บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 656
บทที่ 656 ยกเลิกหมด
ในเมื่อเป็นเรื่องของยาสมุนไพร แน่นอนว่าซ่านจินจื๋อไม่เข้าไปยุ่งมากกว่านี้ ได้แค่ให้อ้ายจือและผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดเตรียมห้องให้เรียบร้อยก่อน ตัวเองก็อยู่เพื่อทำตามที่กู้อ้าวเวยต้องการ จึงเข้าไปนั่งรอในโรงเตี๊ยมที่อยู่ตรงข้าม
ทันทีที่ซ่านจินจื๋อไป กู้อ้าวเวยจู่ๆ ก็จัดการการค้าขายนี้ได้สำเร็จ ตอนที่รอคนไปซื้อสมุนไพร เอนไปที่ลิ้นชักถามเถ้าแก่ผู้นั้นว่า “ข้าว่านะเถ้าแก่ ทำไมพวกเจ้าไปแคว้นชางหลานรอบนี้ถึงได้ราคาแพงเช่นนี้”
“ตอนนี้ชายแดนทั้งหมดของแคว้นชางหลานเข้มงวดมาก ได้ยินมาว่าองค์ชายเก้าพยายามก่อกบฏ พวกเราเดินทางครั้งนี้เพื่อเจ้า ก็เท่ากับว่าเอาหัวผูกไว้กับผ้าคาดเอวหรือ”
ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านข้างเดินพูดขึ้นมาหนึ่งก้าว
กู้อ้าวเวยได้เพียงเอนตัวไปด้านข้าง ส่งแท่งเงินที่ไม่มีร่องรอยให้ “ถ้างั้นข้าก็ควรจะให้เงินเยอะหน่อย แต่คนของญาติข้ามีคนประจำอยู่ที่ชายแดน พวกเจ้าดูหน่อยว่าจะให้ข้อมูลอะไรหน่อยได้บ้างไหม”
“ดูฮูหยินพูดเข้า ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้อยู่แล้ว” แผนกการเงินเก็บเงินนั้นเข้าไปด้วยรอยยิ้ม อีกทั้งยังลูบเงินหักเหล่านั้นให้พวกผู้คุ้มกันในห้องไป
หลายคนหัวเราะอย่างดีใจ แต่พวกเขาก็สามารถบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่ชายแดนได้เกือบถูกต้องทั้งหมด
รอจนพูดจบ แผนกการเงินนั้นก็บีบหนวดสองข้างแล้วยิ้ม “ฮูหยินวันนี้มาที่หมู่บ้านของพวกเราเพื่อดูแลครรภ์ แล้วทำไมต้องกังวลเกี่ยวกับชายแดนของแคว้นชางหลานด้วยเล่า”
“นี่ไม่ใช่เพราะลูกพี่ลูกน้องข้าอยู่ที่นั่น ผ่านไปหลายเดือนแล้วยังไม่เห็นเลย ได้ฟังที่พวกเจ้าพูดมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหากลูกในท้องของข้าคนนี้คลอดออกมาแล้วยังจะได้เจอหน้าเขาหรือไม่” กู้อ้าวเวยพูดถึงตรงนี้ ยิ่งพูดถึงเรื่องของรู้พี่ลูกน้องอย่างฉะฉานด้วยแล้ว พูดจนผู้คุ้มกันหลายคนต่างพากันฟังแล้วรู้สึกตามไปด้วย
“ญาติของเจ้าหากยืนถูกกองก็ได้ดีหน่อย เมื่อก่อนตอนที่พี่น้องข้ากลับมาจากแคว้นชางหลาน ก็ได้แต่บอกว่าองค์ชายเก้าผู้นั้นไม่ใช่ผู้ที่จะยั่วโทสะได้ อีกทั้งองค์ชายสามที่หมั้นหมายกับองค์หญิงของพวกเราเป็นคนขี้ขลาด เอาอำนาจทางการทหารมาไม่ได้ก็พอแล้ว ยังบอกว่าองค์หญิงของพวกเราทำตัวไม่เหมาะสมอีก” พวกผู้คุ้มกันยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม
เมื่อเห็นว่าหัวข้อถูกเปิดแล้ว กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะหยุดมัน แต่ก็สงสัยเล็กน้อยว่า “องค์หญิงผู้นี้อะไรก็ไม่ทำ พวกเจ้ายังบอกว่านางดีอีกหรือ”
หลายคนมองนางด้วยสายตาโง่เขลา
“ไม่มีองค์หญิงองค์ใดของพวกเราอยู่ที่นี่เพื่อจัดการธุระหรอก แค่จิตใจดีมีเมตตาก็พอแล้ว”
แผนกการเงินผู้นั้นหัวเราะขึ้นมาแล้วยืนขึ้น “ดูไปฮูหยินไม่ใช่คนแคว้นเอ่อตาน ก็เลยไม่รู้นิสัยของพวกเราชาวแคว้นเอ่อตาน”
“หมายความว่าอย่างไร” กู้อ้าวเวยปรากฏความสงสัยออกมา
“ฮ่องเต้และรัชทายาทองค์ปัจจุบันทรงงานเพื่อพวกเรา พวกเราดีต่อลูกสาวของเขาไม่ใช่สิ่งที่สมควรหรือ” แผนกการเงินยิ้มไปมา ดีดลูกคิดขึ้นลงสองครั้งแล้ววางกลับไปที่เดิม “ข้าไม่กลัวว่าท่านจะหัวเราะหรอก ฮ่องเต้ของแคว้นอื่นต้องมาจากการสืบทอดจากคนตระกูลเดียวกัน ฮ่องเต้แคว้นเอ่อตานของพวกเรา เพียงแค่ใครมีความสามารถ ก็สามารถแซ่ฉู เป็นลูกบุตรธรรมก็สามารถสืบทอดราชบัลลังก์ได้เช่นกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเช่นนี้ กู้อ้าวเวยกลับกลายเป็นยิ้มขึ้นมา “แล้วถ้าองค์หญิงและองค์ชายรัชทายาทไม่ได้เรื่องจะได้รับการลงโทษอย่างไร”
“ตามปกติแล้วก็จะเป็นไปตามกฎระเบียบ แต่หากไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเราก็ใช้ชีวิตได้ปกติสุข โดยธรรมชาติแล้วพวกเราก็จะไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับราชวงศ์ที่นั่นหรอก” ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านข้างก็หหัวเราะขึ้นมาเช่นกัน ตบไปที่ขาหนึ่งที “แต่หมู่บ้านของพวกเราเป็นข้อยกเว้น หลายปีก่อนพวกเราที่นี่เกิดน้ำท่วมใหญ่ องค์ชายรัชทายาทเพิ่งจะอายุสิบปีก็ลากเงินมาช่วยสร้างบ้านด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสร้างป้อมหลายป้อมรอบๆ อย่างเข้มแกร่งเพื่อล้อมพวกเราไว้ที่นี่ บัดนี้ดูสถานที่ของพวกเราที่นี่สิ กลับกลายเป็นสถานที่ที่ร่ำรวยมิใช่หรือ”
ไม่น่าแปลกที่ข่าวลือเรื่องความซื่อสัตย์ของแคว้นเอ่อตานมาจากไหน
ข่าวที่ว่าบุตรบุญธรรมเป็นฮ่องเต้ได้อาจจะได้ยินมาจากคำบอกเล่า แต่หากถูกองค์ชายรับรู้ งั้นทุกวันจะต้องหวาดกลัว มุ่งมั่นที่จะกล้าหาญและก้าวหน้า โดยธรรมชาติแล้วก็จะรู้เรื่องขึ้นเยอะเลย มันยากกว่าราชบัลลังก์ที่สืบทอดต่อกันมามากเลย
แต่เมื่อคิดถึงฉูห้าวตอนนี้ก็อายุประมาณยี่สิบได้ ตอนที่ยังเยาว์วัยอยู่นั้นไม่รู้ว่าไปช่วยเหลือสถานที่มากี่แห่งจึงได้มาซึ่งชื่อเสียงเช่นนี้ มันทำให้นางคนที่เป็นพี่สาวเช่นนี้รู้สึกทุกข์ใจขึ้นมา
ออกจากสำนักคุ้มภัย ข่าวคราวที่อยากฟังและไม่อยากฟังต่างสืบมาได้เรียบร้อย
ก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม ปกติซ่านจินจื๋อไม่ชอบนั่งที่ชั้นแรกเป็นที่สุด บัดนี้กลับบังไว้เพียงฉากกั้นลม สั่งอาหารเต็มโต๊ะอยู่ตรงหน้านาง
เดิมทีอยากจะตำหนิเขาที่แม้แต่ข่าวคราวของการเกิดเรื่องชายแดนแคว้นชางหลานก็ไม่บอกให้รู้ แต่ฝ่ามืออันอบอุ่นของซ่านจินจื๋อพยุงนางให้นั่งลง อีกทั้งยังรินน้ำชาให้นางด้วยตัวเอง แม้แต่คำตำหนิก็พูดไม่ออก ได้แค่พูดเสียงเบาๆ ว่า “ข้าเพิ่งได้ยินที่พวกผู้คุ้มกันพูดว่า หลายปีก่อนฉูห้าวหอบเงินมาเพื่อสร้างที่นี่ขึ้นใหม่”
“ข้ารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี พูดตามตรง แคว้นเอ่อตานสามารถอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ ราชวงศ์ยังครองใจของประชาชนได้ เป็นสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึง” ซ่านจินจื๋อคีบเนื้อไม่ติดมันใส่ชามของนาง พูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่นี่ยังได้รับการคุ้มครองดูแลจากราชวงศ์ วันข้างหน้าหากเจ้าตั้งถิ่นฐานที่นี่ เกิดปัญหายุ่งยากอะไรขึ้นก็เพียงแค่แสดงฐานะออกมา พวกเขาก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากเลย”
หยิบตะเกียบขึ้นมาสักพัก กู้อ้าวเวยก็ยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกแสบทรวงเล็กน้อย “เจ้าคิดมาอย่างดีเพื่อข้าแล้ว”
“หากไม่คิดดี วันข้างหน้าคงจะต้องกังวลอยู่ทุกวันเป็นแน่” ซ่านจินจื๋อตวัดสายตาไปทางนางหนึ่งที แสดงถึงความไม่พอใจ
“วันข้างหน้าพวกเราสองคนก็เสมอกันแล้ว จะไม่พูดถึงการลงโทษอะไรนั่นอีก” กู้อ้าวเวยกินเนื้อที่ไม่ติดมันชิ้นหนึ่ง รอบดวงตากลับแดงขึ้น “เจ้ามักจะระลึกถึงข้าในทุกที่ แม้ว่าจะต่างจากเจ้าเมื่อก่อนนี้ แต่ข้ายังคงจดจำความแค้นเก่าๆ”
ซ่านจินจื๋อตื่นตระหนกหลังจากเพียงแวบเดียวเห็นว่าน้ำตาในดวงตาของนางกำลังจะร่วงหล่น ก็เลยทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ก็ไม่ใช่ จะปลอบก็ไม่ร็จะเริ่มปลอบจากตรงไหน
ใครจะรู้ว่าน้ำตานั่นเพิ่งจะไหลอาบแก้ม กู้อ้าวเวยก็ใช้หลังมือของตัวเองเช็ดออก “ข้าตั้งครรภ์ เลยไวต่อความรู้สึก”
คำพูดที่ไม่ชัดเจนทำให้ซ่านจินจื๋อยกมุมปากขึ้น ยื่นมือบีบคางของนางไว้ มองไปที่ดวงตาสุกใสคู่นั้นที่เคลือบไปด้วยน้ำตา ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร “ร้องไห้ก็ร้องเถอะ ทำไมยังจะต้องพูดเหตุผลอีก”
“ข้าเป็นผู้หญิงที่ไม่มีเหตุผลหรือ” กู้อ้าวเวยตบตะเกียบวางลงอย่างทันที “ยกเลิกหมดก็ยกเลิกหมด ข้าเป็นคนยุติธรรมมาโดยตลอด”
“เจ้าพูดอะไรก็เอาแบบนั้นแหละ” ซ่านจินจื๋อรีบเกลี้ยกล่อม นั่งข้างๆ นางและเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า
กู้อ้าวเวยรู้สึกอายเล้กน้อยที่ถูกเขากอดอยู่แบบนี้ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าอย่างลวกๆ แล้วลงมือกินข้าว ซ่านจินจื๋อก็ไม่นั่งตรงข้ามนางอีก เพียงแค่นั่งบนม้านั่งข้างๆ นาง จวบจนกู้อ้าวเวยใจเย็นลงและทานอาหารจนเสร็จ คราวนี้จึงหยิบชามและตะเกียบขึ้น
ด้านข้างหูได้ยินเสียงกู้อ้าวเวยดังเข้ามาเบาๆ ว่า “เรื่องของชายแดนแคว้นชางหลาน เจ้าไม่เตรียมจะบอกข้าหรือ”
ยังไม่มีอะไรเข้าปากเลย ซ่านจินจื๋อวางชามและตะเกียบลง ขมวดคิ้วมองนาง “ข่าวพวกนี้ของเจ้ามาเร็วดี แต่เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้เจ้าเป็นกังวล”
“งั้นเจ้าก็จะไม่กลับไปจัดการหรือ” กู้อ้าวเวยดูรีบร้อนเล็กน้อย
“ข้าแค่ดูแลใส่ใจฮูหยินของข้า องค์ชายสามต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหานี้” ซ่านจินจื๋อถอนหายใจออกมายาวๆ หนึ่งเฮือก เติมน้ำซุปหนึ่งชามวางไว้ด้านหน้ากู้อ้าวเวย “ดื่มซุป”
“ดื่มไม่ลง” กู้อ้าวเวยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชายแดนแคว้นชางหลาน โอบอุ้มหน้าท้องเอาไว้แน่น
“การจับคู่กันของเนื้อสัตว์และผักสำคัญมาก” ซ่านจินจื๋อผลักชามซุปนั้นไปด้านหน้าอีก “อยากรู้ข่าวเรื่องนี้อีก มาข่มขู่เอากับข้าโดยตรง อย่าพูดคุยกับผู้คุ้มกันพวกนั้น ต้องรู้ว่าชายหญิงแตกต่างกัน”
“อย่าจู้จี้อีกเลย เมื่อก่อนเจ้าเป็นคนที่คำพูดน้อยนักมาตลอด” กู้อ้าวเวยหยิบช้อนขึ้นมา กลอกตาไปมาอย่างไม่เหมาะสม
ซ่านจินจื๋อกลับยิ้มและส่ายหัว แล้วหยิบชามและตะเกียบขึ้นมากินต่อ