บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 515
บทที่ 515 เปิดเผยธาตุแท้ออกมาตามธรรมชาติ
เรือนพำนักของกู้เฉิง ถนนอึกทึกคึกโครมที่อยู่ด้านนอก บัดนี้ดูเงียบวังเวง
ซ่านจินจื๋อยืนอยู่ข้างกายของกู้อ้าวเวย ถึงแม้ว่าร่างกายจะเหยียดตรง แต่ผมที่ปกติจะรวบเอาไว้อย่างสูง ๆ วันนี้ได้สยายลงมา ด้านข้างของหน้าก็ทำให้นูนออกมาเล็กน้อย มองไปแล้วเหมือนกับใบหน้าของตุ๊กตาที่ยากจะพบได้ในบุรุษ แต่ดวงตาคู่นั้นก็เล็กและยาวออกมา ท่าทางดูเคร่งขรึมเยียบเย็น
กุ่ยเม่ยบอกว่าการแต่งตัวแต่งหน้าเช่นนี้ได้ร่ำเรียนมาจากฉูห้าว
หลังมือของกู้อ้าวเวยชนเข้าไว้กับซ่านจินจื๋อ คนหลังก็ค่อย ๆ หัวเราะออกมาเบา ๆ ลากเอามือของซ่านจินจื๋อเดินเข้าไปด้านในอย่างอาจ ๆ เพียงแค่เรียกให้กู้เฉิงได้มองเห็น
กู้เฉิงรู้สึกเพียงแค่ว่าคนผู้นี้มีหลายส่วนที่คล้ายกับซ่านจินจื๋อ
“คนผู้นี้คือ?”
“คุณชายคนโตของฟาร์มม้า”กู้อ้าวเวยพูดขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ เพียงแค่ยิ้มอย่างแช่มชื่นให้กับซ่านจินจื๋อ แล้วถึงได้มายืนอยู่ที่ด้านหน้าของกู้เฉิง “เขาตามข้ามาด้วย เนื่องด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของข้า”
“เขาหน้าตาช่างเหมือน……”
“เรื่องพวกนี้มันเก่าแล้ว หรือใต้เท้าไม่ต้องพูดแล้วดีกว่า”กู้อ้าวเวยแสร้งไอออกมาไม่กี่ทีด้วยความรู้สึกกังวล
นี่ก็กลัวว่าคนรักใหม่ของนางจะรู้เรื่องราวที่เคยผ่านมาก่อน
กู้อ้าวเวยก็เลยไว้หน้าให้ แสดงท่าทีว่าอ้ายจือได้ออกไปแล้ว ล่ายเสวียนเองก็พำนักอยู่เรือนอื่น ได้ให้เรือนหลักขนาดใหญ่เป็นที่พักของพวกเขาทั้งสองอยู่กันเพียงลำพัง บัดนี้เองกู้อ้าวเวยก็จิกเล็บลงบนกลางฝ่ามือ กลั้นลมหายใจจนหน้าค่อย ๆ แดงขึ้น เป็นท่าทางที่ดูมีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง
“ก็แค่เป็นการนัดแนะของเราทั้งสอง นี่ยังมีประโยชน์รึ?”กู้อ้าวเวยพูดด้วยเสียงกระซิบ
“รอให้ได้พบกับฝ่าบาทก่อน ข้าจะมาด้วยตัวเอง ใต้เท้าไม่ให้คนนอกเข้าไปรบกวน”กู้อ้าวเวยพูดขึ้นเบา ๆ พลางมองไปที่ซ่านจินจื๋อทีหนึ่ง ราวกับว่าไม่อยากให้ ‘คนรัก’คนนี้รับรู้ด้วย
กู้เฉิงเองพอจะเข้าใจความหมาย พยักหน้าแล้วผละตัวออกไป
ในเมื่อรู้แล้วว่าผ่านไปไม่กี่วันกู้อ้าวเวยก็มีคนใหม่ ฝ่าบาทเองก็ไม่ได้ออกรับสั่งเรียกมาให้ทันเวลา พลางกำชับผู้คนว่าไม่จำเป็นก็ห้ามรบกวน แม้กระทั่งนางกำนัลและผู้ดูแลก็ให้รออยู่ที่กำแพงด้านนอก หลีกเลี่ยงที่จะไปรบกวน
ซ่านจินจื๋อเดินเข้าไปในห้อง เมื่อได้นั่งลงสายตาก็ดูน่ากลัวขึ้น “กู้เฉิงผู้นี้ช่างเตรียมไว้พร้อมจริง ๆ”
“เขาเป็นคนฉลาดถึงได้อยู่ในจนถึงทุกวันนี้”กู้อ้าวเวยเอนพิงอยู่ที่ขอบเตียงอย่างขี้เกียจ ตบลงบนขาตนเองด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง “เมื่อก่อนไม่รู้สึกนะ ตอนนี้ชิงจือไม่อยู่ ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้นเอาเสียเลย”
“ในตอนที่เจ้ายังเด็กก็ยังไม่เคยได้ดูแลเขาไม่กี่วัน บัดนี้ทำไมถึงได้สนิทสนมใกล้ชิดนักล่ะ”ซ่านจินจื๋อรินน้ำชาให้กับตนเองหนึ่งแก้ว
“ข้าเพียงแค่รู้สึกแปลกใจ”กู้อ้าวเวยเท้าแขนอยู่ตรงข้างเตียง มองไปที่นอกหน้าต่าง “เมื่อก่อนไม่ว่าข้าจะทำอะไรล้วนแต่เป็นสิ่งที่ใจคิดอยากจะทำ ไม่มีอะไรที่ต้องยึดติด ลมโชยพัดไปแห่งหนใด ข้าก็ย่ำไปให้ถึงที่นั่น แต่บัดนี้ เพียงแค่รู้สึกว่ามีของมายึดเหนี่ยวเอาไว้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกไม่ดีอะไร แต่ข้ายังปรับตัวไม่ค่อยได้”
ซ่านจินจื๋อเองก็ไม่เคยพบกับปัญหาเช่นนี้มาก่อน
ตั้งแต่เล็กจนโตเขารับรู้และเข้าใจภารกิจในสถานะของตนเองเป็นอย่างดี ภายหลังที่ได้พบกับท่านอาจารย์ชายหญิง รวมถึงซูพ่านเอ๋อ เขาเองก็ได้เอาใจไปพันผูกอยู่กับครอบครัวและคนพวกนี้ จวบจนเวลานี้ที่ได้ฉีกหน้ากากของซูพ่านเอ๋อออกได้แล้ว เขาเองก็รับรู้ว่าควรจะทำเช่นไรให้ได้มาอยู่ข้างกายกู้อ้าวเวย
ถ้านับแบบนี้แล้ว กลับเป็นเขาเสียเองที่เป็นคนที่เอาใจออกห่างจากคนไม่ได้
“จะว่าไปแล้วนะ ในเมื่อข้าเองได้มาถึงที่แห่งนี้ เจ้าคิดว่าในตอนที่ซูพ่านเอ๋อกำลังเคร่งเครียดอยู่เช่นนี้ นางจะทำอะไรกับข้าไหม?”กู้อ้าวเวยเปลี่ยนเรื่องในทันที ยกเอาผ้าปูและหมอนของตัวเองเอามาวาง
ภายใต้ความว่างเปล่าเช่นนี้ นางก็จัดแจงให้ทุกซอกทุกมุมอย่างไม่วางใจ
เป็นไปไม่ได้เลยที่อ้ายจือจะจากไปโดยที่ยังไม่ได้ทักทาย นอกเสียจากว่านางมีใจไปคิดพึ่งพาคนอื่นแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว กู้อ้าวเวยก็เลยไปห้องของอ้ายจือดูสักรอบ ก็ยังคงไม่ได้ข่าวคราวอะไร ภายในห้องสะอาดเอี่ยมอ่อง ราวกับว่า แม้กระทั่งร่องรอยที่อ้ายจือเคยพำนักอาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่มี
“นิสัยของอ้ายจือนี่ ตัวข้าเองก็เดาทางไม่ถูก”กู้อ้าวเวยจำใจต้องหมุนตัวผละออกมา แต่กลับชนเข้ากับซ่านจินจื๋อที่กำลังเดินเข้ามาจากด้านหลัง คนที่ว่าใช้มือข้างหนึ่งประคองนางเอาไว้ อีกมือหนึ่งวางจรดตรงดาลลั่นประตู ดึงเอาถังไม้ไผ่เล็ก ๆ ออกมาได้ใบหนึ่งจากที่ด้านใน
กู้อ้าวเวยก็ยังอยู่ในอ้อมแขนของเขา รับเอาถังไม้ไผ่นั้นมาเปิดออก กระดาษที่ด้านในก็ตกลงมา ส่วนดาลลั่นประตูหลังจากที่ซ่านจินจื๋อได้เอาถังไม้ไผ่ใส่กลับเข้าไปแล้วนั้น ก็มีแผ่นไม้แผ่นหนึ่งที่ขวางเอาไว้ เป็นเครื่องเล็ก ๆ
“ซูพ่านเอ๋อออกคำสั่งให้คนจู่โจมสังหาร พยายามพิสูจน์สถานะ”
ถ้อยคำสั้น ๆ กระชับ กู้อ้าวเวยได้เอาม้วนกระดาษนั้นยัดลงไปในถุงเงิน ลากซ่านจินจื๋อเดินออกไปด้านนอก “นี่เจ้าพบเครื่องนี้ได้ยังไง”
“ประตูของทั้งเรือนมันก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด เพียงแค่ว่าคนแคว้นเจียงเยี่ยนไม่ได้ทำเครื่องขึ้นมา แต่ในถังไม้ไผ่จะมีพวกยาสมุนไพรอยู่บ้าง”ซ่านจินจื๋อกระซิบตอบ “เจ้าเองคงจะจำได้ว่าเคยมีเมืองที่กลายเป็นเมืองคนตาย ในบัดนี้ยังได้แขวนพวกยาสมุนไพร คนแคว้นเจียงเยี่ยนก็จะเอายาสมุนไพรนี้มาเป็นเหมือนเทวดาอารักษ์ประตู”
“ทำไมข้าถึงไม่รู้?”เห็นกันอยู่ว่าตัวนางเองก็อ่านพวกประวัติประจำท้องถิ่นมาเป็นจำนวนมากขนาดนั้น
“ตามที่พวกเขาว่าแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องพวกจารีตประเพณี ช่างไม้เองก็ให้ความใส่ใจกับเรื่องพวกนี้แล้วทิ้งที่ว่างเอาไว้ แต่ที่ด้านในจะใส่หรือไม่ใส่ของเอาไว้นี่ก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง อีกทั้งคนนอกจำนวนมากก็หาความลึกลับของสิ่งพวกนี้ไปไม่ได้ ก็เลยไม่มีคนจดบันทึกเอาไว้”ซ่านจินจื๋อเดินตามอยู่ที่ด้านหลังของนาง “แต่ทว่าครั้งนี้นับว่าโชคดี ที่ข้ามาด้วย”
“ใช่น่ะสิ นับว่าเจ้าเองก็จักพิษสงของซูพ่านเอ๋อแล้ว”ประกายเล็ก ๆ จากดวงตาของกู้อ้าวเวยชำเลืองปราดไปที่ข้างประจู แล้วก็ค่อย ๆ ลดฝีเท้าลง แล้วก็เอียงตัว แสร้งทำเป็นว่าจะหอมลงที่ข้างใบหน้าของซ่านจินจื๋อ “ดูท่าไม่ว่ายังไงกู้เฉิงก็ยังไม่วางใจความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้า”
“เช่นนั้นก็พิสูจน์สิ”ซ่านจินจื๋อหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมาหนึ่งที ยกแขนขึ้นโอบรอบเอวของกู้อ้าวเวย ทำท่ากึ่งเหมือนจะอุ้มคนตรงไปที่ห้องนอน คนที่ว่ากลับผ่อนคลายร่างกายและจิตใจลง การกระทำเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก มิหนำซ้ำยังเป็นการแสดงละครอีกด้วย
ทั้งสองคนแสร้งทำเป็นว่าพากันเข้าห้องด้วยท่าทีดูดดื่มปานจะกลืนกิน จวบจนเมื่อบานประตูได้ปิดลง กู้อ้าวเวยถึงได้ถลาตัวออกจากอ้อมแขนของเขาอย่างคนรู้งาน ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ พลางค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองไปที่เขา “ในเมื่อรู้นิสัยของซูพ่านเอ๋อแล้ว ต่อไปเจ้าคิดจะทำยังไงกับนาง?”
“ก็จัดการตัดแขนทำลายขาทั้งสองของนางทิ้งเสีย ให้นางใช้ชีวิตที่เหลือสำนึกชดใช้ในบาปต่ออาจารย์ชายและหญิง”
ท่าทีอันอ่อนโยนของซ่านจินจื๋อในเมื่อครู่ ในบัดนี้ได้กลายเป็นความโหดเหี้ยมหยาบกระด้าง
กู้อ้าวเวยกลับยิ้มออกมาอย่างหน้าชื่นตาบาน รินน้ำชาให้เขาหนึ่งจอก “ข้ากำลังคิดหาเหตุผลที่จะออกไปอยู่พอดี ถือว่าเป็นการใช้แผนซ้อนแผนดีกว่าไหม?”
……
……
ผ่านไปเป็นหลายวันหลังจากนั้น ม้าศึกหนึ่งพันตัวก็เตรียมพร้อมอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
มีข่าวลือออกมาว่าเจ้าหญิงแห่งแคว้นเอ่อตานพำนักอยู่ร่วมกับคนรัก เสียงหัวร่อต่อกระซิกในเรือนไม่เคยได้หยุดได้หย่อน แม้กระทั่งสายสืบที่กู้เฉิงสั่งมาก็มองปัญหาไม่ออก เพียงแค่รู้สึกว่าทั้งคู่สนิทสนมกันมาก กระทั่งว่าตัวกู้เฉิงเองที่ได้เชิญพวกเขาทั้งสองให้ไปรับประทานอาหารข้างนอก ทั้งสองคนต่างก็เอาแต่จ้องหน้ามาตากันตลอด
“ข้ากลับรู้สึกว่าขนมของแคว้นเจียงเยี่ยนไม่หวานเลี่ยน มีกลิ่นหอมของดอกไม้ มีรสชาติเป็นเลิศนัก”มือของกู้อ้าวเวยหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง พลางใช้ดวงตาเหมือนดอกท้อที่ส่องประกายรบกวนจิตใจของผู้คนจ้องมองไปที่ซ่านจินจื๋อ
คนที่ว่าทำได้เพียงแค่รักษาท่าทีที่ดูคงแก่เรียน เพียงแค่เรียกคนงามที่ดึงดูดสายตาในหลายวันมานี้แล้วก็อดทน ใบหน้ายิ่งแสดงท่าทีถึงความรักเปี่ยมล้นที่มีต่อนาง จำต้องกระซิบไปว่า “ก็มีเจ้านี่แหละถึงจะกินของเล่นหวานเลี่ยนเช่นนี้ลง”
ถูกพูดมาเช่นนี้แล้ว ทั้งสองคนกลับประสานตาแล้วพากันหัวเราะ ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นเช็ดผงน้ำตาลที่อยู่มุมปากของนาง
กู้เฉิงเดิมทีคิดว่าคนทั้งสองมีเป้าหมายแผนการ ถ้าหากว่าไม่ได้ใช้สายตานั้นจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ก็นับว่าดูเป็นธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง จำต้องไอกระแอมออกมาเบา ๆ ไม่กี่ที “ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้เจ้าในวันพรุ่งเข้าไปในวังสักรอบ”
“โอ๊ะ?มีเรื่องอันใด?”กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้น วางขนมที่อยู่ในมือลง ซ่านจินจื่อส่งผ้ามาจรดอยู่ที่มุมปาก
ทั้งสองคนมองตาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง กู้อ้าวเวยก็ตบลงที่มือของเขาเบา ๆ สายตาท่าทางราวกับกำลังพูดว่า——คุยธุระก่อนสิ
แต่คนที่ว่ากลับยังคงเช็ดให้อย่างดื้อดึง แล้วก็เลิกคิ้วขึ้น——แล้วแสดงละครล่ะ