บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 754
บทที่ 754 กำเนิดใจไม่ซื่อ
“ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกันแน่!”
เศษแก้วกระจายเกลื่อนเต้มพื้น ซ่านต้วนเฟิงยิ่งโกรธจนกู่ไม่อยู่
หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขาเห็นกู้อ้าวเวยอยู่ในเมืองหลวง คงไม่รู้รู้สึกเพียงว่าผู้หญิงคนนี้มีรูปลักษณ์เฉลียวฉลาดหลายเท่านัก ทว่าจตุเทพศิลปะอย่างอื่นลับเทียบไม่ได้กับสตรีผู้อื่นด้วยซ้ำ แม้แต่ฉีหรัวสหายข้างกายก็ยังไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด สรุปแล้วก็เป็นเพียงผู้หญิงที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์คนหนึ่งเท่านั้น
ทว่าตอนนี้…
“ฝั่งกู้เฉิงนั้นยังคิดจะให้ข้าสยบนางอยู่หมัด พูดน้อยฟังให้มาก แต่พวกเราพูดรวมกันแล้วยังไม่กี่ประโยคเอง ตรงข้ามกลับถูกนางแพร่งพรายความลับเสียได้ ไปเอาความสามารถนี้มาจากที่ไหนกัน?” ซ่านต้วนเฟิงตบโต๊ะดังปึง และยิ่งรู้สึกประหลาด “เจ้าว่าก่อนหน้านี้นางยังเอ่ยถึงเรื่องของเหย่เฟิงด้วย นั่นก็แค่ม้าตัวหนึ่งเท่านั้น มันมีนัยยะอะไรกัน?”
“กล่าวเช่นนี้แล้ว กลัวก็แต่เพื่อจะหยั่งเชิงฝีปากของข้าเท่านั้น” อูกงกงสีหน้าเย็นชา เห็นเรียวคิ้วของซ่านต้วนเฟิงแทบจะบีบแมลงวันตัวหนึ่งตาย จึงรีบกล่าวอย่างรีบร้อน “แต่นางยังพูดว่าถ้าหากภายในสามวันไม่ล้างพิษ ชีวิตนี้ก็คงไม่เหลือแล้ว พวกเราควรลองใช้ประโยชน์จากเมี่ยวหารก่อนหรือไม่?”
“ไม่ต้อง” ซ่านต้วนเฟิงตบโต๊ะลุกขึ้น จ้องด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “เดิมทีกู้อ้าวเวยคนนี้ก็ยากต่อกรด้วยอยู่แล้ว ตอนนี้คนในดวงใจของเมี่ยวหารก็อยู่ในมือของซ่านจินจื๋อ หากนางยืมมือเมี่ยวหารทำอะไรอีก เจ้ากับพวกข้าก็ไม่รู้ทักษะการแพทย์ แล้วควรจะแก้ไขอย่างไรอีกกันเล่า?”
ถึงแม้ซ่านต้วนเฟิงจะหุนหันพลันแล่น แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ทำเพียงมองไปทางชายหน้าอัมพาตคนนั้น “ในเมื่อกู้เฉิงมีความสามารถจะปกปิดเรื่องที่กู้อ้าวเวยถูกขังเอาไว้ เจ้าก็ให้เขาคิดหาวิธีพาซ่านเซิ่งหานกลับไปในเมืองเทียนเหยียน ทางฝั่งข้าจะพานางไปด่านลั่วสุ่ยได้สะดวก”
“ได้ขอรับ” ชายหน้าอัมพาตออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ซ่านต้วนเฟิงก็รู้สึกว่ากู้อ้าวเวยคนนี้เป็นเผือกร้อนลวกมือมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีรูปโฉมน่ามองและพิเศษมากเพียงใด แต่ก็เป็นเผือกร้อนลวกมือที่จะเพิ่มปัญหามากยิ่งขึ้น แต่เพื่อการใหญ่ในอนาคต เขากลับทำได้เพียงตั้งความหวังไว้กับกู้อ้าวเวยคนเดียวเท่านั้น…อย่างไรเสียก็มีเพียงนางคนเดียวที่จะเข้าใกล้ความจริงของปริศนาแห่งความเป็นอมตะ
……
ซ่านจินจื๋อกลับเข้าไปในค่ายทหารพร้อมกับผู้ใต้บัญชาอีกสามคน
ยังไม่ทันมั่นใจว่ากู้อ้าวเวยจะเดินทางมุ่งสู่ด่านลั่วสุ่ยจริงๆ หรือไม่ หงเซียวก็พุ่งปราดเข้ามา หายใจหอบติดๆ ขัดๆ “ในที่สุดท่านอ๋องก็กลับมาแล้ว! คุณหนูฉีพาอ๋องจงผิงกับเฉิงซานไปทะเลาะเอะอะกันอยู่ในคุกใต้ดิน!”
ซ่านจินจื๋อฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนหน้าออก “เรื่องใด?”
เฉิงซานจับเยว่ชิงและซูพ่านเอ๋อเข้าไปในคุกใต้ดินโดยพลการ เช้าตรู่วันนี้ควรจะมัดตัวนักโทษออกมาไต่สวน ใครจะรู้ว่าโจรม้าที่ถูกกักตัวก่อนหน้านี้จะฉวยโอกาสพุ่งออกมา คุณหนูฉีตกใจยิ่งนัก อ๋องจงผิงจับโจรม้าไม่กี่คนเอาไว้ด้านข้างและส่งกลับเข้าไปในคุกใต้ดินด้วยตัวเอง ตอนที่บัญชาอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องของซูพ่านเอ๋อ” หงเซียวพูดไม่ปะติดปะต่อกัน รีบร้อนพาซ่านจินจื๋อไปคุกใต้ดิน “จากนั้นอ๋องจงผิงคิดจะพาทั้งสองคนออกมา เฉิงซานบอกวว่าเป็นความประสงค์ของท่าน อย่างไรก็ไม่อนุญาตเด็ดขาด!”
“ข้าบอกเมื่อไรกันว่าจะขังพวกนางทั้งสองคนอยู่ในคุกใต้ดิน”
ดวงหน้าที่เส้นเว้าโค้งชัดเจนของซ่านจินจื๋อก็พลอยกระตุกเกร็งขึ้นมา เขาไม่รู้ถึงสาเหตุที่เฉิงซานทำเยี่ยงนี้ด้วยซ้ำ
คุมตัวเยว่ชิงและซูพ่านเอ๋อเอาไว้ แล้วส่งกู้อ้าวเวยกลับไปยังข้างกายขิงซ่านเซิ่งหาน เพียงเพื่อแสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือกันกับเขา ยิ่งดูเหมือนข้อตกลงอย่างหนึ่งมากกว่า ในขณะเดียวกัน ซูพ่านเอ๋อก็คือเงื่อนไขสมทบของปริศนาความเป็นอมตะอย่างหนึ่ง ขอเพียงเมี่ยวหารยังรักใครใฝ่ปรารถนาซูพ่านเอ๋อข้างเดียวขนาดนั้นอยู่ในท้ายที่สุด เช่นนั้นแล้วเมี่ยวหารจะควบคุมซูพ่านเอ๋อเอาไว้แต่ไม่ยอมพูดความจริงออกมา
แม้นเป็นเช่นนี้ จากการร่วมมือในทางการเมือง จนถึงการร่วมมือของปริศนาแห่งความเป็นอมตะ เขาและซ่านเซิ่งหานก็จะถัวเฉลี่ยเท่าๆ กัน
และปล่อยให้กู้อ้าวเวยกลายเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องราวทั้งหมด มีกอบกุมข้อมูลจนเพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะเผชิญกับเรื่องเช่นไร น่างย่อมยืนอยู่เหนือกว่าเพราะมูลค่าของข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้ว เว้นแต่มีคนไม่เต็มใจอยากรู้ปริศนาแห่งความเป็นอมตะ
ทว่าเหตุใดเฉิงซานต้องออกอุบายเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นนี้กับซูพ่านเอ๋อและเยว่ชิงด้วย?
บรรลุถึงประตูคุกใต้ดิน สีหน้าของซ่านจินจื๋อดูเย็นชาลงโดยสิ้นเชิง
แม้ว่าเฉิงซานจะกำลังมีปากเสียงกันกับซ่านเชียนหยวนและฉีหรัวอยู่ แต่ด้านนอกประตูคุกใต้ดิน แม้แต่โย่วหลีและซางนิงก็ประจันหน้ากันขนาบซ้ายขวา ไม่ยอมให้บุคคลใดออกไป ขณะเดียวกันในบรรยากาศเงียบสงัดกลับตั้งหน้าเป็นศัตรูต่ออีกฝ่ายอย่างแน่นหนา ยามที่มองเห็นซ่านจินจื๋อนั้น ทั้งสองต่างโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ท่านอ๋อง”
“ซางนิง ข้าเคยพูดเมื่อไรกันว่าจะกักขังเยว่ชิงกับซูพ่านเอ๋อ?” ซ่านจินจื๋อหยุดฝีเท้า ถามไถ่โดยไม่ละสายตา จงใจเพิ่มระดับเสียงให้สูงขึ้นจนเพียงพอจะทำให้การวิวาทกันในคุกใต้ดินหยุดลงมาในเวลาเดียวกัน เหลือเพียงแต่เสียงร้องโหยหวนตอนลงทัณฑ์ของพวกโจรม้าเท่านั้น
ซางนิงกลับเค้นเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมาจากในลำคอ “ข้ารู้ว่าท่านมิได้บัญชาเยี่ยงนี้ด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้เป็นเหตุเร่งด่วน ข้าคิดว่าเรื่องนี้ท่านมีสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ ในนั้นไม่เพียงมีแต่ซูพ่านเอ๋อกับเยว่ชิงเท่านั้น แม้แต่คุณหนูกู้จี้เหยาก็ถูกนำตัวเข้ามา ท่านสามารถฟังคำสารภาพของพวกเขาได้”
หงเซียวปาดเหงื่อกาฬบนหน้าผากออก เขากระทั่งอยากกลับชายแดนโดยเร็ววัน ไม่ไปสนใจเรื่องราวชุลมุนวุ่นวายพวกนี้แล้ว นี่มันความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกแล้วชัดๆ
ซ่านจินจื๋อก็ไม่ถือสาเรื่องพวกเรื่องอีก ในเมื่อเฉิงซานกับซางนิงต่างรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน บางทีครั้งนี้หยวนเอ๋อกับฉีหรัวก็ออกจะเกินเหตุไปหน่อยก็ได้
ทว่าเมื่อมาถึงด้านล่าง เขากลับมองเห็นเยว่ชิงที่เดิมทีควรจะอยู่ในคุกถูกปล่อยตัวออกมา ส่วนกู้จี้เหยาและซูพ่านเอ๋อถูกคนกดขนาบซ้ายขวาอยู่ในกรงขัง ทั้งสองดูเหมือนจะวิวาทกัน หลังจากตอนที่เยว่ชิงมองเห็นเขาก็ค่อยๆ ถอยร่นออกมาหนึ่งก้าว และโค้งคำนับอย่างหงุดหงิด
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ซ่านจินจื๋อทำเพียงเอ่ยปากพูดกับเฉิงซาน
“พระนางท่านนั้นเคยได้รับรูปภาพฮวงจุ้ยที่เอาไว้สำรองใช้สองชุดไปจากมือของกู้จี้เหยา อีกทั้งอิงจากข่าวที่ผู้น้อยได้ยินมา ซูพ่านเอ๋อได้กลายเป็นไพร่พลของพระนางผู้นั้นไปแล้ว ผู้น้อยสงสัยเจตนาของพระนาง ดังนั้นจึงตัดสินใจกักขังซูพ่านเอ๋อและเยว่ชิงไว้ที่นี่ขอรับ” เฉิงซานโน้มกาย ยามที่เอ่ยถึงรูปภาพฮวงจุ้ยนั้นยิ่งมองไปทางกู้จี้เหยาเพิ่มขึ้นอีกปราดหนึ่ง
กู้อ้าวเวยถึงขั้นมีความสามารถทำให้ศัตรูหัวใจก่อนหน้านี้ส่งมอบสิ่งของออกมาให้ ช่างต้องเหมาะกับคำว่าธิดาอสูรจริงๆ อยู่แล้ว
ฉีหรัวและซ่านเชียนหยวนเห็นชัดว่าได้ยินคำแก้ต่างของเฉิงซานแล้ว ทว่าเวลานี้ซ่านจินจื๋อกลับนิ่งเงียบไร้คำพูด ฉีหรัวจึงเดินเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ดูจากสิ่งนี้แล้ว นี่ก็ไม่ใช่ประสงค์ของอ๋องจิ้ง ถ้าว่าเจ้าไม่เชื่อใจกู้อ้าวเวย เหตุใดถึงไม่พูดตอนที่นางยังอยู่ที่นี่ แต่ดันรอให้ข้ากับอ๋องจงผิงมาพบเองโดยไม่ได้ตังใจ คราวนี้เอ่ยถึงความจริงออกมา คนที่มีเจตนาแอบแฝงเป็นพิเศษ ไม่ควรเป็นเจ้ากระนั้นหรือ?”
ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา หงเซียวที่อยู่ด้านหลังก็หมายจะก้าวเข้าไปข้างหน้า เป็นซางนิงที่ยกมือขวางเขาเอาไว้ และส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
แม้ว่าพวกเขาในฐานะพี่น้องจะเชื่อใจเฉิงซาน แม้กระทั่งซ่านจินจื๋อเองก็คุ้นชินกับการแนะแนวของเฉิงซานตั้งแต่ต้นแล้ว ทว่าก็เพราะคนที่ใกล้ชิดเป็นเช่นนี้ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เช่นนั้นคงจะไม่สามารถกู่อะไรกลับมาได้เลย ทั้งสองต่างก็มีเหตุผล
ในเวลานี้ซ่านจินจื๋อยิ่งแบกรับภาระหนักอึ้ง เอ่ยถามกู้จี้เหยาและซูพ่านเอ๋อ “พวกเจ้าลองพูดสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“รูปภาพฮวงจุ้ยนั้นในเมื่อข้าเป็นคนเอามาเอง ข้าย่อมมีอำนาจจะตัดสินใจการอยู่หรือไปของมัน” กู้จี้เหยานั้นตั้งใจจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อย่างไรเสียในเวลานี้ นางสามารถบอกความจริงกับกู้อ้าวเวยได้ก็เพียงเพราะนางมีวิธีการแก้พิษ ทว่าซ่านจินจื๋อที่อยู่ต่อหน้าสำหรับนางแล้วกลับเป็นเพียงกองทัพศัตรูที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น นางย่อมไม่มีเหตุผลจะเอาจุดอ่อนของกู่เซิงไปเล่าให้กับกองทัพศัตรูฟัง…นับประสาอะไรที่ดูเหมือนว่าตอนจากไปกู้อ้าวเวยก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ก็เพียงพอพิสูจน์ถึงความจริงใจได้แล้ว
ส่วนซูพ่านเอ๋อแทบจะกัดฟันเป็นผุยผงอยู่รอมร่อ ก็ได้แต่ก้มหน้างุดไม่พูดจา…ตอนนี้ กู้อ้าวเวยกับนางล้วนเป็นตัวหมากที่ถูกหลอกใช้ ผู้ชายพวกนี้ล้วนเชื่อใจไม่ได้เลยสักคน
นิ่งเงียบเนิ่นนาน ซ่านจินจื๋อก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องรออยู่ในคุกใต้ดินแห่งนี้แล้ว พาตัวคนเข้าไปซักถามให้เรียบร้อยในกระโจมของข้าเสีย สุดท้ายก็ต้องมีเหตุผลสักข้อจึงจะถูก”