บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 672
บทที่ 672 ในที่สุดก็ลงมือ
“คุณหนูพรุ่งนี้คนในหมู่บ้านจะมีการล่าสัตว์ครั้งใหญ่ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านไปแบ่งเนื้อกัน”
วันนี้คนที่มาส่งอาหารคือบุตรสาวของเฒ่าแก่ร้านเหล้า ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ได้แต่งงานกับผู้คุ้มกันหลายวันนี้มีคนมามากมายผู้คุ้มกันยุ่งมาก บุตรสาวของเฒ่าเลยว่ามาส่งข้าวให้ทุกวัน นางชื่อซ่งหลี่เอ๋อร์ เรื่องมีอยู่ว่าเมียของเฒ่าร้านเหล้าท้องแล้วเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแต่ปลาคาร์พสองตัวในบ่อที่เฒ่าแก่รักมากที่สุดตายและชีวิตของแม่และลูกก็รอดมาได้ เฒ่าแก่คิดว่าปลาสองตัวนี้ปกป้องคุ้มครองพวกนางสองแม่ลูกจึงได้ตั้งชื่อนี้ให้ลูกสาว
“ข้าไม่อาจทนกลิ่นเลือดได้ เกรงว่าถ้าไปแล้วจะทำให้ทุกคนหมดสนุกกัน” กู้อ้าวเวยหยิบตะเกียบและชามขึ้นมา พร้อมกับเรียกนางเข้ามากินข้าวด้วยกัน
หลี่เอ๋อร์นั่งลงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ไปหรอก ที่มาบอกเจ้าก็แค่อยากให้เจ้ารู้เอาไว้ พรุ่งนี้พวกเขาคงไม่มาเรียนหนังสือกัน”
กู้อ้าวเวยยิ้ม หลายวันมานี้ในที่สุดท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งหลังจากฝนตกมาหลายวัน วันนี้ท้องฟ้ากลับมามืดครึ้มอีกแล้ว นางเองก็รู้สึกไม่ค่อยดี คิดดูดีๆอีกแค่สองเดือนนางก็จะคลอดแล้วนางกับอ้ายจือยังไม่มีพัฒนาการอะไรเลย
กินมาครึ่งหนึ่ง อ้ายจืออุ้มเหมือนจะเป็นยาดีเข้ามา มองดูทั้งสองคน “อีกไม่กี่วันข้าจะออกไปหาพวกเขา”
หลี่เอ๋อร์ฟังไม่เข้าใจ กู้อ้าวเวยรู้ว่าอ้ายจืออดทนมานาน รอมาถึงวันนี้ในที่สุดก็ตัดสินใจไป ในใจก็คิดเอาอ้ายหยินว่าเป็นพ่อแล้ว ได้แต่เม้นปากแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ระวังตัวหน่อยแล้วกัน ไปที่นั่นจำเอาไว้ให้ดีถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้บอกข้า ที่นั่นไม่มีผู้หญิงเลย”
“ข้าไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในถ้ำเสือหรอก” อ้ายจือเม้นปากอย่างมั่นใจ “ปิดบังเจ้ามาหลายวันนี้ ข้าไปถามข่าวจากกุ่ยเม่ยมาเยอะ รู้มาว่าแคว้นเอ่อตานมีผู้หญิงที่ฝึกวรยุทธอยู่ไม่น้อย ถ้าหากสามารถรวบรวมพวกนางให้มาอยู่รวมกันได้ ข้าจะกลายเป็นหัวหน้าทันที”
คำพูดนี้หลุดออกมา หลี่เอ๋อไอสองสามครั้ง ถึงจะรู้ว่าคนที่มาซื้อจวนโจวนี้จะไม่ใช่คนธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะเกี่ยวข้องกับทหาร สายตาของนางจ้องไปที่อ้ายจือและกู้อ้าวเวยสลับกันไปมา
กู้อ้าวเวยอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้ตบไปที่หน้าผากของตัวเองอย่างทำอะไรไม่ได้ นี่คือท้องจนเลอะเลือนไปหมดแล้ว แต่กลับไม่ได้ช่วยอ้ายจือนึกถึงเรื่องนี้เลย “เจ้าพูดถูก ดูสมองข้าสิ ทำไมตอนนั้นถึงคิดไม่ถึง ถ้ารู้เร็วกว่านี้ วันนี้ก็คงไม่ต้องให้เจ้าต้องลงมือไปจัดการเองหรอก”
“เจ้ายังคงต้องเลอะเลือนไปอีกหลายปี เรื่องนี้ข้าจัดการเองก็ดีแล้ว” อ้ายจือโบกมือเดินออกนอกประตูไป เหมือนว่าจะไปทางห้องยาหลังเรือนไปปรึกษากับจางเหยียงซาน พร้อมกับกินข้าวด้วย
กู้อ้าวเวยเม้นปากไม่พูดอะไรกินข้าวไปอย่างเงียบๆ เงยหน้าขึ้นมามองเห็นหลี่เอ๋อทำท่าประหลาดใจ จึงได้แต่ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าไม่กินเจ้าหรอก ที่อ้ายจือพูดแค่เรื่องของแผนกคุ้มกันไม่เกี่ยวกับกองทหารหรอก”
แบบนี้ซ่งหลี่เอ๋อถึงได้วางใจ และกินข้าวต่อ แล้วก็มีคนอีกคนเดินเข้ามา
กุ่ยเม่ยเหมือนจะเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วเขาลูบคางพลางนั่งลง แล้วก็ทักทาย “แม่นางหลี่เอ๋อร์”
ซ่งหลี่เอ๋อร์พยักหน้า ส่วนทางกู้อ้าวเวยนั้นได้ยื่นมือออกมาแล้วลูบคอของเบาพร้อมกับถามขึ้นว่า “ร่างกายของเจ้ายังสู้คนที่อายุเกินครึ่งร้อยแล้วไม่ได้เลย”
“พูดดีๆหน่อยได้ไหม” กุ่ยเม่ยถอนหายใจยาวๆ “ถ้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนมีเรื่องให้จัดการมากมายขนาดนี้ ข้าว่ายังไงก็ไม่ควรจัดการเรื่องพวกนี้คนเดียว ไม่ว่ายังไงก็ควรเรียกตัวผิงชวนมาช่วย”
“เจ้าโง่นี่” กู้อ้าวเวยยิ้มเขาแล้วก็ตักข้าวให้เขาพร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้าว่า ถ้าถึงเวลาแล้วข้าให้ลูกศิษย์ของข้ามาช่วยทำคลอดให้ข้าจะดีไหม”
“เจ้ารอให้ลูกศิษย์เจ้าแขนขาดขาขาดเถอะ” กุ่ยเม่ยจ้องนางตาเขม็งแล้วคีบกับข้าวให้นาง “บ้านคนอื่นล้วนให้แม่เป็นคนปักเสื้อเย็บเสื้อให้ ข้านี่สิ ช่วยพวกเจ้าจัดการเรื่องยุ่งๆพวกนี้ ยังต้องช่วยเจ้าเรียนเย็บปักถักร้อยอีก”
“เจ้าสบายที่สุดแล้ว ไม่เห็นหรอว่าลูกศิษย์ข้ากับอ้ายจือเพื่อชื่อของเด็กน้อยคิดจนหัวจะระเบิดแล้วนะ” กู้อ้าวเวยยิ้มแล้วกินเนื้อปลาต่อ พร้อมกับพูดต่อไปว่า “ข้ายังต้องเขียนจดหมายส่งไปที่อารามไป๋หม่าทุกวัน ไม่อาจให้ชิงจือคิดว่าข้าไม่รักเขาแล้ว”
ท่าทางของกุ่ยเม่ยหยุดชะงัด แล้วก็กินข้าวต่อไปอย่างเงอะๆงักๆ จากนั้นก็ไปจัดการเรื่องต่อ
ซ่งหลี่เอ๋อร์แอบมองดูกู้อ้าวเวยแล้วถามขึ้นเบาๆว่า “พวกเขาคือเพื่อนของเจ้าหรือ”
“ใช่อยู่มั้ง” กู้อ้าวเวยวางชามข้าวที่ว่างเปล่าและตะเกียบลง เช็ดปาก “ได้ยินพ่อของเจ้าพูดว่าเจ้าอยากจะเรียนเขียนหนังสือแล้วก็ยังอยากจะเปิดร้านเหล้าใช่ไหม”
ซ่งหลี่เอ๋อร์พยักหน้า กู้อ้าวเวยยิ้ม “ในเมื่อสองสามวันนี้ไม่มีคนมาเรียน ข้าสอนให้เจ้าแล้วกัน”
“ดีจังเลย ขอบคุณค่ะคุณหนู” ซ่งหลี่เอ๋อร์ยิ้มจนหน้าบาน
กู้อ้าวเวยพาซ่งหลี่เอ๋อร์มาจนถึงหน้องหนังสือ รอบๆไม่มีคน นางตั้งใจสอนเป็นอย่างมาก
แต่กุ่ยเม่ยที่พึ่งจะออกจากห้องโถงไปได้รับข่าวจากเฉิงซาน ไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาได้ซื้อซีเป่ามาไม่น้อย ที่ราคาสูงคือเช่ออี้จื่อ(ต้นหญ้า)ที่ซื้อมาจากตลาดมืด อีกสามวันมาถึง
กุ่ยเม่ยเดินไปตามระเบียงทางเดินอย่างสบายใจ ส่วนกระเบื้องบนหลังคาถูกน้ำฝนตกลงมาใส่ดัง “พีตาพีตา”
ไม่นานนักน้ำฝนก็ตกลงมาเปียกกระเบื้องจนหมด เสียงฝนดังจนกลบเสียงฝีเท้า
กู้อ้าวเวยนั่งลงข้างๆซ่งหลี่เอ๋อร์เสียงฝนตกดังอย่างไม่หยุด เสียงคุยกันขององครักษ์ดังเข้ามาเบาๆนางปิดหนังสือลงคิดอยากจะถามให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซ่งหลี่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆกำลังจับพู่กัน มองดูนอกหน้าต่าง เอนหัว “เมื่อครู่มีอะไรตกลงมาใช่ไหม”
กู้อ้าวเวยมองไปตามสายตาของนาง แต่ยังไม่ลุกขึ้น เห็นเพียงรอยเลือดสาดออกมา กู้อ้าวเวยทำได้เพียงปิดตาของซ่งหลี่เอ๋อร์ แล้วดึงนางเข้ามาไว้ใกล้ตัว พร้อมกับพูดขึ้นเบาๆว่า “หากเป้าหมายของพวกเจ้าคือข้า งั้นก็ปล่อยพวกเขาไป ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็ลงมือต่อไป ข้าคือหนึ่งคนสองชีวิต”
ถ้าคนพวกนี้เข้ามาเพื่อลอบฆ่า จะต้องลงมือเป็นแน่
แต่ถ้ามีเป้าหมายอื่น คนพวกนี้คงจะไม่กล้าลงมือ
ถึงจะเป็นกู้เฉิงก็รู้นิสัยของนางดี นางไม่ใช่คนที่จะทำเพื่อลูกแล้วเสียสละชีวิตของคนอื่น
ซ่งหลี่เอ๋อร์ตกในร้องขึ้น กู้อ้าวเวยกลับแน่นิ่ง แต่เสียงจากด้านนอกประตูดังเข้ามาหน้าต่างที่ถูกเลือดสาดเต็มไปหมดถูกลมพัดจนปลิวไปมา ส่วนประตูถูกแตะจนเปิดออก ตรงหน้าเห็นกองทัพดำเดินเข้ามา เห็นดอกอู้หลานที่อยู่บนผ้าสีดำชัดเจน
“นั่งลงอย่าขยับ” กู้อ้าวเวยให้ซ่งหลี่เอ๋อร์นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ส่วนตนเองเดินอ้อมโต๊ะตรงหน้ามา เอามือลูบท้องสายตาเย็น”พวกเจ้ามาถึงที่นี่ก็นับว่าเก่งมาก กุ่ยเม่ยพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ถ้าหากกุ่ยเม่ยไม่เป็นอะไร จะปล่อยให้พวกเขาเข้ามาถึงที่นี่ได้หรอ
ส่วนที่ตอบนางคือ มีเพียงดาบและมีดของกองทัพดำที่เต็มไปด้วยเลือด และน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “ซ่านจินจื๋อตายอยู่ที่ชายแดนแล้ว ส่วนกุ่ยเม่ยที่เจ้าพูดถึงได้รับบาดเจ็บหนักนอนกองอยู่ที่กำแพง”
“ในเมื่อรู้คำตอบแล้ว เจ้าก็ตามพวกเราไปเถอะ”