บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 599
บทที่ 599 น้องชายน้องสาว
รอยแผลเป็นที่หน้าอกดั่งเถาวัลย์น่าเกลียดเลื้อยไล้บนช่วงไหล่และแผ่นหลัง
ร่างกายในกระจกทองแดงคล้ายกับมีรอยแผลเป็นสีเข้มถูกตัดออกเป็นชิ้น ๆ นับไม่ถ้วน กู้อ้าวเวยมุ่นเรียวคิ้วพลางสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อยอีกครั้ง ของที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้ แทบจะถูกยาสมุนไพรที่นางป้ายลงไปกลายเป็นกลีบมะไฟ และในขณะเดียวกันก็พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริงแท้แน่นอน
“ท่านแม่ ท่านเสร็จหรือยัง” เสียงของชิงจือลอยมาจากนอกประตู
“ใกล้แล้ว” เรียกได้ว่ากู้อ้าวเวยกุลีกุจอจัดแจงอาภรณ์ให้เรียบร้อยทันที ก่อนหมุนหนึ่งรอบหน้ากระจกทองแดง แน่ใจแล้วว่าบนร่างกายไร้ซึ่งร่องรอยใด ๆ คราวนี้จึงผลักประตูและเดินออกไป เห็นชิงจือก็เปลี่ยนอาภรณ์สีดำตัวนี้ออกแล้ว ทำเพียงจูงมือของเขาไว้ “เสร็จแล้ว ถ้าพวกเราไปตอนนี้ละก็ ก็คงเห็นเพียงพิธีกราบไหว้ฟ้าดินสิ้นสุดลงแล้ว แมลงพิษพวกนั้นยังไม่ทันชะล้างให้หมดจด อีกประเดี๋ยวต้องสวมผ้าพันคอและอย่าได้ปลดลงมานะ”
“ได้” ชิงจือหัวเราะพลางพยักหน้า ดึงผ้าพันคอบนหน้าขึ้นเล็กน้อย
เดิมทีทั้งสองทานมื้อเที่ยงเสร็จควรออกเดินทาง แต่เพราะร่างกายไม่ตอบสนองกู้อ้าวเวยกลับจำต้องอ้างว่าจะเปลี่ยนอาภรณ์เสียหน่อย ในความเป็นจริงกระบวนการล้างพิษนี้มักจะเจ็บแปลบปลาบอยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้มีแค่มือข้างหนึ่งขยับลำบากเล็กน้อย หลังจากนี้เป็นไปได้ว่าอาจจะเจ็บราวกับกระดูกเจียนหักก็ไม่ปานเชียว
กู้อ้าวเวยละอายใจต่อชิงจือเล็กน้อย อีกด้านกลับยิ่งเป็นกังวล หากเอาแต่รักษาเช่นนี้ต่อไป คล้ายกับคงไม่สู้หยุดรักษาไปเลยจะดีกว่าจริง ๆ อย่างน้อย ๆ ช่วงสองปีนี้นางยังพอมีชีวิตอย่างดี ๆ ได้บ้าง ทว่าหากเป็นเช่นนี้ นางกลัวว่าคงจะมีเวลาเพียงสองปีจริง ๆ เท่านั้นแหละ
ตามชิงจือปีนขึ้นไปบนรถม้าด้วยสายตามัวหมอง เด็กน้อยฉลาดเกินวัยกลับกำปลายนิ้วของนางเอาไว้แน่น “ท่านแม่ ข้าต้องการน้องชายน้องสาวสักคนได้หรือไม่”
กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างตกใจ “ทำไมถึงเอ่ยประเด็นนี้ขึ้นมาเล่า?”
“คนข้างกายดูเหมือนจะมีพี่น้องกันหมด พวกเขามักจะเล่นด้วยกัน ข้ากลับมีเพียงตัวคนเดียว” ชิงจือบีบนิ้วมืออย่างลำบากใจน้อย ๆ เยว่ที่ปีนเข้ามาตามหลังเอ่ยสมทบ “เมื่อครู่ก็แค่องครักษ์บางคนพูดพล่อย ๆ ไปอย่างนั้นเอง บอกว่าท่านสามารถแตกหน่อก่อผลให้กับโอรสสวรรค์แห่งชางหลานในอนาคตได้”
กู้อ้าวเวยหน้าดำคร่ำเครียด เดิมนางก็แสร้งหมั้นหมายเพื่อรักษาความมั่นคงทางตำแหน่งให้ซ่านเซิ่งหาน ย่อมไม่อาจจะคลอดบุตรให้เขาจริง ๆ อยู่แล้ว
เพียงแต่…หากนางตายไป ชิงจือก็ไม่มีท่านแม่แล้ว
แต่ถ้าหากเขายังมีน้องชายน้องสาว…
“หากมีน้องชายน้องสาวละก็ เจ้าจะกังวลว่าข้าเอ็นดูพวกเขามากกว่าหรือไม่” กู้อ้าวเวยโอบเขาสู่อ้อมกอดอย่างอ่อนโยน ลูบไล้ปลายหูเย็นเยียบของเขา
“เปล่าเสียหน่อย ข้าไม่ใช่ลูกของท่านแม่เลย ท่านแม่ยังดีกับข้าถึงเพียงนี้ ต่อให้มีน้องชายน้องสาวจริง ๆ ข้าเชื่อว่าท่านแม่ยังคงดีกับข้าเหมือนเดิม” ชิงจือยิ้มพลางซบแนบเข้าสู่อ้อมแขนของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยยีกระหม่อมของเขา “ข้าแค่พูดว่าถ้าหาก…”
“ไม่หรอก ข้ายังเห็นท่านแม่แอบซื้อชุดใหม่ให้โม่เหยียนตั้งเยอะแยะ ก็ไม่ได้โกรธเลย กลับดีใจด้วยซ้ำ” ชิงจือส่ายหน้า มองนางด้วยดวงตาเปล่งประกายสดใส “ข้าอยากได้น้องชายน้องสาวสักคน ดีหรือไม่ หือ?”
เด็กตัวน้อย ๆ มักจะเรียกความเอ็นดูจากผู้คนได้เสมอ
เยว่อายุถึงเกณฑ์ กลับไร้ทายาท ปัจจุบันได้เห็นชิงจือก็รู้สึกอิ่มเอมยิ่งยวดจริง ๆ แต่ก็แปลกใจที่เด็กคนนี้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ทว่ายังคงรักใคร่ท่านแม่ผู้ที่ไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตากันบ่อยนัก นับว่าหาได้ยากจริง ๆ
ส่วนกู้อ้าวเวยคิดสักพัก แต่ก็ยังตกปากรับคำราวกับถูกผีอำ “ได้สิ”
เยว่ผงะเล็กน้อย “นี่ท่านคิดจะ…”
“ต้องเป็นบิดาแท้ ๆ ของชิงจืออยู่แล้วสิ” กู้อ้าวเวยชำเลืองมองนางปราดหนึ่งอย่างจนปัญญา ดวงตาสองข้างพร่างพราวด้วยแววที่เยว่มองไม่ออก ถ้อยคำที่กล่าวกับชิงจือกลับนุ่มนวลเป็นพิเศษ “แต่ข้าไม่รับประกันว่าจะมีได้จริง ๆ”
“เพราะอะไร” ชิงจือลูบศีรษะ
“เพราะให้กำเนิดบุตร จำต้องให้ท่านพ่อกับท่านแม่…” กู้อ้าวเวยสั่งสอนเด็กน้อยว่าจะคลอดบุตรได้อย่างไรด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทำเอาเยว่ฟังแล้วรู้สึกกระดากอายจนไม่รู้จะพูดอะไรดี ทำได้เพียงก้มหน้าต่ำ ก่อนเอ่ยปากห้ามตอนที่กู้อ้าวเวยบรรยายอย่างตรงไปตรงมามากเกินควร
กู้อ้าวเวยคนนี้!
ช่างน่ารังเกียจถึงขีดสุดจริง ๆ!
เป็นครั้งแรกที่เยว่ไม่สนใจบรรดาศักดิ์แล้วยกมือขึ้นอุดปากของนางเอาไว้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ไม่ต้องพูดต่อแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเล่าให้เด็กฟังได้นะ”
“ฮ่าๆ” กู้อ้าวเวยเบิกตากว้างจ้องนางเขม็ง
ชิงจือยังฟังอย่างไม่ค่อยแจ่มแจ้งเท่าใดนัก ทำเพียงเบิกตากว้างจ้องกู้อ้าวเวย รู้สึกเพียงว่ารถม้าเริ่มชะลอความเร็วลงแล้ว เสียงกีบม้าดังลอยมา เขาจึงเลิกม่านรถขึ้นอย่างตื่นเต้น มองออกไปข้างนอกก็พบซ่านจินจื๋อควบม้ารุดเข้ามา พลางโบกมือให้ “ท่านพ่อ!”
“อย่าโบกมือเชียว มันอันตรายมาก” ซ่านจินจื๋อปริปากตะหวาดอย่างรวดเร็ว เพิ่มความเร็วมาข้างรถม้า พลางเอื้อมมือใหญ่ออกมา รวบชิงจือที่โผล่ตัวออกมาครึ่งหนึ่งเข้าสู่อ้อมกอด ให้เขารัดผ้าคาดเอวเข้าด้วยกัน วางเขาไว้ด้านหน้าของตน ก่อนชะลอความเร็วลง
ชิงจือคุ้นชินกับสิ่งนี้ตั้งนานแล้ว ทำเพียงเอนพิงไปด้านหลัง ยามที่เอี้ยวศีรษะไปนั้นพลันคว้าบังเหียนเอาไว้ และเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านแม่บอกว่าจะคลอดน้องชายน้องสาวให้ข้าด้วยนะ”
“จริงหรือ?” ริมฝีปากหุบเม้มเป็นเส้นตรงของซ่านจินจื๋อเริ่มผุดรอยหยักขึ้นมาบ้างแล้ว
ชิงจือพยักหน้าหนักแน่น ซ่านจินจื๋อกลับเร่งความเร็วขึ้นอีก พลางเอ่ยกระซิบกับชิงจือเบา ๆ
ส่วนกู้อ้าวเวยที่อยู่ในรถม้ากลับไม่รู้ว่าชิงจือจะบอกซ่านจินจื๋อไวขนาดนี้ รู้แต่ว่าทั้งสองทิ้งห่างออกไปไกลมากแล้ว กลับหันไปมองทางเยว่ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ข้ายังคิดว่าเจ้าจะสังหารฆ่าทิ้งไปเสียแล้ว”
“ร่างกายของท่านนี้ หากว่าตั้งครรภ์ละก็…” เยว่ฟั้นหน้าขรึมมองนาง
“เด็กจะไม่เป็นอะไรหรอก ข้าเองก็แค่หยุดยาสิบเดือน ยังพอมีเวลาหนึ่งปีในการหายาถอนพิษ ใช่ว่าจะไม่ได้เลย” กู้อ้าวเวยค่อย ๆ นวดเรียวขาเล็กของตนเบา ๆ เรื่องซีจือในปีนั้นทำให้นางบาดเจ็บ ทว่าตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว ร่างกายดีขึ้นมากพอสมควรแล้ว
ส่วนพิษรากถุงน้ำดีหงส์นี้ดูเหมือนจะยังไม่ทันซึมสู่เลือด คล้ายกับจะไปเกาะที่หัวใจเหมือนเนื้องอก และไม่สร้างปัญหาต่อลูกน้อยมากนัก และการตั้งครรภ์สิบเดือน นางย่อมพอมีเวลาสักระยะไปหายาถอนพิษได้อยู่แล้ว
ต่อให้หาไม่พบ ก็จะได้ทิ้งความทรงจำให้ชิงจือสักหน
“ท่านไม่เคยคิดถึงซ่านจินจื๋อเลยหรือ?” เยว่อดถามไม่ได้
กู้อ้าวเวยช้อนสายตามองความกังวลในดวงเนตรของเยว่ รู้ว่าเยว่ใคร่รู้ต่อวิธีคิดถึงคนรักของนาง ไม่ได้เข้มข้นมากนัก แต่ดูออกว่าไร้อารมณ์ จึงทำได้เพียงปริปากเอ่ยเสียงแผ่ว “เขาเกิดมาก็เพื่อสนามศึก ส่วนเรื่องเจรจาสันติที่ข้าจะทำกลับชิงอำนาจของเขา ย่อมต้องเหลือทิ้งอะไรสักอย่างให้เขาอยู่แล้วสิ”
“ราชวงศ์ล้วนเป็นเผ่าพันธุ์แห่งความคลุ้มคลั่ง หากท่านตายไป จะสามารถเหลือทิ้งอะไรไว้ได้อีกกัน”
“ขอเพียงข้าตายไป ก็จะเหลือตัวเองอยู่ส่วนลึกในใจของเขา แค่นี้ก็พอแล้ว” กู้อ้าวเวยแหวกม่านรถม้าออกพลางทอดมองคนตัวแสบที่อยู่บนหลังม้า ก่อนคลี่ยิ้มพราว “เดิมเขาติดหนี้ข้ามากเหลือเกินยังไม่ทันคืนครบ ครึ่งชีวิตที่เหลือนี้ ไม่สู้ว่าอย่าลืมข้า และพาข้าโลดแล่นทั่วหล้าคงไม่เลวเลย”
“ทักษะการแพทย์ของท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่อาจคิดถึงเรื่องดี ๆ หลังจากมีชีวิตอยู่ต่อไปหรอกหรือ” เยว่รู้สึกเพียงแต่ว่าแผ่นหลังเย็นวาบ และรู้สึกว่าความรักของกู้อ้าวเวยนั้นบิดเบี้ยวกว่าความรักของตนเสียอีก
“เคยคิด แต่นั่นเป็นแค่ความฝันกลางวันเท่านั้น มันไม่ได้ดีเด่เป็นสัจธรรมไปกว่าสิ่งที่ข้าทำอยู่ในปัจจุบัน” สีหน้าของกู้อ้าวเวยไม่แปรผัน ละสายตากลับมาจากเรือนกายของเยว่ บนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “ยกเว้นเรื่องของซูพ่านเอ๋อ ชั่วชีวิตนี้ของข้า ก็ไม่มีเรื่องให้หมองมัว หรือนึกเสียใจภายหลังอีกแล้ว”