บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 536
บทที่ 536 ท่านอ๋องน้อย
“ฮัดชิ้ว”
กู้อ้าวเวยจามโดยไม่มีสาเหตุ
คนไข้ที่ถูกตรวจอยู่ด้านหน้าค่อยๆ อึ้งไปชั่วครู่ พูดด้วยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทโดนลมหนาวตากถูกหรือเปล่า”
แค่มีคนนินทาอยู่ ก็เลยคันปลายจมูกเล็กน้อย” กู้อ้าวเวยใส่ผ้าคลุมหน้า หลังจากตรวจอาการให้คนไข้แล้วก็เขียนใบยาอยู่จำนวนหนึ่ง เห็นซ่านจินจื๋อกำลังจัดการรายงานอยู่ข้างใน สั่งการธุระ ได้แต่กวักมือเรียกชิงจือและเอ้อยาที่กินขนมเปี๊ยะอยู่
ส่งคนไข้จากไปหนึ่งคนแล้ว ชิงจือและเอ้อยาคนหนึ่งเดินหน้าคนหนึ่งเดินหลังมาที่ข้างกายนาง
“ท่านแม่อยากกินขนมเปี๊ยะดอกเหมยหรือ” ชิงจือเอาขนมเปี๊ยะดอกเหมยของตัวเองยื่นไปที่ข้างปากกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยจู่ๆ ก็ไม่มีคำพูดใด ได้แค่นึกถึงซ่านจินจื๋อที่วันๆพูดว่าตัวเองชอบของหวานมากๆ อย่างไรบ้างกับชิงจือ แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลยเปิดผ้าปิดหน้าออกกัดไปหนึ่งคำ พูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “ไปเรียกให้พี่ชายพี่สาวในตำหนักซื้อของกินมาสักเล็กน้อย ถึงเวลาเจ้าก็เอางไปให้เขา”
“ได้เลย” ชิงจือพยักหน้า วิ่งกลับไปหาคนรับใช้ในบ้านแล้ว
เอ้อยากลับเอียงหัวเอนอยู่บนโต๊ะ กู้อ้าวเวยจึงอุ้มนางมานั่งบนขาของตัวเอง ตอนนี้บนถนนครื้นเครงมาก คนไข้ก็ไม่เป็นไรแล้ว นางก็เลยใช้เครื่องเขียนบนโต๊ะสอนตัวอักษรให้นาง
กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เด็กชายน้อยคนหนึ่งจูงสาวน้อยมองมาที่นาง ครุ่นคิดจับหูหน้าตาอยู่สักพักจึงพูดด้วยเสียงเรียบว่า “ท่านสอนพวกเราเขียนชื่อหรือ”
เอ้อยาเงยหน้าขึ้นมา กู้อ้าวเวยกลับพยักหน้า เอาเอ้อยาไปวางไว้ที่นั่งของตน แล้วไปหยิบเอาม้านั่งสองตัวมา ถามชื่อของพวกเขาสองคน แล้วจึงช่วยพวกเขาเขียนออกมา พี่น้องสองคนล้วนมองอย่างแปลกใจ แต่กลับไม่กล้าเรียน เอ้อยาก็เลยเอาพู่กันของตนส่งไป “เจ้าเขียนก่อนเถอะ”
เด็กชายตัวน้อยขมวดคิ้ว ยื่นมือออกไป “หมึกอันนี้แพงมาก……”
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าใช้ไปเถอะ” กู้อ้าวเวยโบกมือ ปอกเปลือกส้มออกมา วางไปบนกระดาษน้ำมัน “เอ้อยา เจ้าเขียนด้วยกันกับพวกเขา ข้าไปหาชิงจือดูหน่อย จะได้ซื้อซาลาเปามาสักหลายลูกหน่อย”
“ได้” เอ้อยาสะบัดมือให้นาง สอนสองพี่น้องว่าเขียนชื่ออย่างไร
ตอนที่กู้อ้าวเวยซื้อซาลาเปากลับมาให้พวกเขา เมื่อก่อนนี้ทุกคนล้วนรู้จักตัวหนังสือ พูดคุยเป็น ตอนนี้ยังคงมีเด็กมากมายที่ไม่รู้หนังสือ แล้วก็ไม่มีเงินไปโรงเรียนด้วย
เอาซาลาเปาที่ยังร้อนๆ อยู่แบ่งให้พวกเขา ได้แต่มองพวกเขาเขียนหนังสือ หากมีคนไข้มา นางก็ให้คนทำความสะอาดโดยตรงที่ตู้จัดยา ตัวเองครึ่งตัวเอนเขียนใบสั่งยาอยู่ตรงนั้น
ชิงจือพาคนหิ้วอาหารเข้ามา ส่งไปให้ซ่านจินจื๋อก่อน ตัวเองจึงยกน้ำแกงไก่ตุ๋นร้อนๆ มา “นี่คือสิ่งที่แม่นมกำชับมาว่าให้ท่านดื่มให้ได้”
“ขอบใจมาก” กู้อ้าวเวยนวดหัวของเขาไปมา “เจ้าเอาของกินไปกินด้วยกันกับพวกเอ้อยาด้วยกันสิ ถือโอกาสฝึกเขียนตัวอักษรไปด้วย พู่กันก็อยู่ในลิ้นชัก”
“ได้เลย” ชิงจือรับห่ออาหารจากคนรับใช้ไปอย่างว่าง่าย ไปแบ่งปันกับพวกเพื่อนใหม่ด้วยกันแล้ว
และคนที่เดินอยู่บนถนนต่างก็เคยชินกับการใช้ชีวิตของฝ่าบาทผู้นี้ นางกลับไปอยู่ในวังน้อยครั้งมาก บางครั้งก็ใช้ตำแหน่งขององค์หญิงไปช่วยฉูห้าวตรวจการดูบิงปู้ (แผนกการทหาร) สักหน่อย วันปกติทั่วไปก็จะอยู่ที่ร้านหมอหรือไม่ก็โรงละคร ข้างกายมักจะไม่ขาดพวกเด็กๆ
ซ่านจินจื๋อพลางกินไปพลางจัดการธุระที่อยู่ในมือไป แล้วยังพูดกับเฉิงซานว่า “องค์ชายสามดูเหมือนว่าบัดนี้ยังไม่ยอมปล่อยวางฝ่าบาทลงเลย”
“เขายังไม่ตายใจอีกหรือ” ซ่านจินจื๋อเกือบจะทำตะเกียบในมือหัก
“ไม่เพียงเท่านี้ เขายังแสดงความในใจของตนเองให้ฮ่องเต้ได้รับรู้อีก ยังบอกอีกด้วยว่าท่านไม่เข้ากับฝ่าบาทเลยสักนิดเดียว “เฉิงซานบรรยายเรื่องราวความเป็นจริงอย่างราบเรียบ ตอนที่เห็นสีหน้าของซ่านจินจื๋อขรึมขึ้นอีก จึงพูดต่อว่า “ไม่เพียงเท่านี้ ไทเฮาก็ยืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับองค์ชายสามด้วย ดังนั้นฮ่องเต้ก็เลยมีการร้องขออภิเษกสมรสหลายครั้ง ความจริงแล้วก็คิดเพื่อท่านนั่นแหละ”
คิดถึงช่องว่างที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเสด็จพี่แล้ว ซ่านจินจื๋อปล่อยวางอย่างกะทันหัน “เพียงแค่นางไม่ยอมปล่อยก็ดีแล้ว”
เฉิงซานก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร เลยพลิกรายงานที่อยู่ในมือ่านต่อ พ฿ดด้วยเสียงราบเรียบว่า “ไม่เพียงเท่านี้ พลทหารใต้การดูแลของท่านก็ว่างกันมานานแล้ว บัดนี้ทางล่ายเสวียนด้านนั้นได้กลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ต่อที่สาธารณชน ที่แท้องค์ชายสามควบคุมสถานการณ์ไว้ไม่อยู่”
“ข้าเพียงแค่อยู่ข้างนอกแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเอง……”
“กี่เดือนมาแล้ว” เฉิงซานเน้นถึงระยะเวลาอีกครั้ง “ท่านปล่อยวางเรื่องราวไปมากเกินไปแล้ว อาจจะเป็นเวลาที่ท่านควรจะเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทไปกับท่านแล้ว”
ซ่านจินจื๋อแค่รู้สึกว่าตำแหน่งท่านอ๋องไม่เป็นจะดีกว่า ทำไมเมื่อตอนนั้นถึงไม่พบว่าซูพ่านเอ๋อมีความคิดชั่วร้ายเช่นนี้
จริงๆ แล้วหลังจากนำซูพ่านเอ๋อรับกลับมา เขายังคงพาทหารออกรบในสนาม จวบจนกลับมาถึงจะได้พูดความในใจซึ่งกันและกันกับซูพ่านเอ๋อ พูดได้ว่าใช้เวลาไปกับการทำสงครามเป็นอย่างมาก เขาหลายปีนักกว่าจะกลับมาที่ตำหนักก็แค่สองสามวัน
แต่บัดนี้ แม้แต่ก้าวเดียวเขาก็ไม่อยากที่จะจากกู้อ้าวเวยไป
มีแต่กู้อ้าวเวยที่ไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียวที่จะกล่าวเตือนเขาถึงภาระหน้าที่ที่ท่านอ๋องต้องทำ
รอจนธุระในมือเสร็จสิ้นเรียบร้อย กู้อ้าวเวยกำลังชี้แนะตัวยาที่อยู่ในลิ้นชัก เด็กๆ กลุ่มหนึ่งมาแย่งที่นั่งตรงโต๊ะที่นางนั่งตรวจไข้ให้คนไข้ พูดคุยกันเสียงเจี้อยแจ้ว ชิงจือและเอ้อยากลับถูกล้อมให้อยู่ด้านใน
“เสร็จธุระแล้วหรือ” กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างเป็นประกาย ท่าทางที่เคลื่อนไหวในมือยังไม่หยุด
“อืม” ซ่านจินจื๋อเดินขึ้นมาด้านหน้า โอบคนเข้าไปในอ้อมอกจากด้านหลัง “ยังมีอีกหลายวันกว่าจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ข้าต้องออกไปสักรอบหนึ่งก่อน……”
“ไปเถอะ”
นิ่งเงียบไปอยู่ชั่วครู่ ซ่านจินจื๋อจับข้อมือนางแน่นอย่างทนไม่ได้ “ร่างกายของข้ายังได้รับพิษ”
“ไปหาท่านแม่ให้นางเอายาถอนพิษให้เจ้า กินยาตามเวลา” กู้อ้าวเวยยังคงมองดูยาสมุนไพรที่เยอะแยะมากมายในลิ้นชัก ดูเหมือนกับว่าอยากจะหาตัวยาที่ตัวเองต้องการ
“เจ้าจะปล่อยข้ากลับไปเช่นนี้หรือ”
“แน่นอนสิ ถึงเวลาข้าก็ไปหาฉูห้าวให้รับกุ่ยเม่ย:black”ออกมาดูแลข้าก็พอแล้ว” กู้อ้าวเวยถูกจับข้อมือไว้ หันหน้าไปมองเขา “อีกทั้งเจ้าเป็นท่านอ๋องของชางหลาน เดิมทีก็ไม่ควรที่จะอยู่ที่แคว้นเอ่อตานทุกวันอยู่แล้ว ข้าก็อยากจะได้รับความเงียบสงบสักสองสามวันบ้าง”
“ฟันไปเถอะ” ซ่านจินจื๋อแอบกัดฟัน “เจ้ากลับไปด้วยกันกับข้า ก็เป็นการดีที่จะให้องค์ชายสามตัดความระลึกถึงเจ้าไปเสีย”
“เจ้าแค่บอกเขาว่าเจ้ากับข้านอนเตียงเดียวกันหมอนเดียวกันมากี่เดือนแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องตัดใจได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว” ตอนนั้นกู้อ้าวเวยก็พบว่าเด็กๆ หลายคนมองมาที่นาง รีบออกมาจากอ้อมอกของเขา พูดเสียงราบเรียบว่า “ข้ายังต้องอยู่เป็นเพื่อนชิงจืออีก”
“แคว้นเอ่อตานยังไม่ยอมรับฐานะของชิงจือ” ในใจของซ่านจินจื๋อกลับปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมา
กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้น “ดังนั้นล่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถเป็นลูกชายของข้าได้ ไปเป็นท่านอ๋องน้อย” ซ่านจินจื๋อเดินขึ้นไปด้านหน้า กุมมือนางเอาไว้ “เมื่อก่อนความต้องการของข้ากับเจ้าไม่ใช่อภิเษกสมรสกันและชื่อเสียง แต่ข้ายังต้องคิดวิธีการที่จะเอาเจ้าผูกติดไปข้างกายข้าอีก”
ในดวงตาคู่นั้นของซ่านจินจื๋อเป็นความจริงใจโดยแท้ ไม่มีความลังเลใดๆ แม้แต่น้อย
นี่คือสิ่งที่เขาคิดมายาวนานจึงคิดออกมาเป็นวิธีนี้
แต่กู้อ้าวเวยกลับรู้สึกว่าหัวใจถูกสะกิดเบาๆ แต่กลับปัดมือที่ใหญ่อ่อนนุ่มนั้นออกอย่างแรงๆ นางหายใจเข้าอย่างลึกๆ สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว “เขาไม่มีสายเลือดเดียวกันกับเจ้า ราชวงศ์ของชางหลาน……”
“แต่ข้ามองเขาว่าเป็นคนในครอบครัว ก็เพราะว่าข้าคิดจะเอาเจ้าผูกติดไว้ข้างกายข้า” ซ่านจินจื๋อยังคงกุมมือนางไว้แน่น “ดังนั้น พวกเจ้าแม่ลูกสามารถกลับไปด้วยกันกับข้าได้”