บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 653
บทที่ 653 กองทัพดำที่ลึกลับ
ไฟป่าเต็มไปหมดเผาไหม้มาตลอดทั้งคืนกว่าจะหยุดลงมาได้
ผู้คนรอบข้างกลับค่อยๆ เบาบางลง ตามคำสั่งของล่ายเสวียนก่อนหน้านี้ที่ให้ไปอยู่ที่พักใหม่ที่ถนนที่นัดหมายกันไปว้แล้ว มีเพียงคนชราส่วนน้อยที่ร้องไห้ไม่ยอมจากไป
กู้อ้าวเวยตื่นขึ้นมาโดยพิงอยู่ที่ไหล่ของซ่านจินจื๋อ จำไม่ได้ว่าเมื่อคืนหลับไปได้อย่างไร แต่ร่างกายของนางกลับรู้สึกเบามาก หาความเจ็บปวดแม้แต่นิดก็ไม่เจอ เมื่อครู่ขยับคอไปมา แขนข้างหนึ่งยื่นออกมา ค่อยๆ ประคองไหล่ของนางให้แน่น น้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยเสียงแหบๆ “พักอีกสักหน่อยเถอะ เพิ่งจะตื่นขึ้นมาไม่ง่ายที่จะขยับเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว”
“สถานการณ์เป็นอย่างไร” กู้อ้าวเวยขยับเข้าไปในอ้อมแขนของซ่านจินจื๋อ เอาแขนทิ้งวางไว้บนขาของเขา และหลับตาลงอีกครั้ง
“สถานการณ์ของลูกไม่เลวนัก แต่ท้องนี้ของเจ้ากลับเล็กกว่าหญิงมีครรภ์โดยปกติทั่วไปนิดหน่อย กลับดุไม่ออกเลยว่าจะห้าเดือนแล้ว” ซ่านจินจื๋อโอบนางไว้ในอ้อมแขนด้วยรอยยิ้ม ประคองนางไว้ข้างๆ ให้เอนตัวลงมา เอนพิงอยู่ที่ตักของเขา
กู้อ้าวเวยเอามือตบไปที่ข้างเอวของเขา “ที่ข้าถามคือสถานการณ์ในเมืองเป็นอย่างไร เมื่อวานเจ้ายังดูใส่ใจพวกเขาอยู่เลย”
“ในเมื่อเป็นสามีของเจ้า แน่นอนว่าไม่นิ่งดูดายเป็นอันขาด” ซ่านจินจื๋อลูบผมยาวของนางด้วยมือข้างหนึ่ง มือข้างหนึ่งกลับทำท่าทางไปที่ผู้ใต้บัญชาข้างกาย ให้คนพาอ้ายจือมา น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย “กองทัพของอ้ายจือได้รับความสูญเสียอย่างหนัก บัดนี้เห็นสะพานเส้นนี้กลับไม่กล้าที่จะเหยียบย่ำเข้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว และทหารที่หนีออกมาในเมืองมีเพียงไม่กี่ร้อยคน เมื่อคืนทุกๆ ชั่วยามล้วนมีทหารพาพวกชาวบ้านหนีออกมาให้ทันเวลา ระเบิดที่อยู่ในเมืองระเบิดมาสองชั่วยามแล้วแล้วจึงหยุดลงอย่างสมบูรณ์
คราวนี้กู้อ้าวเวยจึงวางใจลงได้
“ในเมื่อธุระของเจ้าทำได้เกือบเสร็จหมดแล้ว ก็ควรจะถึงคราวความปรารถนาของข้าแล้วใช่หรือไม่” มือของซ่านจินจื๋อวางบนคางของนาง ค่อยๆ ยกขึ้นเล็กน้อย คนที่อยู่ในอ้อมแขนก็ยกร่างกายขึ้นอย่างเชื่อฟัง
“แม้ว่าเจ้าไม่มา แต่ตราบใดที่เห็นร่างของข้าที่ไม่คล่องแคล่ว คนอื่นก็จะไม่ยอมรับข้าแน่นอน”
หากไม่มีซ่านจินจื๋ออยู่ข้างกาย นางก็อาจจะไม่สามารถรับมือกับควันไฟป่าได้แน่นอน แม้แต่กุ่ยเม่ยก็ยังถูกนางทิ้งเอาไว้ที่อื่น ในเมืองนี้ไม่มีใครไว้วางใจได้แม้แต่คนเดียว
“ต่อจากนี้ข้าหรือว่ากุ่ยเม่ย ยังไงก็ต้องมีคนที่คอยอยู่ข้างกายเจ้า” ปลายนิ้วของซ่านจินจื๋อกดลงเข้ากับริมฝีปากที่แห้งๆ ของนาง “ลุกขึ้นมากินอะไรสักหน่อยแล้วพวกเราก็ยังออกเดินทางกันต่อ”
“อืม” กู้อ้าวเวยตบมือของเขาให้ออกไป ได้เพียงพักผ่อนอยู่บนต้นขาของเขาชั่วครู่ก่อนที่จะลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก หน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยนี้เป็นภาระของนางเสมอ แต่เมื่อเทียบกับผู้หญิงท้องใหญ่คนอื่นๆ นางก็นับได้ว่ามีท้องที่เล็กมากเลยทีเดียว
แต่ดูข้าวต้มจืดๆ และกับข้าวไม่กี่จานเล็กๆ ที่อยู่ในกล่องอาหารนี้ กู้อ้าวเวยกำลังรู้สึกแปลกใจ แต่เห็นรถม้าที่สวยงามในป่าเขาที่อยู่ใกล้ๆ เข้ากันไม่ได้กับสถานที่แห่งนี้ซึ่งควันและฝุ่นฟุ้งกระจายไปหมด
นางเหลือบมองไปที่ซ่านจินจื๋ออย่างสงสัย ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าเขามีความสามารถครอบงำดินแดนของผู้อื่นได้มากแค่ไหน
เพิ่งจะกินข้าวต้มไปครึ่งชาม ก็ได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ดังมา เสียงด่าว่าของอ้ายจือก็ดังมาจากด้านหลังของลำต้น “วันหลังช่วยอ่อนโยนกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง”
แววตาของกู้อ้าวเวยเย็นชาไปหลายเท่า
เมื่อวานอ้ายจือรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าในร่างกายของนางมีพิษมากน้อยแค่ไหน และเขาก็จะบอกซ่านจินจื๋อแล้ว
อ้ายจือปัดฝุ่นที่อยู่บนตัวไปมา บาดแผลของเมื่อคืนยังไม่ได้รับการเปลี่ยนยา บัดนี้เดินมาที่ข้างกายของกู้อ้าวเวย ตอนที่คุกเข่าลงกับพื้นจับชีพจรให้นางนั้น ในใจก็รู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
แววตาของกู้อ้าวเวยเมื่อคืนนั้นราวกับว่าจะฆ่านางให้ตายอย่างนั้น แต่นางก็ยังไม่รู้ เหตุใดกู้อ้าวเวยรู้สภาพร่างกายของตนเองเป็นเช่นนี้ ยังเต็มใจที่จะตั้งครรภ์เดินำที่ประตูนรก ในขณะเดียวกัน นางก็ไม่ค่อยแน่ใจกับเรื่องนี้
ร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินไป
คำพูดนี้กลับถูกสายตาเย้นชาของกู้อ้าวเวยคู่นั้นปิดกั้นกลืนเข้าไปในลำคอ ไอเบาๆ สองสามครั้งแล้วจึงพูดว่า “ทารกในครรภ์มีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ในอนาคตเจ้าควรหาสถานที่ที่ปลอดภัยดูแลร่างกายให้ดีๆ ท่านซูได้แสดงความจริงใจออกมาแล้ว เมื่อสามารถเรียกกองกำลังของล่ายเสวียนให้ไปได้ เขาก็ไม่สนใจข้าอีก ข้าสามารถไปถอนพิษกับเจ้าได้”
“หลังจากรอข้าคลอดลูกถอนพิษแล้ว ของที่เจ้าอยากได้ข้าก็จะช่วยเจ้าให้ได้มันมาเอง” กู้อ้าวเวยดึงข้อมือของตนกลับไป บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับน้ำ
“เจ้ารู้จริงหรือว่าข้าต้องการอะไร” อ้ายจือหัวเราะเสียงต่ำหนึ่งคำ
“ต้องการความสงบสุขก็พอแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้ายังมีอีกหลายปี ใช้ได้ตลอดเวลา” กู้อ้าวเวยค่อยๆ ยืนขึ้นโดยที่พิงแขนของซ่านจินจื๋อ ขาทั้งสองข้างสั่นเล็กน้อย คำพูดที่พูดกับอ้ายจือยังไงก็เป็นคำปฏิญาณเสมอ “ที่ข้าพูดถูกหรือไม่”
สีหน้าของอ้ายจือเปลี่ยนไป ท้ายที่สุดก็ได้เพียงแสยะยิ้มอันขมขื่นออกมา “กู้อ้าวเวย คนเช่นเจ้าแบบนี้ทำให้คนกลัวจริงๆ”
“รู้จักกลัวก็ดีแล้ว” กู้อ้าวเวยปรากฏรอยยิ้มที่เศร้าหมองออกมาในตอนที่ซ่านจินจื๋อมองไม่เห็น “ไปกันเถอะ”
คำพูดพูดออกไป กู้อ้าวเวยก็ถูกซ่านจินจื๋ออุ้มขึ้นรถม้าไปแล้ว
อ้ายจือลังเลอยู่ชั่วครู่จึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา มีคนจูงม้ามาให้นางจากในป่า พร้อมกับกล่าวเตือนด้วยเสียงต่ำว่า “ท่ายังเป็นคนของแคว้นเจียงเยี่ยนอยู่แท้ๆ หากกล้าทำเรื่องที่เสียมารยาทต่อฝ่าบาทท่านนั้น พวกเราจะตัดศีรษะของท่านซะ”
กัดฟันแน่น อ้ายจือพยักหน้าพลิกตัวขึ้นม้า มองไปที่รถม้าที่อยู่ตรงหน้าของเขาอีกครั้ง
สองคนนี้เป็นคู่ที่ฟ้าดินสร้างให้เกิดมาเพื่อกันจริงๆ
ตอนที่หลายคนแยกย้ายกันไป แต่มีเพียงซ่านจินจื๋อที่เขียนจดหมายไว้ให้พวกเขา ส่งคนพิราบไปบอกให้พวกล่ายเสวียนรับรู้เรื่องที่พวกเขาจากจากไป
รถม้าขี่ไปตามทิศทางของด่านเจิ้งสุ่ย กู้อ้าวเวยเอนพิงอยู่ในรถม้า ผสมยาสมุนไพรที่อยู่ในหีบห่อ หูก็ฟังตำพูดที่ซ่านจินจื๋อพูด “ยาสูตรลับของพวกเจ้าตระกูลหยุนก็ไม่สามารถถอนพิษให้เจ้าได้เช่นกัน”
“หนึ่งในนั้นมีสิ่งที่ต่อต้านกันอยู่ซึ่งกันและกัน กินเข้าไปอาจจะทำให้ข้าวิญญาณแตกสลายได้” กู้อ้าวเวยพูดอย่างเชื่องช้าขี้เกียจ เปิดม่านด้วยมือข้างหนึ่งแล้วถามขึ้นว่า “นี่พวกเรากำลังจะไปแคว้นชางหลานหรือ”
“เมื่อเทียบกับความวุ่นวายที่แคว้นชางหลานแล้ว ข้ายินดีพาเจ้าไปรักษาตัวในหมู่บ้านบนภูเขาดีกว่า” ซ่านจินจื๋อจับข้อมือของนางแน่นด้วยใบหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ข้าเคยพูดไว้ว่าจะดูแลสั่งสอนเจ้า”
“หมายความว่าอะไร” กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วไปมา หนังศีรษะรู้สึกเสียวซ่า
“มีหมู่บ้านเล็กหลายแห่งแถวๆ แคว้นเอ่อตาน สถานที่เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการรวมตัวกันของคนหลายชั่วอายุคน นอกจากจะรับคนในแล้ว พวกเขาก็แทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับภายนอกเลย” ซ่านจินจื๋อขมขู่ด้วยเสียงต่ำ เน้นหนักไปที่สองสามคำนี้ “ดูแลครรภ์ให้ดีๆ”
เดิมทีกู้อ้าวเวยอยากจะโต้เถียงออกไปสองสามคำ แต่พอหวนคิดดู ในที่สุดก็เป็นตัวเองที่ไม่มีเหตุผล ก่อนหน้านี้ฉันเลือกที่จะจากไปเพราะฉันคิดมากเกินไป ตอนนี้หากโมโหใส่ซ่านจินจื๋ออีก งั้นก็เป็นตัวเองที่ไม่ถูกแล้ว
“ล้วนฟังเจ้า” กู้อ้าวเวยพุ่งเข้ามาข้างกายซ่านจินจื๋อ ค่อยๆ เอนไปบนไหล่ของเขา
ทุกครั้งที่พักอยู่ข้างกายซ่านจินจื๋อ นางมักจะรู้สึกอ่อนเพลีย
ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นเพื่อพยุงร่างกายของเธออย่างระมัดระวังปกป้องเธออย่างระมัดระวังท่ามกลางการกระแทกบนท้องถนน
ออกจากอาณาเขตของแคว้นเจียงเยี่ยน พบกับพระอาทิตย์ตกทางด้านตะวันตกพอดี สองสามคนหาที่หลับนอนพักผ่อน
อ้ายจืออยู่เป็นเพื่อนกู้อ้าวเวยทั้งคืน ผู้หญิงสองคนดูแลกันได้ดียิ่งกว่า ซ่านจินจื๋อจุดไฟอยู่ในที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนั้น กลับได้ยินเสียงเกือกม้าแผ่วเบาดังมาจากในป่า
ทหารรักษาการณ์ที่อยู่บนกิ่งไม้กระโดดลงมา พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “เป็นกองทัพดำที่เคยเจออยู่นอกเมืองเมื่อครั้งที่แล้ว และกำลังควบม้ามายังที่นี่”
“ส่งคนไปคุ้มกันพวกนางเอาไว้ให้ดี” ซ่านจินจื๋อทิ้งกิ่งไม้ที่อยู่ในมือ ชักดาบยาวที่อยู่ข้างเอว แววตาเย็นชา
“ระวังทุกสิ่งอย่าง เป้าหมายของพวกเขาไม่แน่ชัด” กู้อ้าวเวยย้ายไปที่ลำต้นของต้นไม้
เสียงเกือกม้าใกล้เข้ามา