บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 742
บทที่742 ร้องเพลงบนเวทีเดียวกัน
แต่สิ่งที่เรียกว่าเป็นการเจรจาเงื่อนไขกับซ่านจินจื๋อนั้น ส่วนใหญ่นางจะใช้เวลาไปกับเจรจาเงื่อนไขกับขุนพลแต่ละท่านเสียมากกว่า
เพียงหวังว่าถึงเวลานั้นจะได้โยกย้ายตำแหน่งรวมถึงค่ายทหารให้พวกเขาด้วย แต่ขุนพลอาวุโสสองสามคนก็กลับเอะอะโวยวายขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ บางคนก็พูดว่าอยู่ไปนานๆเดี๋ยวก็คุ้นเคยไปเอง ถ้าไปอยู่ที่อื่นก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แล้วก็ยังมีบางคนบอกว่าภรรยาและบุตรสาวอ่อนแอและป่วยง่าย ถ้าเดินทางไกลเกรงว่าจะต้องสละชีวิตน้อยๆนี้ไปแล้วอย่างแน่นอน
พูดกันว่าจะต้องส่งมอบกำลังทหารสี่ส่วน แต่กำลังทหารสี่สี่ส่วนนี้จะต้องถูกชักชวนให้ยอมจำนนด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริงๆ
ในตอนนี้ซ่านจินจื๋อกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก เขายกถ้วยชาที่อยู่ในมือขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง และไม่ไปให้ความสนใจผู้คนในกระโจมที่กำลังเสียงเอะอะโวยวายจนโกลาหลอลหม่านไปหมดเลยสักนิด
“นี่ไม่ใช่การลดตำแหน่งและถูกย้ายให้ไปอยู่ในพื้นที่ทุรกันดารหรอกนะ แต่เป็นเพราะข้าหวังว่าพวกท่านก็สามารถถวายงานรับใช้องค์ชายคนอื่นๆได้เช่นกัน ต่อจากนี้ไปพวกท่านคือทหารของชางหลาน” กู้อ้าวเวยวางมือทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะ แล้วเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ความอดทนที่หาได้ยากกำลังจะมลายหายไปหมดแล้ว
“พวกเราจะรับใช้อ๋องจิ้งเท่านั้น” มีบางคนตบโต๊ะและตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ
ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้วขึ้น เห็นเพียงกู้อ้าวเวยชักมือทั้งสองข้างกลับมากอดที่หน้าอก และนำมือข้างหนึ่งมาค้ำที่มุมหน้าผากด้วยอาการปวดหัว แล้วพูดอีกครั้งว่า “ยิ่งพวกท่านพูดแบบนั้น จะยิ่งตายเร็วขึ้นนะ เมื่อถึงเวลาที่องค์ชายคนใดคนหนึ่งได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ถ้าขืนพวกท่านยังจงรักภักดีต่ออ๋องจิ้งอยู่ ฮ่องเต้ในอนาคตก็จะเห็นขุนนางอาวุโสอย่างพวกท่านเป็นหนามยอกอก รอจนกระทั่งหลายสิบปีต่อมา เกรงว่าการประจบประแจงดั่งเช่นหมวกสูงๆของพวกท่านจะต้องถูกหักลงมาและถูกโยนเข้าไปในคุกทีละคนๆ”
“พูดจาเหลวไหล! พวกเราล้วนมีคุณงามความดี แม้แต่ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็สามารถ…”
“แน่นอนว่าเขาสามารถนำตัวท่านไปประหารที่ตลาดได้ เพียงแค่เขาพูดออกมาว่าคนในตระกูลของท่านทำเรื่องรับสินบาทคาดสินบนอะไร หรือจงจักภักดีกับเจ้านายของตัวเองมากเกินไปจนไม่เคารพฮ่องเต้ ถ้าเขาอยากจะฆ่าพวกท่านเขายังคิดหาเหตุผลอะไรไม่ได้อีกหรือ?” กู้อ้าวเวยพูดขัดจังหวะการพูดของเขา จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่การปรึกษาหารือกันเท่านั้น ยังไม่สรุปเป็นที่แน่นอนเลยว่าแท้จริงแล้วใครจะได้เป็นฮ่องเต้ในอนาคต ตอนนี้ก็ยอมๆไปก่อนก็แล้วกัน แต่ก่อนอื่นพวกเรามาพูดเรื่องความสัมพันธ์ทางด้านการเกี่ยวดองกันเพื่อเส้นสายของคนในครอบครัวพวกท่านแต่ละคนสักหน่อยซิ….”
พอพูดถึงตรงนี้ ขุนพลหลายคนต่างก็ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาอะไร เหมือนกับโดนทิ่มแทงเข้าไปตรงจุดอ่อนอย่างไรอย่างนั้น
ในเวลานั้นเองซ่านจินจื๋อก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ในที่สุดก็ได้วางถ้วยชาที่ว่างเปล่าในมือลง แล้วจ้องมองกู้อ้าวเวยที่ยังกำลังพลิกอ่านหนังสือราชการที่อยู่ในมืออยู่ แล้วพูดเพียงว่า “วันนี้ก็เลิกกันแต่เพียงเท่านี้”
“วันนี้มีข้าอยู่ ก็ไม่มีใครคุ้มครองพวกเขาได้ แม้แต่องค์ชายสามก็ไม่สนใจอนาคตข้างหน้า ส่วนหลักฐานการกระทำผิดเหล่านี้ข้าก็จะ…ส่งไปให้พี่ชายของเจ้าด้วย” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วพูดข่มขู่คุกคามเล็กน้อยว่า “ฮ่องเต้ทรงรู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับการทุจริตและการติดสินบนของพวกเขา แต่เจ้ากลับรู้จักเพียงแค่สอนพวกเขาให้ต่อสู้เท่านั้น ในสายแดนมีทั้งหมดสามสิบเมือง ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าส่งไปได้มากที่สุดยี่สิบคน ส่วนคนที่เหลือถ้าหากช่วงนี้หาที่ที่จะไปเจอแล้ว วันข้างหน้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนคอยกลั่นแกล้งทำให้ต้องลำบากหรือเปล่า”
“ทำไมส่งไปได้แค่ยี่สิบกว่าคนเองล่ะ!”
“ข้าถึงจะแก่แต่ก็ยังมีฝีมืออยู่นะ!”
เมื่อได้ยินขุนพลสองสามคนส่งเสียงเพรียกร้องขึ้นมา กู้อ้าวเวยได้แต่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเป็นสองเท่า และรอให้สายตาที่เย็นชาของซ่านจินจื๋อทำให้พวกเขาค่อยๆสงบเงียบลง แล้วกู้อ้าวเวยจึงพูดต่อไปว่า “เหมือนบัณฑิตกับทหารคุยเหตุผลกันไม่เข้าใจจริงๆ ถึงจะพูดไปพูดมาอย่างไรก็มีแค่ประโยคเดียวคือ ถ้าไม่อยากรอให้ถูกค้นบ้านและยึดบ้าน ก็ทำตามที่ข้าบอกซะ!”
“นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้นี่…”
“ท่านยังเป็นคนหัวโบราณคร่ำครึอยู่อีกรึ” กู้อ้าวเวยตบไปบนโต๊ะหนึ่งครั้งจนเสียงดังโครม ทันใดนั้นเสียงอันอ่อนโยนของหญิงสาวก็สูงขึ้นมาอีกสองสามระดับในทันที แม้แต่หงเซียวที่ฟังอยู่ข้างๆก็แทบตกใจกลัวจนมันเทศย่างที่ในมือร่วงหล่นลงพื้น ซึ่งเขาก็ได้แต่มองดูตาปริบๆเท่านั้น
ขุนพลอาวุโสมีสีหน้าทั้งเขียวและซีด แต่กู้อ้าวเวยกลับเพียงแค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาหนึ่งครั้งและพูดว่า “ตอนนี้บรรดาองค์ชายทั้งหลายต่างก็หาทางผูกสัมพันธ์เพื่ออำนาจทางการทหารและเส้นสาย แต่ฝ่าบาทกลับมีเจตนาแต่งตั้งองค์ชายสามขึ้นเป็นองค์รัชทายาท แน่นอนว่ามันเป็นทางที่ปูไว้เพื่อองค์ชายสามอยู่แล้ว แต่คนที่เป็นหนังหน้าไฟก็คือซ่านจินจื๋อ…อ๋องจิ้ง และกองกำลังทหารที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของเขา นอกจากพวกเจ้าแล้ว ยังมีทหารในแคว้นชางหลานเจ็ดส่วนที่เชื่อฟังคำสั่งของเขาอยู่ ตราบใดที่พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่หนึ่งวัน ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็จะไร้ซึ่งหนทางขึ้นครองราชบัลลังก์ และในช่วงเวลาสิบปีนี้ พวกเขาจะต้องกดขี่ข่มเหงพวกเจ้าเป็นแน่ และแทนที่จะถูกกดขี่ให้กลับบ้านไปทำไร่ไถนา ไม่สู้ทรยศไปเข้าค่ายฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่ารึ…”
“พวกเราจะไม่ทรยศอ๋องจิ้ง!”
“แต่ที่นางพูดก็ไม่มีเหตุผลอยู่นะ พวกเราอยากจงรักภักดีกับอ๋องจิ้ง ก็อย่าเอาแต่พูดเช่นนี้…”
ในที่สุดก็มีคนสองสามคนมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาแล้ว โทสะของกู้อ้าวเวยจึงค่อยๆเหือดหายไป และจึงได้พูดต่อไป
ทหารเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองจากซ่านจินจื๋อมานานเกินไปแล้ว เมื่อสิบปีก่อนยังเป็นชายหนุ่มที่มีเจตนาที่จะสร้างความดีความชอบในสนามรบให้ได้คนหนึ่ง แต่ในสิบปีมานี้ ไม่ว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเขาจะทำเรื่องอะไร ซ่านจินจื๋อก็จะรับไว้ทั้งหมด
เมื่อก่อนเขาไม่เคยดูและไม่เคยรับรู้อะไรเลย ตอนนี้เพียงแค่ได้ดูสมุดที่ทหารในค่ายได้จดบันทึกลงไปอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว กลับเกิดความรู้สึกสะเทือนใจลึกๆ
ในปีนั้นแต่ไหนแต่ไรมาหลายคนต่างก็พูดกันว่าอ๋องจิ้งโหดเหี้ยมและป่าเถื่อน เพียงเพราะโทษฐานที่เขาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฝ่าฝืนข้อตกลงในสนามรบมากมาย
แล้วก็เป็นเพราะชื่อเสียงและอำนาจที่เรืองรองของเขา เรื่องไม่ดีที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทำทั้งหมดจึงไม่มีการเปิดเผยออกมา และซ่านจินจื๋อก็ไม่เคยเล่าให้คนอื่นฟังเลย นานวันเข้า ชื่อเสียงที่ไม่เป็นมงคลในสนามรบเหล่านี้ก็ตกมาอยู่ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว เช่นเดียวกับคุณงามความดีและสิ่งที่ได้รับจากการรบของเขาด้วย
พอพูดถึงตรงนี้ ในที่สุดซ่านจินจื๋อก็ลุกขึ้นมา ในระหว่างที่กำลังมองกู้อ้าวเวยที่ยังคงคุ้นคิดอะไรอยู่เขาก็เดินไปอยู่ข้างๆนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้ารู้และเข้าใจความจงรักภักดีของพวกเจ้าดี ต่อจากนี้ข้าคงปกป้องพวกเจ้าไม่ได้แล้ว ตอนนี้ฉันเองก็กำลังมองหาที่ดีๆสักที่สำหรับพวกเจ้าอยู่เหมือนกัน”
ขุนพลสองสามคนยังไม่ทันรู้สึกตื้นตันใจสักเท่าไหร่
กู้อ้าวเวยก็เลยตบมือของซ่านจินจื๋อที่ยังอยากจะวางลงไปที่ข้างเอวของตัวเองออกไปหนึ่งที แล้วพูดโดยไม่เงยหน้าเลยว่า “มองหาที่ดีๆสักที่หมายความว่าอะไร เจ้ามีที่ให้ไปงั้นหรือ ตอนนี้ค่าเพียงแต่อยากจะดูสักหน่อยว่ายังมีตำแหน่งใดว่างหรือไม่ เจ้าเรียกคนมาถามดูซิว่าพวกเขาอยากจะไปทำอะไรบ้าง อยากจะลาออกหรือรักษาชายแดนต่อไป จะไปเป็นครูฝึกทหารหรือไปทำงานในเมืองเทียนเหยียน”
น้อยมากซ่านจินจื๋อจะถูกหักหน้าต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ ตาเขากลับไม่รู้สึกอึดอัดใจเลยสักนิด “เจ้ายังจำตำแหน่งในเมืองเทียนเหยียนได้หมดหรือ”
“จำได้ไม่มากหรอก แต่ตอนนี้ คนที่อยู่ในราชสำนัก เกรงว่าจะถูกเมิ่งซู่…กวาดล้างไปหมดแล้ว หรือตัวเจ้าเองจะใช้คนของตัวเองเพื่อความสบายใจ นอกเสียจาก ขอเพียงแค่พวกเขาจะยอมอ่อนข้อเท่านั้น ข้าก็จะลองไปพูดกับองค์ชายสามให้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว” ในขณะที่กู้อ้าวเวยกำลังพูดเช่นนี้อยู่ ก็เงยหน้าขึ้นมองซ่านจินจื๋อ “ทรัพย์สินภายในบ้านที่ข้าช่วยเจ้าซื้อก่อนหน้านี้ยังไม่ได้คืนเลย ภายในสองปีนี้เจ้าจะต้องให้ข้ากลับเข้าไปในราชสำนักอย่างเชื่อฟัง เราไม่อาจให้องค์ชายสามขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ได้เร็วขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นพอถึงเวลาที่เขาได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ เขาจะหักปีกของเจ้า หลังจากนั้นเขาก็ยึดอำนาจการทหารแล้วก็ทรัพย์สินของเจ้า”
“ข้าเองก็รู้เรื่องนี้ดี ถ้าเจ้าไปพบองค์ชายสาม ก็แนะนำคนหนุ่มๆสักสองสามคนของที่นี่ให้เขาด้วย”
“ข้าจดเอาไว้แล้ว” กู้อ้าวเวยเขียนเรื่องนี้ลงไปในสมุดเล่มเล็กๆของตัวเอง แล้วหันไปมองเหล่าทหารที่อยู่ตรงข้ามอีกครั้งและพูดว่า “ใต้เท้าทุกท่าน พวกเราควรหารือเกี่ยวกับเรื่องการรับสินบนและปฏิบัติผิดกฎหมายกันสักหน่อย ถ้าหากพวกท่าน สารภาพมาเสียตอนนี้และตัดสินใจที่จะไม่เกี่ยวข้องกับซ่านจิน…อ๋องจิ้ง…”
“เจ้าเรียกชื่อข้าไปเลยก็ได้” ซ่านจินจื๋อกระซิบเบาๆ
“ไม่เกี่ยวข้องกับเขาก็พอ” กู้อ้าวเวย ยกมือขึ้นไปตกหน้าอกของซ่านจินจื๋อไปมา สุดท้ายก็ทุบหนังสือที่ทั้งหนาและหนักลงไปบนโต๊ะท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของขุนพลทุกท่าน แล้วพูดว่า “ในหลายปีมานี้ที่พวกท่านรับสินบนและปฏิบัติผิดกฎหมายก็ล้วนทำอยู่ที่นี่ ถ้าหากยินยอมจ่ายภาษีใหม่ก็จะไม่ถูกสังหาร คนที่เหลือที่ไม่ยอมก็จะถูกสังหารนะ”
เหล่าขุนพลตกตะลึงเล็กน้อย แต่ซ่านจินจื๋อกลับเพียงแค่ยกมุมปากขึ้น แล้วยกมือขึ้นไปวางบนไหล่ของกู้อ้าวเวยและพูดว่า “ในค่ายทหารของข้า ควรจะต้องจัดระเบียบใหม่สักทีแล้วจริงๆ”
หงเซียวมองเห็นทุกอย่าง แต่มีเพียงประโยคเดียวที่ค้างอยู่ในใจ
สองสามีภรรยาคู่นี้ คนหนึ่งร้องเพลงอีกคนหนึ่งก็คอยเสียงร้องตามเสียจนน่ากลัวเกินไปหน่อยจริงๆ