บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 744
บทที่ 744 ช่องโหว่ของเรื่องเก่า
ภายในเมืองเทียนเหยียนสงบสุขมาโดยตลอด แม้แต่ทหารส่วนใหญ่ก็เป็นทหารที่ฮ่องเต้ซ่านต้วนโฉงคัดเลือกมากับมือ
บุญคุณและความแค้นระหว่างซ่านจินจื๋อกับซ่านเซิ่งหานเริ่มต้นขึ้นเพียงเพราะกู้อ้าวเวย แต่ถึงแม้ว่าในตอนนี้ความแค้นของพวกเขาสองคนจะไม่มี ขุนนางชั้นผู้ใหญ่และนางสนมคอยยุแหย่ให้แตกแยกจากกันอยู่ข้างๆ แต่ภายใต้สถานการณ์นี้ ก็มักจะมีมือใหญ่ๆคู่หนึ่งเข้ามาวุ่นวายตลอดเวลา กู้อ้าวเวยแสดงละครกลับไปกลับมาหลายครั้ง ท้ายที่สุดก็ได้รับความไว้วางใจจากทั้งสองคน
ตอนนี้กำลังสงบสติอารมณ์ลงมาและครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบ ยังหาไม่คนที่วางยาพิษฮ่องเต้ ไม่พบ และคนที่ทำร้ายพระสนมเสียนเฟยก็ยังหาไม่พบเช่นเดียวกัน
แต่การทำร้ายพระสนมเสียนเฟยก็เท่ากับเป็นการทำร้ายซ่านเชียนหยวน ก่อนหน้านี้ซ่านเชียนหยวนจึงตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยความโมโหเดือดดาล ถ้าไม่ใช่เพราะฉีหรัวขัดขวางและช่วยเรียกสติเขา เกรงว่าจะต้องหลงกลไปแล้วเป็นแน่
ซ่านจินจื๋อได้แต่ยอมรับอย่างแน่ชัดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าองค์ชายสามไม่ได้วางยาเสด็จพี่?”
“เมื่อก่อนข้าก็คิดเช่นนี้ แต่เจ้าอย่าลืมนะว่า แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ยาพิษในการปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ไม่ช้าก็เร็วตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้ก็ต้องเป็นของเขา เว้นเสียแต่ว่าองค์ชายสิบสี่ที่ได้รับความโปรดปรานมากจะเติบโตขึ้นมาอีกสิบปี แล้วค่อยมาต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์กับเขา แต่ตอนที่เข้าไปในวังครั้งที่แล้ว เห็นได้ชัดว่าพระสนมฮุยเฟยยืนอยู่ข้างซ่านเซิ่งหาน” กู้อ้าวเวยก็วิเคราะห์ด้วยเสียงเบาเช่นกัน
“แต่ถ้าเขาแค่อยากจะปลงพระชนม์เสด็จพ่อ เขาก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถ…”
“ตำแหน่งองค์รัชทายาทว่างลง ตอนนี้คนที่จะต้องจัดการดูแลราชสำนักแทนก็คือเจ้ากับองค์ชายหก” ดวงตาของซ่านจินจื๋อหรี่ลงเล็กน้อย สายตาที่จ้องเขม็งไปยังซ่านเชียนหยวนก็เปลี่ยนเป็นสายตาที่เฉียบขาดขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อสักครู่นี้เขาคิดที่จะพูดเทศนาหยวนเอ๋อสักพักและในขณะที่กำลังคิดเช่นนี้คงจะต้องถูกยุแหย่เป็นแน่ แต่ทว่ามือของกู้อ้าวเวยกลับวางลงไปบนหลังมือของเขาเบาๆ และเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า
“ที่ซ่านจินจื๋อพูดไม่ผิด ในเมื่อชางหลานไร้องค์รัชทายาท แม้ว่าเหล่าเสนาอำมาตย์อยากจะเลือก คนที่มีสติปัญญาและความสามารถมานั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ตาม และแผ่นดินก็ไม่อาจไร้ผู้ปกครองได้แม้แต่วันเดียวเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับซ่านจินจื๋อและซ่านเซิ่งหานที่อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลแล้ว คนที่อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดก็คงจะเป็นพวกเจ้าสองคน” กู้อ้าวเวยคิดอย่างละเอียดรอบคอบ และก็พูดด้วยความงวยงงว่า “อดีตฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว สามารถพูดได้ว่าตอนนี้ข้างกายขององค์ชายหกก็ไม่มีใครให้พึ่งพิงอีกต่อไปแล้ว และพระสนมเสียนเฟยท่านแม่ของเขาก็ได้รับบาดเจ็บและกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่อารามไป๋หม่า ส่วนลูกน้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้าก็มีไม่มาก ดังนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังคนนี้คือใครกัน ถ้าหากเป็นคนนอกที่ต้องการแย่งชิงบัลลังก์ล่ะ…”
“ถ้าหากเป็นคนนอกที่ต้องการแย่งชิงบัลลังก์ ทหารของเมืองเทียนเหยียนไม่มีวันยอมหรอก” ซ่านเซียนหยวนรีบเอ่ยปากขึ้นมา แล้วจึงขมวดคิ้วแน่น
“ตามที่กล่าวมานั้น ก็อาจจะเป็นเพียงองค์ชายคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อไม่ใช่เขา งั้นก็เหลือองค์ชายองค์สุดท้ายที่พวกเราไม่รู้จักคนหนึ่ง” ฉีหรัวหยิบถ้วยชาที่อยู่ข้างๆขึ้นมา แต่สายตากลับตกลงไปบนหยุนอี้ที่เอวของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยเอาแขนเสื้อปิดบังหยุนอี้ของตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิด จากนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองซ่านจินจื๋อที่อยู่ข้างๆแล้วพูดว่า “ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“คนที่อยู่เบื้องหลัง ต้องหารให้เราคิดเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหยวนเอ๋อกับองค์ชายหกที่อยู่ในเทียนเหยียนก็ดี หรือว่าจะเป็นข้ากับซ่านเซิ่งหานที่กลับเทียนเหยียนเพื่อมารายงานการปฏิบัติภารกิจพร้อมกันก็ดี สถานการณ์เป็นเช่นนี้มันจะต้องถูกควบคุมจัดการโดยคนคนเดียวอย่างแน่นอน แต่ถ้าถึงเวลานั้นบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่กับนางเสนอมาคอยยุยงส่งเสริมอยู่ข้างหลัง เกรงว่าไมตรีจิตระหว่างข้ากับหยวนเอ๋อจะต้องหายไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นแน่” ซ่านจินจื๋อรู้เรื่องราวต่างๆในเมืองเทียนเหยียนเป็นอย่างดี
แม้ว่าเขาจะจากเมืองเทียนเหยียนไปเมื่อยังเด็ก แต่ในเวลานั้นเขาได้ก้าวเข้ามาอยู่ในวังวนแห่งความวุ่นวายนี้ของเทียนเหยียนแล้ว ทุกๆอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อเขากลับไปสู่สนามรบอีกครั้งและหวนนึกถึงอ๋องจิ้งวัยเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเทียนเหยียน เขาก็เริ่มใจเย็นลง และเมื่อเขากลับมาพร้อมกับรอยแผลเป็นและความดีความชอบ ก็คือตอนที่เขาเริ่มยื่นมือเข้ามาและเริ่มเข้าใจราชสำนักเป็นอย่างดี
เป็นเพราะเขามีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเช่นนี้ ซ่านจินจื๋อจึงสามารถมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ส่วนกู้อ้าวเวยที่ไม่ได้เกิดที่นี้ปกติจะมองเห็นสิ่งต่างๆแตกต่างออกไป และไม่ใช่เชื่ออย่างเดียวว่าในบรรดาเชื้อพระวงศ์เหล่านี้จะไร้ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวและเรื่องนี้
“เจ้าจะบอกว่า จุดประสงค์ของคนคนนั้น ก็คือเพื่อที่จะทำให้พวกเราต่อสู้แย่งชิงกันไปเรื่อยๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราสองคนก็ไม่ควรกลับไปที่เมืองเทียนเหยียนจึงจะถูก…”
ในขณะที่ซ่านจินจื๋อได้ยินคำพูดนี้ก็ฉุนเฉียวอยากจะบึกโจมตีขึ้นมา แต่กู้อ้าวเวยกลับพูดออกมาก่อนว่า “แต่ถ้าไม่กลับไป พวกเจ้าก็จะไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในเงามืดคนนั้นคือใครไปช่วยชีวิต เมื่อมีวันใดที่พวกเจ้าเริ่มเตรียมการป้องกันและระแวงซึ่งกันและกัน เขาก็จะอาศัยตอนที่พวกเจ้าอ่อนแอนี้เข้ามาทำให้พวกเจ้าแตกแยกกันได้โดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงเลยแม้แต่น้อยเลยนะ”
ซ่านเชียนหยวนลูบศีรษะไปมา ตัดสินใจที่จะไม่พูดอีกต่อไปแล้ว
ฉีหรัวกำลังมองกู้อ้าวเวยจับหลังมือของซ่านจินจื๋ออยู่อย่างจนใจ แล้วพูดเบาๆว่า “แม้ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องในราชสำนักมากนัก แต่ข้าก็รู้สึกแปลกๆเช่นกัน ในเมื่อคนผู้นี้สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ เขาจะต้องวางแผนจัดการเรื่องนี้มานานแล้วอย่างแน่นอน แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่เผยพิรุธอะไรออกมาเลยล่ะ”
พอสิ้นเสียงพูด คนสามสี่คนก็คิดไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ถูกต้องอ่ะ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเบาะแสอะไรหลงเหลืออยู่เลยสักนิด
ถ้าหากพูดว่าก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่…
“จริงๆแล้วไม่รู้ว่าหลังจากที่ท่านแม่กับองค์ชายสองร่วมมือกันแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น” กู้อ้าวเวยกล่าวถึงสิ่งที่เกือบจะถูกปิดผนึกและไม่มีใครสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมา
จริงๆแล้วนางจำเรื่องขององค์ชายสองไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้แต่ข้อมูลเดียวที่หลงเหลืออยู่ในใจก็มีอยู่น้อยนิดอย่างน่าสงสาร
แต่ทว่านี่เป็นเรื่องเดียว เรื่องที่ต่างก็ไม่มีใครรู้และเข้าใจเป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้ต่างก็เป็นคำบอกเล่าเท่านั้น ไม่เพียงแต่ซ่านเชียนหยวนเท่านั้น แม้แต่ฉีหรัวเองก็ปรากฏแววตาแห่งความสงสัยออกมาในขณะนี้ “เรื่องราวเหล่านั้นมันผ่านไปแล้ว”
“แต่พอคิดดูแล้ว เรื่องที่กับองค์ชายสองร่วมมือกันในตอนนั้น นางยังอยู่ด้วยกันกับกู้เฉิง และหลังจากที่เราได้พบกัน ไม่ว่าจะต่อหน้าข้าหรือต่อหน้าท่านพ่อ นางก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้…ทำเหมือนกับว่า นางเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย” กู้อ้าวเวยพยักหน้าไปมา “อีกทั้ง ถึงแม้ว่ากู้เฉิงจะยืนอยู่ข้างซ่านเซิ่งหาน แต่ตอนนี้เขาอาศัยความสามารถอะไรที่ทำให้นังอยู่ต่อไป ก็ยังไม่อาจทราบได้”
“ในตอนนั้นหน่วยเก่าของกู้เฉิงเคยถูกกวาดล้างไปแล้วครั้งหนึ่งนี่นา” ซ่านเชียนหยวนไม่เข้าใจ
“จากแผนจักจั่นลอกคราบของกู้เฉิง ไม่น่าแปลกเลยที่เขายังคงทิ้งคนจำนวนหนึ่งเอาไว้…ถ้าหากในตอนแรกเขาใช้ชื่อท่านแม่มาติดต่อกับองค์ชายสอง ต่อมาก็ติดต่อกับซ่านเซิ่งหาน เห็นได้ชัดว่ากู้เฉิงกำลังทำงานให้กับซ่านเซิ่งหาน” ในขณะที่ซ่านจินจื๋อกำลังพูดเช่นนี้อยู่ สายตาของเขาก็มองไปที่ตัวกู้อ้าวเวย
พูดไปพูดมา คนที่มีปัญหาก็ยังเป็นซ่านเซิ่งหาน
ซ่านจินจื๋อกลับยังจะดูว่า สุดท้ายกู้อ้าวเวยจะ ปกป้องเขาได้ถึงขั้นไหน
ท่ามกลางสายตาของคนไม่กี่คน แม้แต่กู้อ้าวเวยเองก็แทบจะไม่สามารถนั่งนิ่งๆได้เลยเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซ่านจินจื๋อที่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหึงอยู่เล็กน้อย ในวันปกติเขาจะแสดงความใจกว้างออกมา ถึงอย่างไรพออยู่ต่อหน้าคนรักเขาก็ยังเป็นคนใจแคบอยู่อย่างนั้นเสมอ
นางกระแอมไอสองครั้ง แล้วพูดว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกมากจริงๆ และก็เป็นเรื่องที่ข้าพูดขึ้นมา ข้าไม่อาจปิดบังอำพางได้อยู่แล้ว แต่อย่าลืมนะว่า ยังมีซ่านต้วนเฟิงอีกคนหนึ่ง”
“รอให้ถึงเวลาหลังจากที่เจ้าได้ไปพบเขาในวันพรุ่งนี้ เจ้าก็จะรู้เอง” ซ่านจินจื๋อหยิบหน้ากากหนังมนุษย์หนึ่งแผ่นออกมาจากแขนเสื้อ
กู้อ้าวเวยหน้าเปลี่ยนสีไปตามที่คาดเอาไว้ จากนั้นก็ยืนขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าอยากจะตามไปก็ตามไปเถอะ”
“ต้องตามไปอยู่แล้ว หรือว่าจะให้ข้ามองดูสายตาที่ดุร้ายเหมือนหมาป่าคู่นั้นจ้องมองมาที่ตัวเจ้าโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีอย่างนั้นหรือ?” ซ่านจินจื๋อจับกู้อ้าวเวยเอาไว้ก่อนที่นางจะจากไปด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวจนไม่อาจต้านทานได้
“อ่าห๊า อย่าลืมนะว่าตอนนี้ข้ายังเป็นที่พาคนรักเก่าของเจ้ามาที่นี่แล้ว ข้าไว้ใจเจ้า เจ้าไม่ไว้ใจข้าเลยหรอ?” กู้อ้าวเวยขึ้นเสียงสูง
ขนาดที่กำลังมองดูทั้งสองคนโต้เถียงกันจากเรื่องงานไปจนถึงเรื่องส่วนตัว ฉีหรัวจึงพาซ่านเชียนหยวนออกมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แล้วไม่ไปฟังคำพูดที่ไร้เดียงสาไม่รู้ความเหล่านั้น นางพูดเพียงว่า “ถ้าเดาไม่ผิด ก่อนหน้านี้ข้าได้ส่งจดหมายมาให้เจ้าโดยบอกว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งซ่านจวนฮ่าวเป็นองค์รัชทายาท มันเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น เพียงเพราะเจ้ากับเขาล้วนอยู่ในราชสำนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมีเจตนายั่วยุให้พวกเจ้าบาดหมางกัน”
“แต่พวกเราก็ไม่อาจบุ่มบ่ามทำอะไรได้ เพียงแค่ตอนนี้ท่านอาไว้วางใจข้าเท่านั้น ข้าก็โล่งใจแล้ว” ในขณะที่ซ่านเซียนหยวนพูดเช่นนี้อยู่นั้น เขาก็ดึงนิ้วมือของฉีหรัวอย่างเงียบๆในที่ที่ไม่มีใครเห็น “ข้าคนนี้ไม่ฉลาด ทำให้ท่านลำบากใจ…”
“คราวหน้าข้าจะสอนเจ้าดูแลร้าน เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้นเลยก็ยิ่งดีนะ” ฉีหรัวบีบฝ่ามือของเขาไปมา แล้วยิ้มเบาๆ