาเตรียมไว้ให้เหล่าทาสก่อปฏิวัติ
แต่องครักษ์ตรงหน้ากลับเป็นคนชางหลานเป็นสายลับของฮ่องเต้แน่นอนว่าไม่สามารถพูดให้เข้าใจชัดเจนได้และเห้อเฟยนี้ก็ไม่ควรไปถามอะไร
หลังจากที่เห้อเฟยตรวจสอบแบบผ่านๆก็จะจากไปแต่กู้อ้าวเวยจับปลายแขนเสื้อด้านในของเขาไว้ได้อย่างรวดเร็ว “รอบนี้ข้าต้องแสร้งไปเจรจาที่แคว้นเจียงเยี่ยน เจ้าเลือกคนที่คุ้มครองภายนอกมา7คนส่วนที่เหลือก็แอบติดตามคุ้มครอง”
เห้อเฟยถาม “เจรจาอะไรกับแคว้นเจียงเยี่ยน?”
“ไม่ได้มีผลร้ายอะไรกับชางหลาน ถ้าเจ้าอยากขัดขวางข้าสู้ไปกับข้าซะดีกว่า”กู้อ้าวเวยตบหลังม้าเบาๆแล้วกลับตัวบนม้าอย่างคล่องแคล่วมองเขาจากด้านบน “เอาอาวุธสงครามพวกนี้ไปฝังไว้กลางป่า รอจนถึงเวลาก็เปลี่ยนกับรถสินค้าที่ข้าเตรียมไว้”
สีหน้าเห้อเฟยเคร่งขรึม “แต่ความปลอดภัยของท่าน…..”
“ตราบใดที่พวกเจ้าทำตามที่ข้าบอก ก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้า” กู้อ้าวเวยเห็นร่างไหวๆของกุ่ยเม่ยจึงยกมุมปากขึ้นแล้วเดินไปทางกุ่ยเม่ย
แต่เห้อเฟยยืนอยู่กับที่กลุ่มองครักษ์ซ่อนตัวอยู่ในความมืดแต่ไม่มีใครกล้าไล่ตามขึ้นไป
สถานที่นี้ควบคุมไม่ถึง เห้อเฟยแม้ได้รับคำสั่งว่าให้ติดตามนางไม่ให้ห่างแต่สุดท้ายก็ต้องรับประกันความปลอดภัยของนาง รับใช้นาง ถ้าหากมีการเปิดโปงเพราะการจัดการที่ไม่เหมาะสมของพวกเขาเกรงว่าความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศจะมีปัญหา จึงทำได้เพียงถอยหลัง1ก้าวแล้วทำตามที่นางกำชับ ไม่กล้าทำเกินกว่ากฎ
กุ่ยเม่ยถามสองสามประโยคแล้วทั้งสองคนก็ควบม้าลงแส้ไปแคว้นเอ่อตาน
ด้วยความที่กลัวคนมองออกกู้อ้าวเวยก็พันตัวเองแน่น ถ้ามองจากไกลๆก็นึกว่าเป็นคนที่มาจากทะเลทราย ผ้าพันคอบนไหล่ก็คลุมใบหน้าไปครึ่ง, มีเหยือกเหล้าอยู่รอบเอวด้านหลัง, มีถุงเดินทางขนาดใหญ่ส่วนมากเป็นเสื้อผ้าหนาๆ เข้าเมืองชายแดนแคว้นเอ่อตานก็ไม่มีใครพบ
สุ่มหาโรงเตี๊ยมสักแห่งเพื่อปักหลัก กู้อ้าวเวยวางเงินอย่างไม่สนใจ หาผู้คุ้มกันการขนส่งสองสามคนและต้องการซื้อของสองสามกล่องไปชายแดนของแคว้นเจียงเยี่ยนเพื่อทำเงินและใช้ประโยชน์จากวิกฤตของประเทศ
แม้ว่าการใช้ประโยชน์จากวิกฤตของประเทศจะถูกคนดูถูกแต่หนึ่งในสามส่วนของพรมแดนแคว้นเอ่อตานเขตแดนที่ติดต่อกันเป็นทะเลทรายซึ่งแห้งแล้งมาก คนในนั้นอาศัยเงินพวกนี้เพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ ตราบใดที่ไม่ทำร้ายบ้านตนเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร ผู้คุ้มกันการขนส่งสองสามคนก็ล้วนพูดเงื่อนไข “สามารถขนส่งได้ เมื่อเข้าไปในเมืองเจ้าค่อยหาคน”
“แน่นอนแน่นอน” กู้อ้าวเวยยิ้มตาหยีสั่งให้กุ่ยเม่ยส่งเงินไป หลังจากนัดสองสามวันก็มารับสินค้า สองคนด้านนั้นก็จ่ายเงินเหลือไว้แต่ห้อง ส่วนคนก็รีบเดินจากไป
แม้ว่าเถ้าแก่เนี้ยที่มีนิสัยซุบซิบนินทาก็อดไม่ได้ที่จะเขี่ยๆทองในมือแล้วบ่นว่า “คนจากทะเลทรายมามีเงินมากเช่นนี้แต่กลับไม่รู้ว่าการที่ใช้ประโยชน์จากวิกฤตของประเทศนั้นมันสบายหรือไม่สบายใจ”
พูดยังไม่ทันจบประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักเปิดอย่างแรง เหล่าทหารที่คุ้มครองเมืองก็ถูกอัดเข้ามาในโรงเตี๊ยมแน่นทำให้แขกตกใจปิดปากร้อง
หัวหน้าชุดเกราะเงินดาบยาวก้าวขึ้นมาข้างหน้า พูดเสียงทุ้มว่า “คนที่ใช้ประโยชน์จากวิกฤตของประเทศเมื่อครู่นี้…….”
“พวกนี้คือชื่อ เงินสองก้อนนี้เป็นของเขา” เถ้าแก่เนี้ยเจอสิ่งแปลกจนชินตาจากจุดตรวจในเมือง แล้วก็ยังเรียกผู้ร่วมงานเอาสัมภาระเดินทางพวกนั้นโยนลงมาแต่ข้อมือถูกฝักมีดขวางไว้เบาๆ
หัวหน้าผู้ที่หน้าเย็นชาเอาเงินสองก้อนนั้นใส่ลงในกล่องไม้แล้วก็ล้วงเงินอีกสองก้อนส่งให้เถ้าแก่เนี้ยพร้อมกำชับว่า “ถ้าเจอเขาอีกให้ส่งคนมาบอกข้าอย่าเพิกเฉยหล่ะ”
“เจ้าค่ะ……เจ้าค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยรับมาไว้ที่มือแล้วมองหัวหน้าจากไปอย่างตัวสั่น
เมื่อมาถึงประตู กล่องไม้ก็ถูกมอบให้กับทหารอีกนาย “ดูแลให้ดี รอให้เขากลับมาแล้วค่อยเอาทองนี้คืนให้เขา”
เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นน้อยนักที่เมืองชายแดน หัวหน้าผู้ที่หน้าเย็นชาคือหน้าอสูรที่รู้จักกันดีในแคว้นเอ่อตาน ในวันปกตินอกจากฝึกโจรม้าพ่อค้ามนุษย์ก็จะไม่ออกมา คนที่รู้ก็พอจะเดาตัวตนของคนนั้นในตอนนี้ได้
ทำให้กู้อ้าวเวยที่ยังเดินออกไปไม่ถึง20ไมล์ก็จามขึ้นมาบนหลังม้าแต่โชคดีที่ภูเขาเส้นนี้โพรงให้หลบเพื่อหยุดพักหายใจ ตอนนี้กำลังจะเข้าฤดูร้อนก็เริ่มมีฝนปรอยๆกลางดึก
สองเท้าของกู้อ้าวเวยรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก กุ่ยเม่ยก็รีบหาฟืนมาจุดไฟแล้วก็อดถามไม่ได้ว่า “ของสองพันชุดนี้มอบเป็นของขวัญแก่แคว้นเจียงเยี่ยน หลังจากนี้เจ้าควรจะทำอะไรต่อ?”
“ควรทำอะไรก็ทำที่ดีที่สุดก็ให้พวกเขาพบว่าข้าเป็นผู้หญิงถึงเวลานั้นต้องมีคนยอมเอาคนใกล้ชิดมาอยู่ข้างกายข้า”กู้อ้าวเวยถูๆมืออุ้มถุงผ้าฝ้ายของตนเอง “แต่ว่านายพลของแคว้นเจียงเยี่ยนข้าไม่รู้จักสองสามคน ครั้งก่อนล่ายเสวียนนั่นก็ดูฉลาดแต่วันนี้พอคิดดีๆแล้วคนนั้นกลับเป็นคนขี้ขลาด”
“เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”กุ่ยเม่ยเอาปลาสองสามตัวที่อยู่ในมือล้างทำความสะอาดแล้วเสียบไม้
“ข้าแค่คิดว่า ถ้าข้าเอาแม่ทัพหน้าเย็นชาขี้ขลาดนั้นใส่ถุง วันหลังใจดวงนี้ก็ไม่ต้องเอาไปไว้ที่ซ่านจินจื๋อ” กู้อ้าวเวยพูดไปเรื่อยแล้วก็กินสายตาดุร้ายของกุ่ยเม่ย ทำได้เพียงก้มหดหัวรอปลา “ล้อเล่น”
“รอถึงแคว้นเจียงเยี่ยนแล้วเจอท่านหญิง ประโยคนี้ข้าจะเป็นคนบอกเอง” กุ่ยเม่ยพูดเสียงต่ำ
กู้อ้าวเวยไม่กล้าโต้ตอบได้แต่มองกุ่ยเม่ยอย่างอึดอัดใจ
หลังจากนั้นก็ได้แต่เอาใจด้วยการเอาปลาเผาสองไม้ยัดให้นาง ในใจก็อยากหัวเราะ คนนี้ในที่สุดก็มีคนควบคุมนางอยู่ ไม่งั้นกู้อ้าวเวยที่นิสัยอย่างงี้ก็ไม่รู้ว่าออกไปข้างนอกจะก่อเรื่องยุ่งยากแค่ไหน
แต่เมื่อกู้อ้าวเวยแค่คิดว่าจะเอาท่านแม่เข้ามาพัวพันกับเรื่องเช่นนี้ก็อดรู้สึกปวดหัวไม่ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อพิพาทของหยุนหว่านกับฮ่องเต้แคว้นเอ่อตาน แต่ตอนนี้หยุนหว่านและตนเองที่นี่จะเป็นคนที่ตายไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะยุทธการที่เริ่มโดยแคว้นเจียงเยี่ยน ต้วนโฉงก็ไม่ปล่อยตนเองง่ายๆ แต่ถ้าให้องครักษ์พวกนั้นเจอหยุนหว่าน……
ก็ไม่รู้ว่าต้วนโฉงจะลงมือกับหยุนหว่านเหมือนฮ่องเต้คนก่อนหรือไม่
คิดไปคิดมาทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือให้หยุนหว่านไปขอหลบภัยกับฮ่องเต้แคว้นเอ่อตานแต่หยุนหว่านเหมือนว่าจะไม่อยากพบกับฮ่องเต้แคว้นเอ่อตาน แต่แน่นอนว่านางไม่สามารถเพิกเฉยต่อความรู้สึกตัวเองเพื่อตัวเลือกที่ดีที่สุด
ถ้างั้นตนเองก็ต้องเพิ่มตัวเลือก สงครามครั้งนี้สำหรับเธอแล้วก็ยิ่งเหมือนหมากกระดานหนึ่ง ห่างจากเป้าหมายจริงๆของเธอยิ่งนับวันยิ่งเหมือนไกล—— เธอต้องการให้ซูพ่านเอ๋อจ่ายค่าตอบแทนให้ลูกตนเอง
แสงไฟส่องเข้าตาของกู้อ้าวเวย กุ่ยเม่ยก็ฉีกแป้งชิ้นใหญ่ยัดเข้าปากเธอ “แววตาน่ากลัวขนาดนี้ อย่าให้ใครเห็นเข้าหล่ะ”
กู้อ้าวเวยเก็บความเกลียดชังในสายตาอย่างใจลอยแล้วปิดตาตนเองอย่างไม่รู้ตัว “ข้ามักจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ ข้าไม่มีวิธีจินตนาการได้ว่านางยังรักกันหวานชื่นกับซ่านจินจื๋อแต่นางก็เทียบไม่ได้กับสงครามของคนนับล้าน”