บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 71
บทที่ 71 มะรุมมะตุ้ม
“แม่ทัพเซียว…ข้ายังไม่อยากตาย! ขอร้องพวกท่านช่วยชีวิตข้าด้วย”
คนที่อยู่ใต้ผ้าสีดำกรีดร้องขึ้นมา คนอื่นๆ ก็ล้วนเผชิญหน้ากับความตายมลายสิ้น ไร้ซึ่งความหวังโดยสิ้นเชิง
เซียวไห่ขมวดคิ้วกวาดสายตามองกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้า ดาบในมือถูกชูขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว แต่กู้อ้าวเวยรีบถลาขึ้นไปขวางเขาไว้เสียก่อน “ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเราต้องรู้ให้ได้ว่าในค่ายธารทหารแห่งนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
ได้ฟังคำของกู้อ้าวเวย เซียวไห่เองก็ปรับสภาพอารมณ์ของตนให้กลับสู่ภาวะปกติ
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ หากให้ข้าเป็นคนพูด ก็มีเพียงแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็รบกวนแม่ทัพเซียวไปสอบถามท่านอ๋องด้วยเถิด” ทุ้งโจวปริปากเอ่ย เผยรอยยิ้มขมขื่นอย่างหนึ่งออกมา
สดับฟังคำบอกกล่าวของทุ้งโจว พวกเขาเพิ่งจะค่อยๆ รับรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของค่ายธารทหารแห่งนี้
ทุ้งโจวควรจะติดตามเซียวไห่ไปพำนักที่เมืองเทียนเหยียน เพียงแต่หลังจากการปรามปรามผู้ร้ายช่วงหนึ่งปีก่อน เขาถูกย้ายมาอยู่ค่ายธารทหารโล่เสียแห่งนี้เป็นการชั่วคราว ในช่วงเวลาหกเดือนที่ผ่านมาก็ได้มีบุตรของเจ้าหน้าที่ทางการชนชั้นสูงมาเข้ารับตำแหน่งผู้นำของที่นี่จำนวนไม่น้อย และในค่ายธารทหารก็มีคนหายสาบสูญไปอย่างลึกลับ แพทย์ทหารก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานี้เช่นกัน
สามเดือนก่อน เขามุ่งมั่นจะตรวจสอบความลับในค่ายธารทหาร แต่กลับถูกโยกย้ายไปฝึกฝนยังกองทหารรักษาการณ์อีกหนึ่งกองบนภูเขา รอกระทั่งเขาหลังจากหนึ่งเดือนก่อนที่เขานำทหารใหม่เข้ากอง จึงค้นพบว่าแพทย์ทหารในค่ายธารทหารมีจำนวนเพิ่มเป็นสี่สิบคนแล้ว และเขาแอบสืบหาถึงภายในป้อมปราการน้ำแห่งนี้มีการดำเนินธุรกิจซื้อขายยาพิษที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์ชนิดต่างๆ จนโกรธจัดตัดสินใจจะจัดการทุกอย่างให้สิ้นซาก กลับถูกตีจนสลบมาโผล่ที่คุกใต้ดิน
และเขาก็หนีออกมาอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ทำลวงว่าถูกคนฆ่าตาย แต่ความเป็นจริงแล้วยังคงสืบเรื่องภายในค่ายธารทหาร น่าเสียดายที่เขาเพิ่งจะสืบถึงช่องทางลับอันนี้ ก็ถูกจับกุมเข้ามา แต่ก่อนจะเข้ามา ยังได้รายงานเรื่องช่องทางลับนี้ให้แก่อ๋องจิ้งเสียก่อน
“มิน่าท่านอ๋องถึงได้กำชับให้ข้ามาตรวจสอบที่นี่ด้วยตัวเอง” เซียวไห่อดกล่าวพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “เช่นนั้นเจ้าสืบหาอะไรไปบ้างแล้ว”
“ข้าไม่ได้ตรวจสอบลึกนัก แต่ริมฝั่งแม่น้ำของค่ายธารทหารแห่งนี้เป็นอำเภอโล่เสีย มีเรือสินค้าเดินสมุทรหลายลำแล่นผ่านหรือไม่ก็จอดพักในอำเภอ พวกเขาส่งยาพิษออกฤทธิ์เรื้อรังออกขายผ่านเรือสินค้า อีกอย่าง บริเวณดังกล่าวยังมีคนของโหวเซ่อแอบเข้าร่วมด้วย หนึ่งปีก่อนหน้าฐานทัพภูเขาที่ถูกทำลาย ผู้ที่ดูแลหลักก็คือคนของโหวเซ่อ พวกเขาปลูกวัชพืชและเพาะเลี้ยงแมลงมีพิษชนิดต่างๆ กระจายทั่วพื้นที่ เวลานั้นก็เป็นเพราะถูกราชสำนักค้นพบเข้า ค่ายธารทหารจึงจัดกำลังคนไปเพื่อเฝ้าระวัง แต่กลับส่งข้าเพียงลำพังมาเฝ้าค่ายธารทหาร พวกเขาจึงระส่ำระสาย” ตอนที่ทุ้งโจวเอ่ยถึงตรงนี้ เส้นเอ็นสีน้ำเงินตรงมุมหน้าผากล้วนปะทุออกมา
“มิน่าพวกเขาต้องการคนไปทดลองยา” กู้อ้าวเวยเค้นกล่าวหนึ่งประโยคเช่นนี้ลอดไรฟันออกมา “โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นยาพิษออกฤทธิ์เรื้อรัง โหวเซ่อนี่ รู้จรรยาบรรณของแพทย์หรือไม่!”
“นอกจากนี้พวกเราคนที่ถูกใช้ในการทดลองยา ล้วนค้นพบคนที่ต่อต้านเจ้าแมวขโมยตัวนี้ แล้วก็คนบางส่วนที่ถูกกดขี่เคยต่อต้านเองก็ถูกพวกเขาจ้องอย่างเอาตาย ให้ข้าวน้ำเพียงเล็กน้อยป้องกันพวกเขาหลบหนี” ทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ก็พูดอย่างร้อนรน ดูท่าทางเขาต้องพิษไม่มากนัก แต่สติสัมปชัญญะกลับครบถ้วนที่สุด
กู้อ้าวเวยสบตากับเซียวไห่แวบหนึ่ง มิน่าตอนที่นางมาถึงค่ายธารทหาร ล้วนมองเห็นว่ามีคนจำนวนมากดูเหมือนว่ากินไม่ค่อยอิ่มนัก
“แค่เพื่อเงิน?” กู้อ้าวเวยมองทางเซียวไห่
“เกรงว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น การแทรกซึมของโหวเซ่ออาจจะใหญ่หรือเล็กก็ได้ นอกจากนี้ พิษชนิดนี้ปัจจุบันได้มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก คนที่ถูกทำร้ายจะต้องมีไม่น้อยเป็นแน่ อีกอย่าง ผลกำไรของยาพิษชนิดนี้จะมีเท่าใดกันเชียว ลูกหลานคนมีเงินเหล่านั้นไม่เพียงแต่ขายพิษเหล่านี้เพื่อใช้ทำร้ายร่างกาย จะต้องยังมีอะไรอีกเป็นแน่” เซียวไห่ส่ายหน้า
กู้อ้าวเวยขบคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายทำเพียงมองคนที่นั่งอยู่ในมุมอับอย่างสงสารแวบหนึ่ง เดินเข้าไปเก็บถุงผลไม้แช่อิ่มที่นางทำตกไว้ขึ้นมา พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “พวกเรายังจะกลับมาอีก เร็วๆ นี้”
“เช่นนั้น…เช่นนั้นพิษในกายของพวกเรา…” ผู้ชายผอมแห้งหลายๆ คนยื่นมาอันสั่นเทาออกมา
กู้อ้าวเวยกุมมือที่สั่นเทาไม่หยุดซ้ำยังออกสีดำเล็กน้อยเอาไว้ ยิ้มเรียบบางๆ “แน่นอนว่ามันย่อมมีทางออก ดังนั้นอย่าได้ตายอยู่ที่นี่เป็นอันขาด”
ผู้ชายหลายๆ คนต่างพยักหน้าอย่างจริงจัง
เซียวไห่และกู้อ้าวเวยจำใจต้องจากที่แห่งนี้ไปอย่างเสียไม่ได้ แสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
กลับไปถึงยังห้อง ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ฟ้าก็เริ่มสางแล้ว
ซ่านจินจื๋อเองก็นำกำลังไม่กี่นายกลับมาจากสุสาน เขากลับมาที่ห้องเพียงลำพัง เห็นดวงตาคู่ใสของกู้อ้าวเวยกำลังมองทางเขาอยู่ ชุดราตรีก็ผลัดเปลี่ยนเป็นอาภรณ์คลุมตัวยาวสีเหลืองห่าน ทำเพียงมองทางเขา และเล่าเรื่องในช่องทางลับออกมารอบหนึ่ง
ซ่านจินจื๋อนั่งลงพลางเติมชาให้ตนเองหนึ่งแก้ว “พวกเจ้าช่วยเหลือผู้คนออกมาแล้ว?”
“ยังหรอก เรื่องราวยังไม่ชัดเจนเลยจริงๆ” กู้อ้าวเวยส่ายหน้า ถามเขา “ท่านมิใช่พูดว่าท่านจะหาคนไปสังหารทุ้งโจวหรอกหรือ เหตุใดเขายังมีชีวิตอยู่”
“ในสายตาเจ้า ตัวข้าเป็นคนที่เด็ดขาดบาดตายขนาดนั้นเลยหรือ” ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้วและมองที่นางแบบเดียวกัน กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าเพียงแต่หาคนไปแทนที่ศพของเขาก็เท่านั้นเอง ภายหลังรอเขากลับมารายงานข่าวคราว แต่กลับไร้ซึ่งข่าวสารใดๆ เรื่อยมา เหลือทิ้งไว้เพียงแผนที่ลาดตระเวนของสายลับเท่านั้น”
กู้อ้าวเวยเงียบขรึม นางคิดว่าซ่านจินจื๋อเป็นคนที่เด็ดขาดบาดตายจริงๆ
ราวกับล่วงรู้ว่าในใจของกู้อ้าวเวยกำลังคิดอะไรอยู่ ซ่านจินจื๋อทำเพียงปั้นหน้าขรึม “เพียงแต่ตอนนี้ดูท่าทาง เรื่องนี้จะยิ่งพิลึกเข้าไปใหญ่แล้ว”
“อะไรนะ?” กู้อ้าวเวยมองทางเขาอย่างรวดเร็ว
“ศพในสุสานทั้งหมดเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว อีกอย่าง กระดูกของผู้ดูแลหลักทั้งสามของฐานทัพภูเขานั้นยิ่งอันตรธานหายไปเลย โลงศพถูกเปิดจากด้านในออกมา ด้านในเหลือทิ้งไว้เพียงรูปแกะสลักของเทพภูเขา ช่างน่าพิศวงนัก ก็ไม่แปลกใจเลยที่แม่ทัพเฉิงคนนั้นมักจะดึงดูดพวกเราไปที่เทพภูเขาเสมอ ของสิ่งนี้มีความชั่วร้ายบางอย่างอยู่จริงๆ” ซ่านจินจื๋อล้วงกระดาษสีเหลือที่ถูกเผามาก่อนแผ่นหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ “ในโลงศพนั้นมีแต่ของสิ่งนี้”
“สองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือ คนของค่ายธารทหารถ้าหากนึกแค่อยากปกปิดเรื่องของการทดลองพิษ เช่นนั้นก็ควรจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับไม้เทพอันนั้นจึงจะถูก” กู้อ้าวเวยยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่ กระดาษสีเหลืองนี้ดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างไปจากของที่มาขายเกลื่อนอยู่ข้างนอกเลยสักนิดเดียว
ซ่านจินจื๋อส่ายหน้าเช่นเดียวกัน “เรื่องนี้กลับแปลกประหลาด”
พยักหน้าแบบเดียวกัน กู้อ้าวเวยขบคิดเรื่องราวนี้ไปพลาง บานประตูถูกเคาะดังขึ้น นายพลเฉิงที่มีใบหน้าคมคายบัดนี้เดินตรงดิ่งเข้ามา มองทางซ่าจินจื๋ออย่างจนปัญญาแวบหนึ่ง “ท่านอ๋อง ใต้เท้าเฉิงเสี้ยงส่งคนเข้ามา บอกว่าจะมาถามไถ่เรื่องให้คุณหนูจี้เหยาเข้าจวน”
ลืมธุระข้อนี้ไปสิ้นแล้ว
กู้อ้าวเวยยืนเหยียดตัวตรงเดินออกไปทางด้านนอก โดยไม่แม้แต่จะปรายตามองซ่านจินจื๋อเลย
รู้ว่านี่คือละครจัดฉาก ซ่านจินจื๋อเองก็รีบร้อนตามออกไป ก่อนกำชับนายพลเฉิงผู้นั้น “อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องการรับอนุต่อหน้าของชายาอ๋องเป็นอันขาด บอกเฉิงเสี้ยงไปเสีย รอตัวข้ากลับไปเสียก่อนจะไปสู่ขอ”
รอจนกระทั่งสองคนเดินไปไกล สายตาของนายพลเฉิงจึงได้เย็นเยียบลง บ่นพึมพำคนเดียว “พระชายาอ๋องจิ้งผู้นี้ ช่างแปรปรวนยิ่งนัก…”
ไกลออกไปมีทหารราบนายหนึ่งถลาเข้ามา “นายพลเฉิง เกิดเรื่องใหญ่ไม่ดีขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าท่านรองนายพลเป็นอะไรไป เมื่อครู่ท้องเสียอาเจียน เจ็บปวดตามร่างกาย ท่านหมอหลายคนก็บอกว่าไร้หนทาง บอกว่าเขาต้องพิษคลุ้มคลั่ง ไม่มียารักษา ตอนนี้กำลังอึกทึกคึกโครมอยู่แหนะ”
“หวางฮุยนี่ ช่างเป็นหมูโง่จริงๆ ท่านอ๋องยังไม่ไปไหนนะ” นายพลเฉิงเปี่ยมด้วยความโกรธ รีบตามพลทหารน้อยออกไป โดยที่ไม่ทันได้สังเกต ในความมืดมิดบริเวณไม่ไกลนัก มีเงาคนๆ หนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างแช่มช้า