บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 671
บทที่ 671 พายุฝน
ฝนตกหนักทำให้มีผู้คนมากมายในร้านเหล้า คนเล่าเรื่องลูบหนวดตนเองอย่างพอใจกับเงินที่ได้มา ขนาดเสี่ยวเอ้อยังรู้งานนำเอาเมล็ดแห้งมาให้สองกอง ถือโอกาสนี้ขายของให้ได้เยอะๆ
กู้อ้าวเวยมองดูผู้คนในร้านเหล้านี้ อยู่ในสถานที่ที่เห็นหน้ากันบ่อย แต่วันนี้กลับมีคนแปลกหน้าหลายคน พอเฒ่าแก่มาส่งน้ำอุ่น นางจับเขาแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำว่า “เฒ่าแก่ปกติแล้วจะมีคนแปลกหน้ามามากขนาดนี้หรือ”
เฒ่าแก่มองดูรอบๆแล้วรู้สึกชื่นชมฮูหยินท่านนี้ที่มีสายตาที่ดีแค่มองก็จำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะยังไงคนในหมู่บ้านนี้ก็มีประมาณห้าร้อยหกร้อยคน แต่นางกลับดูออกว่าตอนนี้ที่นี่มีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยจึงได้พูดว่า “ตอนนั้นหมู่บ้านของเราประสบภัยพิบัติมีคนหนุ่มสาวมากมายออกไปทำงานข้างนอก แต่งงานอยู่ข้างนอก แต่ก็ยังกลับมาตั้งรกรากในหมู่บ้าน ไม่เช่นนั้นในหมู่บ้านของเราจะมีคนมากมายขนาดนี้หรือ”
กู้อ้าวเวยเห็นเด็กและผู้หญิงมากมายจริงๆจึงได้ถามต่อไปว่า “คนหนุ่มพวกนั้นพาลูกเมียกลับมา แล้วก็ออกไปทำงานใหม่งั้นหรือ”
“มันก็ไม่ใช่ ไม่กี่ปีมานี้หมู่บ้านของเราไม่ต้องเสียภาษี คนหนุ่มที่แต่งงานกับหญิงสาวข้างนอกมาก็ควรกลับมาทำอะไรสักอย่างให้หมู่บ้านของเรา ผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านไม่กี่คนล้วนจัดการเอาไว้แล้ว จะว่าไปแล้วพวกเราทุกคนในหมู่บ้านก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน” เฒ่าแก่พูดไปยิ้มไปราวกับไม่รู้จะทำยังไงกับวัฒนธรรมแบบนี้ของหมู่บ้าน
กู้อ้าวเวยถึงได้วางใจยิ้มแล้วขอขนมจากเฒ่าแก่มาสองชิ้น
ฝนตกหนักอยู่นอกหน้าต่างนั่น ตอนนี้กู้อ้าวเวยอยากจะออกไปก็ออกไปไม่ได้ คนคุ้มกันสองคนข้างๆเอาเสื้อคลุมมาคลุมไหล่ให้กู้อ้าวเวยพร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ฮู…คุณหนูตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้”
“ระวังตัวไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังไม่รู้ว่าใครคือคนที่ทำร้ายข้าและรู้ว่าที่ซ่านจินจื๋อให้พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะกลัวว่าข้าจะคลอดยากแล้วอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้” กู้อ้าวเวยนอนอยู่บนโต๊ะชำเลืองมองดูเขา “ข้าดูแล้วพวกเจ้าอายุน่าจะน้อยกว่ากุ่ยเม่ย เมื่อก่อนรู้จักกันไหมล้วนเป็นคนของซางนิงหรือ”
“ใต้เท้าซางนิงเอาแค่คนเก่งพวกเราโง่คงไปไม่ถึงตำแหน่งที่สูงได้จึงเป็นได้แค่คนคอยคุ้มกัน” คนคุ้มกันเกาหัวไปมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำว่า “ถึงแม้ว่าตอนเด็กจะรันทดไปหน่อยแต่สามารถอดทนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ผ่านอายุสามสิบ นายท่านคงให้พวกเราไปแต่งงานมีลูกมีเมียและยังได้เงินรางวัลอีกด้วย”
“ถึงว่าทำไมพวกเจ้าถึงได้จงรักภักดีนัก” กู้อ้าวเวยคิดมาตลอดว่าพวกเขาเหมือนกับนักรบคนตาย วันนี้ดูแล้วซ่านจินจื๋อก็เป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ แต่ถ้าคิดอีกทีคือคนที่อายุสามสิบแล้วทำอะไรก็ไม่สะดวกแล้วจะใช้ให้ทำอะไรก็คงทำไม่ค่อยได้
มีคนไม่กี่คนไม่อยากฟังหนังสือจึงได้แอบฟังที่กู้อ้าวเวยถามรู้อะไรหลายอย่าง
เช่นเมื่อก่อนซางหนิงและซ่านจินจื๋อสองพี่น้องนี้เคยแตกแยกกัน
“ในเมื่อตอนนั้นซางนิงจงรักภักดีต่อพวกเขาสองพี่น้อง ทำไมฮ่องเต้ถึงต้องฆ่าคนทั้งตระกูลของเขาด้วย” กู้อ้าวเวยพูดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกสงสัย
“พวกเราไม่รู้เหตุผลหรอก แต่ซางนิงไม่พอใจฮ่องเต้อย่างมาก หลังจากที่หนีไปฮ่องเต้เต็มใจให้คนออกไปตามหาดูแล ใครจะไปรู้ว่าซางนิงจะปกปิดซื่อแซ่แล้วส่งท่านอ๋องไปไว้ในมือของอาจารย์ของเขา แล้วยังช่วยท่านอ๋องฝึกคนอีกด้วย เพราะแบบนี้พอท่านอ๋องโตพอที่จะออกสู้รบได้ข้างกายถึงได้มีคนที่พอจะใช้งานได้” องครักษ์พูดขึ้นเบาๆ “และใต้เท้าซางนิงไม่พอใจซูพ่านเอ๋อจึงได้ปกปิดชื่อไปพักหนึ่งช่วงนี้ถึงได้กลับมาใหม่”
“นี่ก็ทำไปเพื่ออะไร” กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าซางนิงทำอะไรลับๆล่อๆ
ถ้าตอนนั้นโกรธแค้นซ่านต้วนโฉงที่นำพาซ่านจินจื๋อแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ แต่ก็ไม่ควรพาซ่านจินจื๋อไปให้กับคนป่าเถื่อน และไม่ชอบซูพ่านเอ๋อที่ทะเยอทะยาน แต่ถ้าตอนนั้นซางนิงชอบพวกเขาสองพี่น้องจริง งั้นทำไมตอนนั้นฮ่องเต้ถึงต้องฆ่าครอบครัวเขาด้วย ถ้าคิดดูดีๆตอนนั้นซ่านต้วนโฉงยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้ เป็นองค์รัชทายาทก็ไม่ใช่ ทำไมถึงต้องฆ่าครอบครัวของคนที่ตนเชื่อถือด้วยล่ะ
องครักษ์ทั้งสองส่ายหัวว่าไม่รู้
กู้อ้าวเวยกำลังคิดไปมาสายตากลับมองเห็นว่ามีคนมานั่งอยู่
“ใต้เท้าซางนิงอาจจะหักหลังท่านอ๋อง แต่ชาตินี้เขาจะจงรักภักดีต่อฮ่องเต้” กุ่ยเม่ยนั่งลง “ตอนนั้นไม่ว่าจะฝึกคนหรือพาท่านอ๋องไปอยู่บนเขาในที่ที่ปลอดภัยทั้งหมดนี้ก็เป็นรับสั่งจากฮ่องเต้”
กู้อ้าวเวยได้สนใจในตัวเขาอยู่สักพักแล้ว แต่วันนี้กลับรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก จึงได้พูดขึ้นว่า “ถ้าหากฮ่องเต้สั่งให้ซางนิงไปฆ่าซ่านจืนจื๋อเขาจะไปไหม”
“แปดเก้าในสิบเขาจะลงมือมั้ง” กุ่ยเม่ยทำท่าลูบหนวด มองดูของเหลือบนโต๊ะแล้วโบกมือเรียกคนสั่งกับข้าวมาสองอย่างพร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันเดียวไม่ดูเจ้าเท่านั้นเจ้าก็เริ่มสืบหาอะไรแล้วหรือ”
“ข้าแค่แปลกใจเมื่อก่อนเพราะใบหน้าที่สะอาดหมดจดนี้ของเจ้าทำให้เจ้าถูกรังแกบ่อยๆ” กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างเย็นชา
“โชคดีที่พวกเขาสู้ข้าไม่ได้” กุ่ยเม่ยยักคิ้วหยิบถ้วยตะเกียบขึ้นมากินข้าว
กู้อ้าวเวยสถบสองครั้งแล้วหันหัวไปมองนอกหน้าต่าง คนพูดหนังสือก็พูดมาจนถึงตอนท้ายได้ยินเสียงพูดคุยกันครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนฝนนอกหน้าต่างนั่นก็ตกอย่างไม่ยอมหยุด
นับดูนี่ก็หลายวันแล้วที่ซ่างจินจื๋อไม่ส่งข่าวมา
……………….
ถึงแม้ฝนจะหนักขนาดไหนก็ไม่อาจที่จะล้างรอยเลือดบนพื้นนี้ได้
หงเซียวเช็ดน้ำที่อยู่บนหน้า ดูดีๆถึงได้รู้ว่าบนหน้านั้นเต็มไปด้วยเลือดมีดในมือสองด้ามล้วนถูกน้ำฝนชำระล้าง ซ่านจินจื๋อที่อยู่ข้างๆสีหน้าเย็นชา ไม่ได้ยื่นดาบไปให้ลูกน้องอีกแล้วแต่กลับสอดเข้าไปที่เอว “ดูท่าคนพวกนี้คงไม่อยากให้ข้ากลับไปที่ชายแดนแล้ว”
“คนของพวกเราก็ไม่มีข่าวส่งมาเลย” หงเซียวถอนหายใจมองดูคนข้างหลังถึงแม้ว่าคนของตนจะรอดเยอะ แต่ข่าวที่ส่งไปกลับไม่มีตอบกลับมาเลย ส่วนทางที่จะไปที่ชายแดนได้เร็วที่สุดในตอนนี้ก็ถูกพวกกองทัพดำและพวกโจรดักสุ่มเต็มไปหมดแล้ว
ซ่านจินจื๋อหายตัวไปยังคงถูกแพร่กระจายไปทั่ว
แต่ทหารที่ชายแดนหากยังไม่เจอศพเขาก็ยังคงจงรักภักดีต่อเขาและขอให้ปลอดภัยภายใต้คนอื่น
“ท่านอ๋องข้าดูแล้วตอนนี้พวกเราควรจะหลบซ่อนก่อน ไม่ใช่เอาแต่จะเดินทางอยู่อย่างนี้ พวกเขาจ้องพวกเราอยู่ รอให้มันผ่านไปพวกเราจะต้องสามารถอ้อมไปได้แน่” หงเซียวเดินเข้ามาสะบัดเลือดที่มีดสองเล่มนั้นแล้วเอาเข้าฟักไป
ตอนนี้คนน้อยไม่พอถ้ายังดึงดันแบบนี้มันอาจจะอันตรายไปกว่านี้
กองทัพดำตรงหน้าดูท่าแล้วคงไม่หมดแค่นี้แน่
“เจ้าคุ้นชินกับที่นี่ดี” ซ่านจินจื๋อมองดูเขา “อีกอย่างต้องส่งข่าวออกไปให้ได้”
“ทางชายแดนคงทำอะไรไม่ได้..”
“ข้าพูดถึงแคว้นเอ่อตาน” มือของซ่านจินจื๋อจับไปที่คาง “เห็นเวยเอ๋อเข้มแข็งแบบนั้น ตอนนั้นที่กุ่ยเม่ยเจอกับอันตราย นางตกใจแทบตาย หากนางรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับข้า แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ คงร้องไห้แน่”
หงเซียวอ้าปากค้างพูดแค่คำเดียว
เดินมาข้างหน้าสองก้าวได้ยินซ่านจินจื๋อพูดว่า “พอคิดว่านางเป็นห่วงจนร้องไห้ ก็ไม่เลวนะ”
หงเซียวที่อยู่ด้านหลังก็เดินมาก้าวหนึ่ง มองดูเขา
ท่านอ๋องของพวกเขาคงหมดหนทางที่จะช่วยแล้ว