บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 602
บทที่ 602 กล่อมได้หนึ่งฆ่าน้อยลงไปหนึ่ง
หากจะขอให้ช่วยเด็กก็ต้องใจก็เก็บรักษาไว้ กลัวว่าจะไม่ใช่เพราะความวิตกกังวล
แต่ตอนนี้ได้ข้ามมาก้าวหนึ่งแล้ว ชิงจือก็รู้สึกผ่อนคลายลง แม้ว่ากู้อ้าวเวยเคยศึกษาวิชาเกี่ยวกับเด็กเลยก่อนหน้านี้ แต่ก็นำทุกสิ่งที่พ่อแม่เคยสอนและจดจำเอาไว้ ผนวกกับความใส่ใจที่มากขึ้น ทุกคำพูดที่พูดกับชิงจือล้วนแต่เหมือนพูดกับผู้ใหญ่ เขาโตขึ้นมากแล้วจริง ๆ
พรุ่งนี้อาจจะต้องออกเดินทาง วันนี้กู้อ้าวเวยจึงตรวจการบ้านของชิงจือเป็นอย่างดีด้วยตนเอง
“จำได้ไม่น้อย คุณครูต้องเคยชมเจ้าใช่ไหม” กู้อ้าวเวยพยักหน้าพลางม้วนหนังสือ ชิงจือในตอนนี้สามารถอ่านออกได้หลายตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเด็กวัยเดียวกัน
“คุณครูชมข้านะ แต่พี่ชายกับพี่สาวไม่เล่นกับข้า มีแต่พี่โม่เหยียนที่เต็มใจไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้า” ชิงจือทำปากตก ในใจรู้สึกน้อยใจ
มีความฉลาดกว่าคนปกติทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้ กู้อ้าวเวยเองก็จำไม่ได้ว่าตนเองใช้ชีวิตตามลำพังมาได้อย่างไร คิดแล้วคิดอีก ได้แต่เอียงศีรษะ “หากเป็นแบบนี้ เจ้าต้องจดจำความดีของพี่โม่เหยียนไว้นะ”
“แต่พวกเขาไม่เล่นกับข้า” ชิงจือยังคงน้อยใจ
ลูบหัวน้อย ๆของเขา กู้อ้าวเวยฟุบลงบนโต๊ะเช่นเดียวกับชิงจือ “หากพวกเขาไม่ชื่นชอบเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องสนใจพวกเขา แต่โม่เหยียนก็ยังยินดีจะเล่นกับเจ้า หากเจ้าเป็นคนมีเพื่อนมากมาย โม่เหยียนก็อาจจะไม่ชื่นชอบเช่นกัน”
ชิงจือหรี่ตาลง “แต่พวกเขาไม่เล่นกับข้า คุณครูก็บอกว่าข้าชอบเก็บตัว”
“เก็บตัวก็เก็บตัวสิ ตอนแม่ยังเด็กก็เก็บตัวมากเหมือนกัน อยู่กับหนังสือทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้ไม่ใช่ว่าก็มีเพื่อนเยอะแยะเหรอ” กู้อ้าวเวยเอนตัวไป ปลายจมูกชนกับปลายจมูกของชิงจือ “ไม่ต้องพูดแล้ว พี่โม่เหยียนชอบเจ้าเสมอ เจ้าจะทอดทิ้งความจริงใจของคนผู้นี้ไม่ได้นะ”
เขายิ้มและสัมผัสจมูกของแม่ ชิงจือตอบกลับอย่างรวดเร็ว ความน้อยใจภายในจิตใจนั้นเริ่มคลายตัวลง
“แม่พูดมาก็ถูก พี่โม่เหยียนมอบใจให้ข้า ข้าก็ต้องมอบใจให้นาง เมื่อพี่โม่เหยียนมีเพื่อนคนใหม่ ข้าก็มีเพื่อนใหม่ ความหมายเป็นแบบนี้ใช่ไหม”
“ถูกต้องแล้ว แต่สิ่งที่แม่พูดนั้นอาจจะไม่ถูกต้อง้สมอไป ดังนั้นในการจะทำอะไรเจ้าจะต้องคิดเองให้ดี….” กู้อ้าวเวยรู้สึกอยากจะร้องไห้ และค่อยๆสอนอย่างระมัดระวัง
การจากกันครั้งนี้ หากว่าสามารถตั้งครรภ์ได้ นางก็อาจจะไม่ได้กลับมา
แต่หากไม่ได้โชคดีและตั้งครรภ์เช่นนี้ นางก็อาจจะได้พบกับซ่านจินจื๋อเพียงไม่กี่ครั้ง เมืองเทียนเหยียนนี้ ก็คงจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว เพียงแต่เสียดายที่ก่อนหน้าตั้งใจจะตั้งให้เขาเป็นองค์ชายน้อย นับเป็นเรื่องที่ดี และก็เป็นเรื่องที่ไม่ดี
ตอนนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่กลับมีเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
ประตูก็ถูกเปิดออกเบาๆ สาวใช้ที่หน้าประตูทำการคำนับ พูดด้วยเสียงต่ำ “ท่านซูมีเรื่องจะปรึกษา”
“ช่วยพาเขาไปรอก่อน พาไปสนามด้านข้าง อีกหนึ่งก้านธูปข้าถึงไป” กู้อ้าวเวยกลับมามีสติกับตัว และรีบลุกขึ้น
สาวใช้เดินออกไป ชิงจือเดินตามหลังกู้อ้าวเวย ถามด้วยเสียงต่ำ “แม่ต้องไปแล้วแล้วเหรอ”
“แม่มีเรื่องมากมาย จ้องขอโทษเจ้าจริง ๆ” กู้อ้าวเวยเดินไปที่โต๊ะ นำกล่องไม้ที่เตรียมเอไว้ก่อนหน้านี้ออกมา มอบไว้ในมือของเขา ของในนี้เป็นของที่นางทำตามฝีมือของฉูหลี่ แม้ว่าจะดูหยาบไปหน่อย แต่ก็ล้วนเป็นของหายากที่ชิงจือไม่เคยเห็นมาก่อน”
กอดกล่องไม้นี้ไว้แล้วเบิกตากว้าง ชิงจือเงยหน้าขึ้นมอง สายตาตรงหน้าคือแม่ที่สูงกว่าเขาและได้นั่งยองลงตรงหน้าเขา จูบลงที่หน้าผากของเขา พูดอย่างนุ่มนวล “ แม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้ไม่นาน ยังมีเรื่องมากมายรอให้ทำอยู่ หวังว่าเมื่อแม่ไม่อยู่ข้างกาย เจ้าจะยังคงมีความสุขนะ”
ตาทั้งคู่ของเด็กน้อยแดงก่ำ ได้แต่มองไปยังสิ่งของที่อยู่ด้านในของกล่องไม้ “ข้าแค่อยากอยู่กับแม่ทุกวัน และอยากกินอาหารที่แม่ทำให้กิน”
“ต้องมีสักวันหนึ่ง” ดวงตาของกู้อ้าวเวยเริ่มแดงเช่นกัน จับแก้มของเขาแล้วเขย่าเบาๆ “ก่อนหน้านี้ เจ้ายังดีอยู่เลย แม่จะคิดถึงเจ้าทุกวันเลย คิดถึงแต่เจ้า เจ้าก็ต้องคิดถึงแม่นะ เข้าใจไหม”
“ได้ แล้วน้องชายน้องสาวที่ข้าต้องการหละ” ชิงจือยิ้มแหะๆ
“เชื่อเจ้านั้นแหละ มีแน่นอน” กู้อ้าวเวยบีบแก้มของเขา
สองแม่ลูกออดอ้อนกันอยู่ครู่หนึ่ง กู้อ้าวเวยจึงได้จากออกไปอย่างไม่เต็มใจ ได้แต่หวังว่าตัวเองจะสามารถทำให้ถึงวันนั้นได้จริง หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว ก็เดินลงมายังลานด้านล่าง
ไม่ได้เจอมามากกว่าสิบชั่วโมงแล้ว ท่านซูผู้หยิ่งผยองนั้นเลิกเย่อหยิ่งในทันที โค้งตัวทำความเคารพ ใบหน้าขาวซีด ราวกับมีผมหงอกงอกได้เพียงข้ามคืน นั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างหดหู่ ประคองถ้วยชาไว้ในมือ แต่ตาทั้งสองข้างดูไร้ชีวิตชีวา
สาวใช้ปิดประตู นางค่อยๆนั่งลง “เหตุใดวันนี้ท่านซูจึงดูห่อเหี่ยวเช่นนี้”
“เจ้าเป็นผู้มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำพูดอันฮึกเหิมของเจ้าจะเดิมพันอย่างไร จะเอาอะไรไปเดิมพัน” ปลายนิ้วของท่านซูกำถ้วยสีขาวใบนั้นไว้แน่น
“ข้าเอาครอบครัวของเจ้าเป็นเดิมพัน หากชนะ ก็จะเป็นการเทิดเกียรติให้บรรพบุรุษ รุ่งเรืองไปชั่วอายุคน หากว่าแพ้ ก็เพียงแต่ศีรษะนับพันต้องร่วงลงพื้น เลือดไหลลงสู่แม่น้ำ และรอให้ลูกหลานของแคว้นเจียงเยี่ยนเหยียบย่ำบนกองกระดูกของพวกเจ้า” กู้อ้าวเวยตะคอกเสียง จากนั้นหยิบถ้วยในมือของท่านซูมาไว้กับตัว วางลงตรงหน้าของตนเอง
ท่านซูเลิกคิ้วหมองเขา “ได้ยินมาว่าเจ้ามีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมาก แต่กลับไม่คิดว่าจะเห็นชีวิตของเพื่อนมนุษย์เป็นเหมือนต้นหญ้า คนเป็นพันคนไม่มีความหมายในสายตาเจ้าเลยหรือ”
“ในตอนนั้นบรรพชนของพวกเจ้าแบ่งคนออกเป็นสามชั้นหกชั้นและเก้าชั้น พวกเจ้าเคยเพลินเพลินใจใช้ชีวิตที่สุขสบายมั่งคั่งอยู่บนหลังของบรรดาข้าทาส ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถจะหลุดพ้นจากการเป็นคนชั้นต่ำได้ พวกเขามีจำนวนกว่าแสนคน เต็มใจที่จะใช้ตนเองแลกกับความสุขสบายของครอบครัว และครอบครัวของเจ้า มีเพียงพันคน เมื่อเทียบกับกระดูกสันหลังของพวกเขาแล้ว พวกเจ้าก็เป็นแค่วัชพืชบนกำแพง จะเอาอะไรอีก” กู้อ้าวเวยเยาะเย้ยอย่างช่วยไม่ได้ ถ้วยที่อยู่ในมือร่วงลงบนโต๊ะ “เจ้าก็มาแล้ว ไม่จำเป็นต้องหยั่งเชิงอะไรอีก”
คนที่กำลังหดหู่อยู่ตรงหน้าเริ่มหัวเราะขึ้นเบาๆ ลุกขึ้นยืนตัวตรง “ไม่เพียงแค่อยากรู้ ทำไมเด็กน้อยอย่างเจ้าต้องทำเรื่องแบบนี้ด้วย ใครจะไปรู้ได้ว่าเจ้าจะมีวาทศิลป์ที่ทรงพลังเช่นนี้ แต่ข้ากลับมองเหตุผลเหล่านั้นไม่ออกเลย”
“ทำได้หากเจ้าอยากให้ทำ ยังจะต้องการเหตุผลไปทำไม” กู้อ้าวเวยถามกลับ เมื่อเห็นว่าท่าซูยังตกใจอยู่บ้าง จึงได้แต่พูด “ข้าจะช่วยเองอย่างลับๆ ตราบใดที่เจ้าไม่ทำร้ายแคว้นชางหลานและแคว้นเอ่อตาน ยอมลงนามในข้อตกลงสันติภาพ”
“ข้าพบเจ้าเพียงไม่กี่ครั้ง เจ้าเชื่อมั่นขนาดนี้เลยหรือ”
“ถึงแม้นเจ้าจะไม่ลงนาม แคว้นเอ่อตานของข้าและแคว้นชางหลานร่วมกันเดินทัพ แคว้นเจียงเยี่ยนของเจ้าก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้” กู้อ้าวเวยถอนหายใจ “ข้าไม่ชอบพูดอะไรซ้ำ ๆ นอกจากจะให้ความร่วมมือกับข้า ก็คงไม่มีทางเลือกที่สองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอ้ายหยินหรือข้าทาสบริวาร ครอบครัวของเจ้าก็ต้องเป็นรายแรกที่จะถูกประหาร”
“ในเมื่อข้าไม่มีตัวเลือกอื่น เจ้าจะขอร้องอย่างไรอีกให้ข้าศิโรราบ” ท่านซูย้อนถาม
ผู้อาวุโสอย่างไรก็คือผู้อาวุโส
กู้อ้าวเวยกลับไม่ได้ครุ่นคิดอะไร “เกลี้ยมกล่อมได้เพียงหนึ่ง ก็ฆ่าน้อยลงไปหนึ่ง เจ้าว่าจะเกลี้ยกล่อมได้หรือไม่ได้”
ทั้งคู่มองหน้ากัน ดวงตาของท่านซูก็เปล่งประกายมากขึ้น และยังคงยกถ้วยนั้นขึ้นมา ดื่มจนหมด “หากเป็นดังนี้ ข้าก็คงต้องช่วยแล้ว”