บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 703
บทที่ 703 ข้อผิดพลาดหนึ่งร้อยปี
“เลือดมังกรมีจุดหนึ่งที่ความเป็นยารุนแรงเหลือล้น ไม่อาจนำมาใช้ได้”
จางเหยียงซานพูดเกี่ยวกับต้นหญ้าเลือดมังกรบนม้วนตำราออกมาทีละส่วน
ฟังถึงประโยคนี้แล้ว กู้อ้าวเวยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าทำเหมือนไม่ได้ยิน เพียงรอให้จางเหยียงซานปริปากกล่าวต่อไป “ถ้าพูดถึงว่าถุงน้ำดีหงส์และเลือดมังกรเกิดมามีฤทธิ์หักล้างกัน เช่นนั้นสมุนไพรอื่นๆ ในสูตรยาลับตระกูลหยุนไม่แน่ว่าอาจไม่ได้นำมาใช้ไกล่เกลี่ยกัน”
“ท่านเดาได้ถูกต้อง สูตรยาลับตำรับนี้ของตระกูลหยุน สมุนไพรหลายสิบชนิดต่างมีฤทธิ์หักล้างกัน ทั้งฤทธิ์หักล้างของเลือดมังกรและถุงน้ำดีหงส์นั้นยังเกี่ยวข้องกับปริมาณของมันด้วยเช่นกัน ถ้าหากพูดอย่างละเอียด การทานชิ้นส่วนนั้นที่มีฤทธิ์ยาเข้มข้นที่สุดของเลือดมังกร จึงจะนำมาหักล้างกันกับถุงน้ำดีหงส์ได้อย่างพอดิบพอดีนั่นเอง” กู้อ้าวเวยนวดขาของตน หลังจากไม่ได้ยินคำตอบของจางเหยียงซานจึงกล่าวต่อไป “เป็นอะไรไป?”
“เหล้ายาก่อนหน้านี้ของท่าน ดูเหมือนจะไม่ได้มีส่วนนั้นด้วย” จางเหยียงซานมุ่นคิ้วขึ้นมา “ท่านคงไม่ได้ซ่อนมันเอาไว้กระมัง”
คนผู้นี้เฉียบแหลมกว่าอ้ายจือเสียอีก
การประเมินของกู้อ้าวเวยที่มีต่อลูกศิษย์อย่างจางเหยียงซานคนนี้นับว่าค่อนข้างสูงทีเดียว แต่นางได้คิดวิธีการรับมือเอาไว้แต่ต้นแล้ว ทำเพียงยันพวงแก้มแล้วมองที่เขา “เจ้าระวังข้ามากเกินไป หากจะว่าไปแล้ว ถ้าทานของสิ่งนี้เข้าไปจริงๆ จะต้องตายไวกว่าเหง้าถุงน้ำดีหงส์เป็นแน่”
“แล้วของสิ่งนั้นเล่า?” จางเหยียงซานวางม้วนตำราในมือลง กล่าวถามต่อไป
เวลานี้ แม้กระทั่งซ่านจินจื๋อที่อยู่ไม่ไกลนักยังเหลียวหลังเข้ามามอง
“ข้าทำเป็นยา เหลือเอาไว้ให้กู้เฉิงและซูพ่านเอ๋อใช้ตอนส่งวาระสุดท้าย น่าจะอยู่ในลิ้นชัก ภายในกล่องกระจกด้านในสุด เป็นกล่องเล็กๆ ที่ข้าให้จื่อเหมิงตีขึ้นก่อนหน้านี้ ด้านในบรรจุไว้สามเม็ด” กู้อ้าวเวยกล่าวเช่นนี้ วางมือลงพลางนวดขาต่อไป
แต่ว่านางเองก็ใช้เพียงแค่ส่วนน้อยนิดของชิ้นส่วนเล็กๆ เท่านั้น เพียงแค่นี้เอง นางก็สามารถใช้ยาสามเม็ดนี้มาทรมานกู้เฉิงและซูพ่านเอ๋อได้แล้ว
จางเหยียงซานค้นเจอกล่องกระจกใบเล็กๆ นี้ข้างในจริงๆ ด้วย สูดดมเล็กน้อย ได้กลิ่นบางส่วนจริงๆ ก็พลอยปรนลมหายใจหนึ่งเฮือก “ไม่ระวังท่านไม่ได้น่ะสิ ถ้าหากวันนี้ข้าไม่ถาม ท่านเองก็ไม่คิดจะพูดใช่หรือไม่?”
“เหตุใดจึงพูดแบบนี้กับอาจารย์กันเล่า” กู้อ้าวเวยแค่นเสียงเย็นหนึ่งที
ซ่านจินจื๋อที่อยู่ด้านข้างจึงปริปากเอ่ยขึ้นในยามนี้ “มีคนคิดวางแผนกับด่านลั่วสุย ซ่านต้วนเฟิงนำระเบิดไประเบิดช่องว่างปากน้ำด่านลั่วสุ่ย ทำให้กระแสน้ำไหลเวียนอีกครั้ง”
ตกใจเป็นอันดับแรก กู้อ้าวเวยคิดไม่ถึงเลยว่าซ่านจินจื๋อจะถึงกับไม่ได้ออกไป อีกด้าน ก็รู้สึกตกใจเมื่อเทียบกับซากปรักหักพังของวิหารแห่งฮ่องเต้อำมหิตในปีนั้น ถึงขนาดมีคนค้นพบปัญหาของด่านลั่วสุ่ยก่อนเลยเชียว
“แต่เป็นเพียงด่านลั่วสุ่ย…”
“ด่านลั่วสุ่ยสิจึงจะสำคัญ” กู้อ้าวเวยรีบเอ่ยปากตัดบทของซ่านจินจื๋อ ท่าทีดูเคร่งขรึมขึ้นมา “หาใช่การเชื่อมโยงสถานที่สมบัติและฮวงจุ้ยเหล่านี้เข้าด้วยกันไม่ แต่สถานที่สมบัติและฮวงจุ้ยเหล่านี้ต่างมีความคล้ายคลึงร่วม ทำให้พวกเขาสามารถทนรับพิธีบวงสรวงความเป็นอมตะเอาไว้ได้”
ซ่านจินจื๋อจำได้ว่าตนยังไม่ได้บอกเรื่องของพี่น้องตระกูลจูรวมถึงม้วนตำราหนังแกะให้ทราบเลย
ยามนี้ได้ยินกู้อ้าวเวยพูดเช่นนี้ เขาทำเพียงย้อนถาม “ความคล้ายคลึงร่วมอะไร?”
“อันตราย” กู้อ้าวเวยถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที “ก่อนหน้านี้ข้าไปเสาะค้นหนังสือจำนวนไม่น้อย รู้ว่าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ของฮ่องเต้อำมหิตนั้นเคยเป็นป่าลึกบนแผ่นดินใหญ่มาก่อน ปีนั้นใช้เวลาหลายปีในการบุกเบิก แม้จะสร้างตำหนักศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก็ทำได้เพียงอยู่รอบนอกป่าลึก และสองแห่งที่ตกขอบ แห่งหนึ่งก็คือภูเขาเทียนอันเป็นสถานที่ฝังสุสานบรรพบุรุษตระกูลหยุนของข้า อีกแห่งก็อยู่พื้นที่บริเวณทรายดูดในทะเลทราย”
“ตอนนั้นข้าคิดว่าท่านปู่ลาโลกไปแล้ว จึงไปที่ภูเขาเทียนหนึ่งเที่ยว ตอนนี้คิดๆ ดู ซากปรักหักพังที่ข้าเคยเห็นอยู่ที่นั่นอาจเป็นไปได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลหยุนหลงเหลือไว้ก็ได้” กู้อ้าวเวยม้วนเส้นผมของตน มืออีกข้างถูบนเตียง พลางกล่าวต่อไป “ตอนนี้คิดดูแล้ว บางทีที่นั่นก็อาจเคยเป็นตำหนักศักดิ์สิทธิ์มาก่อน แต่ถูกบรรพบุรุษตระกูลหยุนทำลาย และนำบรรพบุรุษไปฝังอยู่ที่นั่น พูดให้น่าฟังก็เพราะภูเขาเทียนเงียบสงบ ในความเป็นจริงอาจจะอยากให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราใส่ใจกับทิศทางเคลื่อนไหวของตำหนักศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ และคอยสังเกตว่ามีคนจงใจไม่อยู่ในลู่ในทางหรือไม่ก็ได้”
จางเหยียงซานรับฟังอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ส่วนซ่านจินจื๋อนั้นยังไม่เคยไปมาก่อน ตอนนี้ได้ยินกู้อ้าวเวยกล่าวเช่นนี้ จึงรู้สึกถึงความแปลกประหลาด “แต่สถานที่สมบัติฮวงจุ้ยเหล่านี้ล้วนอยู่ในสถานที่อันตรายเยี่ยงนี้ ทว่าฮ่องเต้อำมหิตไม่เคยไปภูเขาเทียนมาก่อน ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ของที่นั่น…”
“มันพิสูจน์ได้เพียงว่ามีคนอื่นที่พบความลับเหล่านี้ จึงเริ่มปฏิบัติการตามสถานที่ต่างๆ ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นทั้งหมดก็อาจจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าละแวกบริเวณทรายดูดนั้นต่อให้ก่อสร้างตำหนักศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ตอนนี้คงจะอันตรธานหายไปแล้วเป็นแน่” กู้อ้าวเวยพิงอยู่บนเตียง ชักมือกลับไปแล้ว ย้อนถามจางเหยียงซานว่า “เหยียงซาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าสมุนไพรเอกลักษณ์ของเอ่อตานมีชนิดไหนบ้าง? ที่พบมากที่สุดและถูกที่สุด”
จางเหยียงซานคิดไม่ถึงว่าจะถูกถามเช่นนี้ จึงขบคิดอย่างละเอียด “ข้าจำได้ว่ามีผลไม้รสหวานชนิดหนึ่งที่มีเพียงเอ่อตานเท่านั้นจึงจะสามารถปลูกให้งอกงามได้ ถ้าหากนำมันมาบดละเอียดสามารถนำมาทำสีย้อมได้ แต่ถ้าหากใช้เป็นเวลานาน ดูเหมือนจะดีต่อผิว…”
“ดังนั้นใครบอกว่าในสระของฮ่องเต้อำมหิตเอ่อตานปีนั้นจะต้องเป็นเลือดกัน?” กู้อ้าวเวยส่งเสียงหัวเราะหยันออกมาทันใด หัวเราะจนหายใจไม่ทัน “ในเมื่อพวกเขาตรวจสอบเยี่ยงนี้แล้ว กลับจำคำพูดที่บรรพบุรุษของข้าหลงเหลือเอาไว้ไม่ได้อยู่วันยังค่ำ มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่แผ่ขยายหลายชั่วอายุคนจึงจะถือเป็นความอมตะ”
ครั้งนี้ จางเหยียงซานนิ่งงันไปจริงๆ
แต่ซ่านจินจื๋อถามนางว่า “แล้วเหตุผลที่เจ้ามั่นใจขนาดนี้ว่าในสระนั่นไม่ใช้เลือดกันเล่า?”
“ไอพิษใต้ด่านลั่วสุ่ยนั้นเกี่ยวข้องกันกับหญ้าปู่เจิ้น ส่วนหญ้าปู่เจิ้นเติบโตในชางหลานเท่านั้น ทั้งยังพบบ่อยยิ่งนัก อีกประการ สาเหตุที่เกิดเป็นไอพิษขึ้นนั้นก็คือสิ่งเจือพิษที่หลงเหลืออยู่บนกำแพงหินนั้น” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางนวดวนหน้าท้องที่เริ่มปวด มุ่นคิ้วพลางปรับท่านั่งเล็กน้อย “ดังนั้นในตอนแรกบรรพบุรุษของท่านก็ไม่ได้ไปใช้ชีวิตที่เหลือกับคนรักที่นั่น กลัวแต่ว่าจะเอาเถาวัลย์นั้นมาทำให้เป็นตำหนักศักดิ์สิทธิ์ แล้วนำพาให้ผู้คนดับชีวิตจมสู่กลางพิษ สำหรับด่านลั่วสุ่ยแล้ว นี่เป็นถึงสถานที่ที่จะได้รับเลือดสดๆ ที่ดีที่สุดเชียว”
“ดังนั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน ตำหนักศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับต้นไม้ใบหญ้าในละแวกนั้น และตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั่นก็อยู่ใกล้เคียงป่าลึกพอดี” ซ่านจินจื๋อกระตุกมุมปาก ตรงกันข้ามรู้สึกว่าการคาดคะเนของกู้อ้าวเวยน่าสนใจยิ่งนัก “แล้วภูเขาเทียนนั่นเล่า?”
“ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่เชิงเขา ผู้ที่พยายามจะไปเอาบัวหิมะบนยอดภูเขาเทียนเหล่านั้นก็คือคนที่บำรุงตำหนักศักดิ์สิทธิ์” กู้อ้าวเวยพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งเฮือก ปลายตาที่ขุ่นมัวนั้นกลับทำให้ซ่านจินจื๋อสัมผัสถึงความโศกเศร้า “ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาก็ค้นหาในทิศทางที่ผิด รังแต่จะทำให้สถานที่เหล่านี้ยิ่งแปรเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น”
สิ่งเหล่านั้นคือของที่บรรพบุรุษนางหลงเหลือไว้ให้ และขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งของที่ผู้คนในยุคเดียวกันกับนางพกติดตัวมาด้วย
ในเมื่อนางมาเพราะโบราณคดี ตอนนี้ลองขบคิดอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว ความเห็นต่อแดนสุขาวดีเหล่านี้มีแต่จะคิดว่าภายใต้ที่แห่งนี้ยังต้องซุกซ่อนสิ่งของลึกลับที่ไม่ให้ผู้คนล่วงรู้อยู่ก็เท่านั้น ในตอนแรกที่นางเขียนฮวงจุ้ยเหล่านี้ลงไปไม่ใช่เพราะความเป็นอมตะอะไรทั้งนั้น บางทีเพียงแต่หวังว่าจะให้ลูกหลานรุ่นหลังในที่แห่งนี้สามารถทำความเข้าใจได้ก็เท่านั้น
ดังนั้นในสมองของนักโบราณคดีคิดอย่างไรกันแน่
ครั้นนึกถึงจุดนี้ กู้อ้าวเวยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
บางทีอาจเพราะนางเปลี่ยนแปลงคนเหล่านี้ ดังนั้นปัจจุบันจึงถึงคราวที่จะส่งผู้ที่เข้าใจโลกอย่างนางมาทำงานหนักแล้วกระมัง
“เช่นนั้นบรรพบุรุษของท่านหลงเหลือสถานที่เหล่านี้เอาไว้ เพื่ออะไรกัน?” จางเหยียงซานอดถามไม่ได้
“เพราะหวังว่าพวกเจ้าคนโง่เขลาจะไม่ยึดติดกับสถานที่พำนักในปัจจุบัน แล้วไปสำรวจสถานที่ที่เป็นอันตรายเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะค้นพบมุมแห่งขอบฟ้าขึ้นมาจริงๆ ก็ได้นะ” กู้อ้าวเวยกอดเรียวแขน ปริปากค่อนข้างไม่พอใจนัก
จวนจบวินาทีนี้ ในที่สุดซ่านจินจื๋อก็รู้สึกว่านางไม่ใช่คนที่นี่เลย
นางและคนรอบข้างทุกคนแตกต่างกันมากเกินไป ดังนั้นจึงมองเห็นสิ่งที่ต่างจากคนอื่นในประเด็นสำคัญๆ เสมอ