บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 582
บทที่ 582 เรื่องวุ่นวายในที่พำนัก
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ดังนั้นเจ้าถึงนอนจนตะวันสูงโด่งเช่นนี้”
“สายขนาดนี้เลยหรือ” ตกใจไปเล็กน้อย กู้อ้าวเวยพลิกตัวลงจากเตียง ผลักคนที่อยู่ด้านหน้าออก เห็นแสงสาดส่องบนท้องฟ้าอย่างแน่ใจ
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของนาง
ตอนที่ไม่ได้กินยา นางรู้สึกว่าหัวใจเจ็บปวด แต่บัดนี้กินยา กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีผลกระทบในหลายๆ ด้านของตนเอง คิดมาเช่นนี้ กลับรู้สึกผิดต่อตนเองโดยไม่รู้ตัว
วันนี้อยู่ที่ตำหนักอ๋องจิ้ง แต่วันข้างหน้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่แห่งใด ปลอดภัยหรือไม่อย่างไร
ฝ่ามือที่อบอุ่นกดไปที่หว่างคิ้วของนาง “ลุกขึ้นมาทานข้าวเถอะ”
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ ข้าส่งคนไปเตรียมยาและอาหารที่ที่พักแล้ว” กู้อ้าวเวยโบกมืออย่างขอไปที แต่กลับยังไม่ได้ลงจากเตียง ที่ประตูก็ค่อยๆ เปิดออก เสียงของราชองครักษ์ดังขึ้นมาอย่างรีบร้อน “ท่านอ๋อง ฝ่าบาท เมื่อคืนที่ที่พักเกิดเรื่องขึ้น ใต้เท้าอ้ายจื่อตายอยู่ในห้อง บัดนี้กำลังให้ศาลไต่สวนสืบความเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน ฮ่องเต้ยังเชิญให้ท่านเข้าวังสักรอบ”
“ประเดี๋ยวเดียวก็มา”
“ข้ากลับไปที่ที่พักก่อนรอบหนึ่ง”
สองคนพูดขึ้นพร้อมกัน
สบตากันอยู่ชั่วครู่ กู้อ้าวเวยรีบลุกขึ้น เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบไปที่ที่พัก ซ่านจินจื๋อก็รีบไปทางวังหลวงทันทีเช่นกัน
สองคนไม่ว่าจะทำธุระใดๆ ก็ตามล้วนทำด้วยความรวดเร็วมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว กู้อ้าวเวยควบม้าไม่หยุดมุ่งไปทางที่พัก แต่กลับนึกถึงกลิ่นอายของเลือดที่เมื่อคืนเห็นอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อมโยงอยู่ในเรื่องนี้หรือไม่อย่างไร อีกด้านหนึ่ง อ้ายจื่อใต้เท้าแซ่อ้ายท่านนั้นดูเหมือนว่ายังคงเป็นอ้ายหยินที่เป็นหนึ่งในองค์ชายที่ค่อนข้างได้รับความสำคัญ หากที่แคว้นชางหลานเกิดเรื่องขึ้น ก็ไม่รู้ว่าอ้ายหยินจะนิ่งเฉยได้หรือไม่ หรือว่าจะตอบโต้อย่างเด็ดขาด
แต่ไม่ว่าอย่างไร สำหรับแคว้นชางหลานแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
นี่เป็นลูกชายคนที่สองแล้วที่อ้ายหยินสูญเสียไปที่แคว้นชางหลาน
รถม้าหยุดอยู่ที่ด้านหน้าที่พักอย่างสงบ สถานที่นี้ตอนนี้มีทหารคุ้มกันแน่นหนาไปหมด คนที่ใส่ชุดเกาะเงินทั้งตัวตอนนี้ล้อมที่พักเอาไว้อย่างแน่นหนา รอจนหลังจากที่กู้อ้าวเวยลงจากรถม้าแล้ว ก็มีนายทหารเดินเข้ามาต้อนรับ สอบถามด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “เมื่อคืนทำไมฝ่าบาทจึงไม่อยู่ที่ที่พัก เดินเล่นกลางค่ำกลางคืน อีกทั้งยังส่งคนให้ไปร้องทุกข์ที่ศาล”
ทหารไม่น้อยต่างพากันมองมา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเรื่องราวจะบังเอิญกันมากเกินไป
“เมื่อวานเจ้าอยู่ที่หน้าประตู และพูดกับใต้เท้าอ้ายของข้าสองสามคำด้วย มีความแค้นผูกติดกันอยู่” สายตาขุนนางของแคว้นเจียงเยี่ยนมองมาอย่างแดงๆ ชี้นิ้วมาเหมือนกับว่าจะจิ้มไปที่ปลายจมูกของกู้อ้าวเวย
“คำพูดนี้ฟังแล้วน่าสนุก” มุมปากของกู้อ้าวเวยยกขึ้น ยกมือขึ้นจับไปที่ข้อมือของขุนนางผู้นี้อย่างแน่น บังคับให้เดินขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว แววตาเย็นชา “หากข้าอยากฆ่านายของเจ้า ยังจำเป็นต้องลอบยิงธนูเพื่อทำร้ายคนหรือ”
“คำพูดนี้หมายความว่ายังไง”
“ความหมายก็อยู่ในตัวอักษรอยู่แล้ว หากไม่อยากให้นายน้อยของเจ้าทิ้งชีวิตไปอย่างเปล่าๆ ให้เอาศพยกขึ้นมา ให้ขุนนางผู้ชันสูตรศพได้ตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง หากเป็นข้าที่เป็นคนลงมือจริงๆ ชีวิตนี้และชีวิตของราชวงศ์แคว้นเอ่อตานชดใช้ให้เจ้าแคว้นเจียงเยี่ยนก็พอแล้ว” สะบัดข้อมือของคนผู้นั้น กู้อ้าวเวยได้แต่มองไปทางทหารของแคว้นชางหลานที่อยู่ด้านข้าง “ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะตามขุนนางผู้ชันสูตรศพของต้าหลี่ซื่อ (ศาลฎีกา) มาชันสูตรศพได้หรือไม่”
“ศพของใต้เท้าข้าไม่ควรได้รับการดูถูก” ขุนนางแคว้นเจียงเยี่ยนตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจอีกครั้ง
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว ปรากฏความแปลกใจขึ้น “หากไม่ชันสูตรศพ เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าใต้เท้าอ้ายตายไปได้อย่างไร ตายเมื่อไหร่”
แต่ไม่ว่ากู้อ้าวเวยจะพูดอย่างไร ขุนนางพวกนี้ก็ไม่ยอมส่งมอบศพของอ้ายจื่อออกมา
มีเพียงคนที่อยู่ด้านข้างบอกกล่าวอย่างเบาๆ ครอบครัวของอ้ายหยินทั้งหมดไม่ว่าจะตายเพราะเหตุอันใดก็ตาม ล้วนควรรักษาสภาพความสมบูรณ์ของศพให้ได้มากที่สุด ไม่ให้ขุนนางผู้ชันสูตรศพเข้าใกล้ร่างเลย ยิ่งไม่อนุญาตให้รับสิ่งของอันใดเป็นอันขาด แม้แต่เส้นผมเพียงแค่เส้นเดียวก็ไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะเชื่อเรื่องที่คนตายสามารถฟื้นคืนชีพได้
หากเป็นเช่นนี้ เรื่องถูกดองเอาไว้ จัดการยากไปหมด
กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจอยู่แล้ว ในเมื่อเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตนเองก่อขึ้น แน่นอนว่าไม่กลัวที่จะกลัวเงามาทับถูกร่างของตัวเอง ก็เลยเดินหาที่นั่งที่เป็นโต๊ะหินในลานกว้างตามอำเภอใจ ในมือถือตำราแพทย์ที่เห้อจิ้นหล่างส่งมาให้ กำลังคิดว่าถุงน้ำดีหงส์กับเลือดมังกร (ต้นหญ้า) เป็นสิ่งที่เสริมซึ่งกันและกัน ก็ไม่รู้ว่าเลือดมังกร (ต้นหญ้า) มีประโยชน์หรือไม่ สามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์อะไรได้บ้าง
ด้านนี้ดูอิ่มเอมใจ ด้านนั้นกลับดูน่าตื่นเต้น ขุนนางแคว้นเจียงเยี่ยนได้แค่ร้องขอให้พวกเขาสืบหาความจริงเรื่องนี้อย่างจริงจัง ปล่อยกู้อ้าวเวยไปไม่ได้เด็ดขาด นายทหารหลายคนต่างก็รู้ว่าแคว้นเอ่อตานกับแคว้นชางหลานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่สามารถที่จะล่วงเกินองค์หญิงของแคว้นนั้นได้จริงๆ ได้แค่เจ้าเดินมาข้าเดินไป เสียงเริ่มค่อยๆ ดังขึ้นมา
ในที่สุดกู้อ้าวเวยก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับมา “ทะเลาะกันจนข้าปวดหัว หากไม่ส่งมอบศพ คดีนี้ก็ไม่มีวิธีที่จะสืบหาความจริงได้ มิเช่นนั้นก็จบกันที่ตรงนี้แหละ หลีกเลี่ยงเดี๋ยวเจ้าว่าอย่างนี้ข้าว่าอย่างนั้น ยังทำร้ายถูกบรรยากาศเงียบสงบอีก”
พอคำพูดนี้ออกไป ขุนนางของแคว้นเจียงเยี่ยนหลายคนจู่ๆ ก็สีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขาอยู่ในแคว้นเจียงเยี่ยนแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมารองรับอารมณ์ของใคร บัดนี้เห็นกู้อ้าวเวยพูดออกมาอย่างเย้นชา จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “บนร่างของใต้เท้าข้าไม่มีร่องรอยบาดแผลแม้แต่นิดเดียว แน่นอนว่าจะต้องได้รับพิษจนตาย อีกทั้งเมื่อตอนนั้นใต้เท้าอ้ายซู่จือยังดูถูกเจ้า เจ้าก็เลยอยากจะเอาคืนจากใต้เท้าอ้ายจื่อ”
ดูถูกหรือ
จู่ๆ สีหน้าของกู้อ้าวเวยก็เปลี่ยนไป ตบโต๊ะแล้วยืนขึ้น “ในเมื่อเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่า หัวของอ้ายจื่อผู้นี้ช่างเหมาะสมกับประตูเมืองของแคว้นเจียงเยี่ยนเสียจริงๆ”
คำพูดเพิ่งจะออกไป หลายคนต่างพากันต่อต้านขึ้นมา กู้อ้าวเวยเดินขึ้นมาที่หน้าประตูของที่พักแล้ว อีกทั้งพูดสั่งการว่า “เอาศพของอ้ายจื่อยกขึ้นมา แล้วค่อยไปเรียกขุนนางผู้ชันสูตรศพที่ต้าหลี่ซื่อ (ศาลฎีกา) มา วันนี้ข้าจะชันสูตรศพอยู่ที่ทางเข้านี่แหละ หากข้าคนนี้ไม่ได้เป็นคนฆ่า หัวของเจ้าบวกกับเมืองหนึ่งเมือง ข้าแคว้นเอ่อตานก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาไม่ได้”
แต่ละคำพูดออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง หลายคนล้วนไม่กล้าขัดขืน ทหารของแคว้นเอ่อตานล้วนฟังบัญชาของกู้อ้าวเวยมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ตอนนี้ครึ่งหนึ่งคอยอารักขา อีกครึ่งหนึ่งก็ไม่ไว้หน้าขุนนางของแคว้นเจียงเยี่ยนเช่นกัน เอาศพของอ้ายจื่อจากชั้นบนเคลื่อนย้ายลงมา ขุนนางผู้ชันสูตรศพสองท่านจากต้าหลี่ซื่อ (ศาลฎีกา) ก็มาถึงแล้ว
“วันนี้เจ้ากล้าที่จะหยามแคว้นเจียงเยี่ยนของข้าเช่นนี้ วันหน้าข้าก็จะ…..”
“เกรงว่าเจ้าจะไม่มีชีวิตนี้แล้ว” กู้อ้าวเวยหัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นชาหนึ่งคำ เอาศพของอ้ายจื่อผู้นี้พลิกข้ามมา จุดชีพจรหลายจุดถูกคนผ่าออกเพื่อปล่อยเลือดออก บริเวณบาดแผลกลับไม่มีร่องรอยของเลือดแม้แต่นิด น่าจะถูกฆ่าเมื่อคืนนี้ ฆาตกรผู้นั้นยังจัดการศพของคนผู้นี้อย่างสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดทั้งชุด “พวกเจ้ายังไม่ได้สำรวจดูศพเลย ก็เชื่อว่าข้าเป็นคนทำ ชีวิตนี้ควรรจะชดเชยให้ข้า”
“เป็นไปไม่ได้ งั้นเมื่อคืนเจ้าทำไมจึงไม่ได้กลับมาที่ที่พัก” ขุนนางแคว้นเจียงเยี่ยนเชื่ออย่างที่สุด
“เมื่อคืนองค์หญิงพักอยู่ที่ตำหนักอ๋องจิ้งของข้า มาเยี่ยมเยียนญาติ”
น้ำเสียงออกไป ซ่านจินจื๋อที่กระโดดลงบนหลังม้ามาอย่างช้าๆ มาถึงแล้ว ไม่สนสายตาที่อึ้งไปรอบด้าน เดินมาที่ข้างกายของกู้อ้าวเวย “นางเป็นแม่บุญธรรมของอ๋องน้อย หากไม่ใช่เพราะหลีกเลี่ยงคำครหานินทามาก่อนก็เลยจำเป็นต้องอยู่ที่ที่พักนี้ เมื่อคืนเห็นคราบเลือด ข้าก็เลยส่งคนพานางกลับไปที่ตำหนักอ๋อง ใต้เท้าท่านนี้ยังมีข้อสงสัยอีกหรือไม่”
“เรื่องนี้ไม่ต้องพูด” กู้อ้าวเวยพูดเสียงเบาๆ ถลึงตาจ้องเขาไปครู่หนึ่ง
มองดูใบหน้าที่คล้ายกับพระชายาจิ้งองค์ก่อนเช่นนี้ อีกทั้งยังมีความเกี่ยวพันกับอ๋องจิ้งอีก ใครดูแล้วก็ล้านไม่ถูก
เสียงเล็กนั้น แต่กลับให้ทหารไม่น้อยได้ยินชัดเจน รู้แต่แกล้งบอกไม่รู้ ไม่รู้บัดนี้กลับมองหน้ากัน จู่ๆ ก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
กู้อ้าวเวยยังอยากจะชันสูตรศพด้วยตัวเอง ซ่านจินจื๋อกลับดึงข้อมือของนางเอาไว้แน่น “เรื่องที่บังเอิญนัก มองให้คนอื่นทำก็พอ ชิงจือเลิกเรียนแล้ว ยังรอให้เจ้ากลับไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน อย่าเสียเวลาอีกเลย”
“ได้ เพียงแค่เจ้าต้องจัดการเรื่องบ้าๆ นี้ แต่ก็อย่าลืมหัวของคนที่ข้าต้องการ หากแคว้นเจียงเยี่ยนไม่ยอม ข้ากลับไปบอกเสด็จพ่อก็ได้” กู้อ้าวเวยหันหน้าไปมองขุนนางแคว้นเจียงเยี่ยนผู้นั้น อีกทั้งยังตบไปที่ไหล่ของซ่านจินจื๋อเบาๆ “มือสังหารเกรงว่าจะหาไม่เจอแล้ว”
ซ่านจินจื๋อรับรู้ได้ทันที เกรงว่ากู้อ้าวเวยจะรู้แล้วว่ามือสังหารเป็นใครกัน