บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 643
บทที่ 643 สัญญากับข้า
ซ่านจินจื๋อไม่ค่อยได้นอนหลับอย่างสบาย
จนกระทั่งรุ่งสาง ซางนิงก็ไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว และกู้อ้าวเวยใช้มือข้างหนึ่งประคองแก้มไว้ มืออีกข้างถือม้วนหนังสือไว้ดูเหมือนจะค่อยๆตกสู่ในภวังค์ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความง่วงเลย
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างจากคนท้องคนอื่นที่ซ่านจินจื๋อเคยได้ยินมา
ลุกขึ้นและเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินไปยังด้านข้างของกู้อ้าวเวย เมื่อเห็นดวงตาจดจ้องอยู่ก็ตกใจเล็กน้อย
“ตื่นแล้วเหรอ” กู้อ้าวเวยวางหนังสือในมือลง พูดกับชิงจือด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มานี่หน่อย ฉันเอายาที่หลังออกให้ เปลี่ยนเป็นชนิดอื่น”
ซ่านจินจื๋อนั่งลง ปลดเสื้อผ้าออกและปล่อยให้กู้อ้าวเวยทำไป
จริงจังแบบนี้มาตลอด มือทั้งสองนั้นมีความคล่องแคล่วเช่นเคย มีเหตุผลแบบนี้เสมอ
เห็นเขากำลังเคลิบเคลิ้มไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ กู้อ้าวเวยช่วยเขาใส่เสื้อผ้า ออกปากสั่งให้สาวใช้นำอาหารที่เตรียมไว้เข้ามา ช่วยเขาจัดปกเสื้อในมือ “เรียบร้อยแล้ว เจ้าก็กลับไปได้แล้ว”
“ไม่ได้” ใบหน้าของซ่านจินจื๋อเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“อย่ามาเอาแต่ใจ เจ้าเป็นถึงอ๋องแคว้นชางหลาน จะมามีท่าทีแบบนี้ไม่ได้” กู้อ้าวมองไปยังเขาอย่างจริงจัง ตบลงไปที่แผลของเขา ก็เห็นเขาขมวดคิ้วขึ้นเพราะความเจ็บปวด “ไม่จำเป็นต้องมาทำเพื่อข้า….”
“ตอนนั้น พี่ชายของข้าทำเพื่อความปลอดภัยของข้าและเสด็จแม่ สืบทอดราชบัลลังก์ คนที่รักของเขาถูกจับเป็นตัวประกันและถูกฆ่า ไม่มีแม้ศพ” ซ่านจินจื๋อเอื้อมมือไปบีบคางกู้อ้าวเวย “ตอนนี้ข้าไม่ต้องการราชบัลลังก์แล้ว จะต้องไม่มีความสูญเสียเกิดขึ้นอีก”
“เจ้าปฏิบัติกับข้าในตอนนี้ กับเมื่อตอนปฏิบัติกับซูพ่านเอ๋อมีอะไรแตกต่างกันหรือ สูญเสียสติไม่คำนึงถึงภาพรวม ทำอะไรสุ่มเสี่ยงให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย ข้ารู้ชัดว่าพี่ชายมีบุญคุณกับเจ้ามากมายดุจมหาสมุทร แต่เจ้ากลับปล่อยให้เขาอยู่ตัวคนเดียวในเมืองเทียนเหยียน” คางของกู้อ้าวเวยถูกบีบคางจนเริ่มเจ็บ แต่กลับไม่มีท่าทางดิ้นรน เพียงแต่พูดประโยคนั้นออกไปอย่างเหยียดหยัน “ดูเหมือนว่า เจ้าจะไม่เปลี่ยนไปเลย”
บางทีในเวลาปกติ ซ่านจินจื๋ออาจจะพิจารณาคำพูดของนางอย่างรอบคอบ
แต่ตอนนี้ เขากลับปล่อยมือ ในขณะที่กู้อ้าวเวยไม่ทันได้คาดคิดคอเสื้ออันบางของนางก็เปิดออกครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นร่องรอยดั่งเถาวัลย์สีดำได้อย่างเต็มตา
ม่านตาหดลงเล็กน้อย กู้อ้าวเวยคิดจะปกปิดแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ตามมาด้วยเสียงของซ่านจินจื๋อ “ผู้หญิงคลอดลูกก็เหมือนกับยืนอยู่บนประตูเมืองผี ตอนนี้พิษในร่างกายเจ้ายังไม่ลดลงเลยแม้เพียงครึ่ง ยังคิดที่จะมีลูกคนนี้อีกหรือ เจ้าคิดว่าจะหลอกลวงข้าด้วยคำพูดพวกนี้ได้จริงนะหรือ”
ปลายนิ้วแตะลงบนรอยดำนั้น ไม่ได้ขยับไปไหน ดูที่ที่รอยรูปตัวอักษรเมฆซึ่งมีอยู่ก่อนนี้มาตอนนี้ได้หายไปไร้ร่องรอย และพูดอีกว่า “ตลอดทางมานี้ ข้าเพียงแปลกใจว่าทำไมเจ้าไม่บอกข่าวดีนี้ให้กับชิงจือ จดหมายที่ส่งไปล้วนแต่เขียนรายงานถึงความปลอดภัย และข้าก็นึกเรื่องขึ้นนั้นขึ้นมาอีกครั้ง…”
“เจ้ายังคิดจะปลิดชีวิตลูกคนที่สองของข้าอีกหรือไม่” กู้อ้าวเวยตบไปที่มือของเขา “หากว่าเจ้ายังมีความคิดแบบนี้ เจ้าก็ฆ่าข้าไปด้วยเถอะ”
ซ่านจินจื๋อกำหมัดแน่น เสียงกระดูกลั่นดังออกมา
“เจ้าไม่คิดจะดูแลรักษาชีวิตตัวเองจริงหรือ”
“ตอนนี้ประการแรกสุดที่ข้าต้องทำ ก็คือการปกป้องเด็กคนนี้เอาไว้” กู้อ้าวเวยลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตระหนก และถอยไปหยุดยืนตรงประตู ความเจ็บปวดในหัวใจของนางก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
นางไม่ควรจะเครียด การแพร่กระจายของพิษนั้นมีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของนาง
ซ่านจินจื๋อก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน คิดจะพูดอะไรสักหน่อยให้นางใจเย็นลงบ้าง กลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เรื่องนี้ไว้พูดกันวันหลัง” กู้อ้าวเวยส่ายศีรษะให้เขา มือข้างหนึ่งก็รวมปกเสื้อไว้ มืออีกข้างก็ยื่นไปเปิดประตู
ซางนิงเคาะประตูและยืนอยู่ตรงที่เดิม เมื่อได้เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของกู้อ้าวเวยจึงพูดขึ้น “ด้านนอกมีคนที่ชื่อฟ่านเฟิงมาตามหาเจ้า”
พยักหน้า กู้อ้าวเวยเดินผ่านด้านข้างของซางนิง และรีบเดินออกไปด้านนอก
ซ่านจินจื๋อลูบหน้าผากของเขาด้วยความปวดหัว สูดหายใจลึกๆไปสองครั้ง แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรนางถึงยอมทิ้งชีวิตตนเองเพื่อจะไปให้กำเนิดลูกคนนี้ ออกห่างสนามรบ รอให้เรื่องทุกอย่างสงบลง พวกเราก็ยังมีเวลาอีกตั้งมากมาย…”
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ซ่านจินจื๋อเองก็เงียบไป มองไปยังซางนิงอย่างว่างเปล่า
จากนั้นก็ดูเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตอบสนอง “บางที นางอาจจะมีเวลาไม่มากแล้วก็ได้”
“บัดซบ” ซ่านจินจื๋อชกกำปั้นลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ แล้วรีบวิ่งตามไป
เหตุใดนางจึงใจร้อนที่จะจัดการกับซูพ่านเอ๋อ เพราะเหตุใดนางจึงปิดบังเรื่องทั้งหมดมาไว้แนวหน้ามาโดยตลอด
มันไม่ใช่จะเป็นเพื่อภาพรวมอะไร……….
และตอนนี้ที่ลานด้านนอก กู้อ้าวเวยได้ดูสิ่งที่ฟ่านเฟิงส่งมาจบแล้วอย่างละเอียด แต่กลับนึกถึงแผนที่ภูมิประเทศที่ตนเองศึกษามาในสองสามวันนี้ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คืนสิ่งเหล่านี้ให้ฟ่านเฟิงเหมือนเดิม “ในเมื่อท่านซูได้แสดงความจริงใจออกมาเล็กน้อย และสิ่งเหล่านี้ก็ดูเหมือนกับที่ข้าค้นคว้ามาก่อนหน้า ทดลองดูได้”
“แม่ทัพล่ายเสวียนคิดว่า หากตอนนี้เจ้าเชื่อมากเกินไป อาจมีบางสิ่งผิดพลาดได้” ฟ่านเฟิงลดเสียงลง
“ในกรณีนี้ อย่าเพิ่งรีบเข้าโจมตีสองสถานที่นี่พร้อมกัน ให้โจมตีเพียงด้านเดียวเพื่อเปิดทางเข้าไป หลังจากนั้นดีที่สุดให้ใช้คนแปดพันคนในการปิดล้อมและปราบปราม ป่าทางตะวันตกเฉียงเหนือเคยมีหลุมศพอยู่จำนวนมาก แต่ต้องละทิ้งไปเพราะฮวงจุ้ย หลายปีมานี้หินที่พังทลายนั้นก็ยังไม่ได้ถูกเกลี่ยให้เสมอ เพื่อให้กลายเป็นเนินใหญ่ เพียงแค่สามารถยืนอยู่บนภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยทุกสิ่งก็เป็นไปได้” กู้อ้าวเวยพูดแบบนี้
“แต่ ท่านรู้เรื่องนี้ได้ อีกฝ่ายก็ย่อมรู้เช่นกันแน่นอน” ฟ่านเฟิงลำบากใจเล็กน้อย
“เรื่องนั้นแน่นอน แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องเกิดการรบกันอย่างดุเดือดที่ป่าทางตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ดี วิธีการที่ดีที่สุดคือคว้าโอกาสมาให้ได้ก่อน และค่อยลงมือภายหลัง ใช้วิธีการดาบนั้นคืนสนอง แต่ช่วงเวลาของโอกาสที่จะทำสำเร็จนี้ ต้องใส่ใจมาก นอกจากนี้…” กู้อ้าวเวยพูดกับฟ่านเฟิงอย่างละเอียด ในขณะที่ให้แม่บ้านไปนำเอกสารที่เขียนไว้เมื่อวานนี้ออกมาจากในห้อง เพื่อส่งมอบให้กับฟ่านเฟิง”
ยืนนิ่งอยู่ราวครึ่งชั่วโมง จากนั้นฟ่านเฟิงก็จากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนออกเดินทางก็สั่งทุกคนในเมือง ทหารแคว้นชางหลานเหล่านี้ล้วนแต่มาช่วยเหลือ ยามนี้ต้องคอยระวัง แต่กลับทำดีกับกู้อ้าวเวย จากนั้นจึงจากไป
กู้อ้าวเวยรู้สึกเจ็บขาเล็กน้อย ตอนนี้กลับหลังหันไปเพื่อจะกลับ กลับมีเด็กสองคนวิ่งมาจากถนนแล้วมาหยุดตรงหน้า พี่ชายน้องสาวคู่หนึ่งยื่นตะกร้ามันเทศให้กับนาง และยังพูดว่า “ท่านแม่ให้พวกเรามาขอบคุณท่าน ขอบคุณที่ท่านช่วยรักษาแขนและขาของพี่ชาย”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณสำหรับมันเทศของพวกเจ้า” กู้อ้าวเวยทำได้เพียงก้มตัวเล็กน้อยแล้วลูบศีรษะเด็กทั้งสองคน ส่งสายตามองเด็ก ๆจากไป จากนั้นจึงได้ถือตะกร้ามันเทศนั้นเดินกลับไป
ก้าวเข้าสู่ทางเดิน ลมหนาวก็ค่อยๆมากขึ้น
ออกมาจากเรื่องทางการแล้ว ในใจก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย แต่กลับไม่รู้ว่าเหตุใดซ่านจินจื๋อจึงได้ดื้อขนาดนี้ ยังคงต้องระมัดระวังเหมือนเช่นเมื่อก่อน นางเกือบจะไม่มีความลับใดที่จะพูดได้
มือข้างหนึ่งตกลงบ่นไหล่ของนางเบาๆ เสื้อคลุมนอกของซ่านจินจื๋อก็พาดอยู่บนไหล่ของนางเช่นกัน
ซ่านจินจื๋อดึงเส้นผมของนางออกมาจากเสื้อผ้าด้านหลัง และจูบลงบนท้ายทอยของนางเบาๆ “ข้าจะไม่ปลิดชีวิตลูกของเจ้า เจ้าต้องสัญญากับข้า ว่าจะไม่พรากคนรักของข้า”