บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 81
ตอนที่ 81 กว่างเสียนล้างพิษ
เมื่อเข้าสู่เมืองเทียนเหยียน กู้อ้าวเวยก็ต้องแยกทางกับกลุ่มของผู้คุ้มกันการขนส่งไปตามทางของตัวเอง
เมืองนางลงจากหลังม้าแล้ว นางก็เดินจูงมือของหยินเอ่อกลับเข้าไปในตลาดที่ค่อนข้างคึกคักอย่างกล้าหาญ นางชำเลืองมองไปทางซ่านจินจื๋อ พร้อมกับโบกมือไปมา :“ท่านต้องกลับไปรายงานตรงต่อฮ่องเต้ ส่วนข้าต้องกลับไปร้านยาเหย้าก่อน”
ซ่านจินจื๋อไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด ส่วนนางก็เดินเตร็ดเตร่ตรงกลับไปยังร้านยาเหย้า ลานขนาดเล็กส่วนหนึ่งเต็มไปด้วยหนังสือที่หยุนฝูพามา ชิงต้ายหยินเชี่ยวกำลังช่วยกันจัดการ จึงไม่มีเวลามาดูแลเรื่องที่นางกลับมาเมื่อสักครู่นี้แต่อย่างใด จึงมีเพียงแค่ฉีหรัวที่นำเจ้าแมวพุทรายัดใส่ในอ้อมแขนของนาง: “ไม่เจอกันสองสามวัน เจ้าผอมลงไปเยอะเชียวนะ ไปพักผ่อนเถอะ”
“อื้อ” กู้อ้าวเวยลูบไล้ไปบนหัวของเจ้าแมวพุทรา จากนั้นก็เข้าไปนอนหลับอย่างมืดฟ้ามัวดินอยู่ภายในห้อง
เมื่อฟ้ามืดคนเงียบสงบมาถึง นางกลับต้องคลานมาหยิบของกินบางส่วนในห้องครัวอีกครั้ง
แต่ในตอนนั้นเอง ฉีหรัวกลับรอนางอยู่ภายในห้องครัวเรียบร้อยแล้ว นางยิ้มออกมาบางๆก่อนพูดว่า : “ข้าจะทำอาหารร้อนๆให้เจ้าละกัน”
“ไม่ต้องหรอก ข้าหยิบแค่หมั่นโถวก็พอแล้ว” นางรีบจัดการรวบผมเพล้าที่ยุ่งเหยิงของตัวเองให้เรียบร้อย นางเองก็รู้ว่าฉีหรัวผู้อยู่ในฐานะพี่สาวคนโต ที่มักจะยกกุลสตรีขึ้นหิ้งอยู่เสมอ นางมักจะขัดใจทุกครั้งที่เห็นคนรอบตัวของนางแต่งตัวไม่เรียบร้อย
แต่ฉีหรัวกลับไม่ได้สนใจแต่อย่างใด นอกจากพูดต่อไปว่า : “หลายวันมานี้ ท่านพ่อบอกให้ข้ากลับไปหลายต่อหลายครั้ง เจ้าช่วยคิดหาทางให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อได้ไหม?”
“ถึงตอนนั้นข้าจะให้ชิงต้ายไปบอกสักคำก็เพียงพอแล้ว” กู้อ้าวเวยขยี้ปลายจมูกเล็กน้อย ราวกับได้กลิ่นหอมของอาหาร นางจึงตื่นตัวขึ้นมาในทันใด : “ทำไมท่านพ่อของเจ้าถึงอยากให้เจ้ากลับไปตอนนี้นักละ?”
“ท่านพ่อคิดว่าอาการป่วยของข้าน่าจะดีขึ้นแล้ว จึงอยากให้ข้าออกเรือน” ฉีหรัวยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา ผ่านไปชั่วครู่ ก็ยกอาหารที่ร้อนกำลังดีขึ้นมาวางบนโต๊ะ พร้อมกับเห็นความอิจฉาที่ถ่ายทอดออกมาทางแววตาของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยกลับไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด นอกจากใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก : “ถึงแม้ว่าบุญคุณของพ่อแม่จะไม่อาจลืมกันได้ก็ตาม แต่คนที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ กลับไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก หากไม่อยากออกเรือน ก็ไม่ต้องออกเรือน”
“ทำไมพระชายาถึงได้แตกต่างเช่นนี้?” ฉีหรัวยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับนั่งลงข้างกายของนาง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยแววตาเยาะเย้ย แผ่นหลังยืดตรง อากัปกิริยางดงามเพียบพร้อมเกินคำบรรยาย
“แตกต่างตรงไหนกัน แขนก็ไม่ขาด ขาก็ไม่ขาด” กู้อ้าวเวยพลิกทิศทางของตะเกียบที่อยู่ในมือ จากนั้นก็วางตะเกียบลงบนขอบชามอย่างมั่นคง : “เจ้าอยากอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้นะ เมื่อเปรียบเทียบกับนิสัยของฉีหลินแล้ว ข้าเชื่อว่าวันข้างหน้าเจ้าจะสามารถควบคุมดูแลสำนักเยียนหยู่เก๋อได้”
แววตาของฉีหรัวหมองคล้ำลงไปชั่วขณะ ปลายนิ้วกุมมุมเสื้อไว้แน่น : “ข้าและพระชายารู้จักกันได้เพียงไม่นาน ทำไมถึงได้เชื่อใจข้าเช่นนี้ละ?”
“ข้าเห็นเจ้าในทุกวันก็รู้แล้วละ” กู้อ้าวเวยยิ้มออกมา: “ก็เหมือนกับตอนที่เจ้าอยู่ในร้านยาอยู่ทุกวี่วันนั้นแหละ เจ้าใช้เวลาครุ่นคิดไปกับเรื่องเครื่องประทินโฉมและร้านค้ามากมาย หากยังเทียบเทียมกับพี่น้องที่มีฝีมือไม่เท่าไหร่เหล่านั้นไม่ได้ ก็คงจะเป็นไปได้แล้วละ”
“เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆหรือ?” ฉีหรัวยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจ้องเขม็งไปทางนาง
“แน่นอน อีกทั้งตอนนี้ฉีหลินก็เปิดเรียนแล้ว ถึงเขาจะมีพรสวรรค์ที่ช่างแตกต่าง แต่ยังไงก็ไล่ตามเจ้าไม่ทันอยู่ดี อย่าคิดว่าวันข้างหน้าเจ้าจะได้เป็นผู้สนับสนุนสามีและการเรียนของลูกเพียงเพราะเจ้าเป็นหญิงสาว แล้วเฝ้ารอคอยว่าวันหนึ่งครอบครัวของเจ้าจะร่ำรวยมหาศาลได้ ต่อให้ไม่ได้แต่งงานตลอดชั่วชีวิตนี้ จะมีผู้ใดที่กล้าเข้ามาถึงตัวของเจ้าได้ละ?” กู้อ้าวเวยจัดการทานอาหารที่เหลืออยู่จนสะอาดเกลี้ยงเกลา จากนั้นก็นำถ้วยและตะเกียบไปล้าง แล้ววางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เดินตรงไปยังร้านยาทันใด
ถึงอย่างไรนางก็เบื่อหน่ายกับคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวเรือนลอยน้ำของซ่านจินจื๋อ จนยากที่จะนอนหลับได้อย่างสบายอยู่แล้ว
แต่หลังจากที่พูดคุยกันมาตลอดทั้งคืน ในเช้าวันที่สองฉีหรัวกลับกระปรี้กระเปร่าสดใสขึ้นไม่น้อย และยิ่งทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสถานการณ์และสมุดบัญชีมากขึ้นด้วย ในช่วงเวลากลางวันไม่เพียงแต่จะหมกตัวอยู่แต่ในร้านยาแล้วเท่านั้น อีกทั้งยังปลอมตัวออกไปเยี่ยมชมสำนักเยียนหยู่เก๋อแต่ละที่อีกด้วย
เมื่อหยินเชี่ยวเห็นเช่นนี้ ก็ได้แต่เดินตามหยุนฝูไปทำความสะอาดอย่างไร้เรี่ยวแรง :“ในร้านยาเหย้าเต็มไปด้วยหนอนหนังสือ”
“คุณหนูทั้งสองต่างก็เป็นดั่งหงส์และมังกรที่อยู่คู่กัน” เมื่อหยุนฝูนำหนังสือเหล่านั้นจัดเข้าที่เข้าทางจนเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
หยินเชี่ยวยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเวลาร่วงเลยผ่านมาจนถึงเที่ยงวัน กู้อ้าวเวยจึงได้เดินออกมาจากร้านยาด้วยท่าทางสบายๆ จากนั้นก็นำเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยกลิ่นยากลับไปเปลี่ยนที่ห้อง ซึ่งนางเปลี่ยนแค่เสื้อสีน้ำเงินตัวเดียวจากนั้นก็รีบร้อนจูงมือของหยินเอ่อออกไปในทันที
ในร้านยาเหย้าไม่มีหญ้าแห้ง
นางก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้เมื่อสักครู่ นางจึงถูไปบนหัวของหยินเอ่ออย่างเอาอกเอาใจไปตลอดทาง
เมื่อเดินไปได้ไม่ไกลมากนัก ก็เห็นรถม้าของตำหนักอ๋องจิ้งกำลังเดินอยู่บนเส้นทางนี้ เฉิงซานที่นั่งอยู่ด้านข้างของรถม้าเห็นนางเข้า เขาจึงทำท่าทางดูเหมือนว่าจะหันไปพูดกับคนในรถม้าสองสามประโยค จากนั้นก็บังคับม้ามาจนถึงข้างกายของนาง :“พระชายา อ๋องจิ้งกำลังเตรียมการจะไปยังหู้ปู้เซ่อหลางพอดีพะยะค่ะ”
นางต่างก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองนั้นได้วางยาพิษบนร่างกายลูกชายหู้ปู้เซ่อหลางไว้
“ท่านอ๋องไปแล้วจะทำอะไรได้ละเพคะ?” กู้อ้าวเวยไม่เข้าใจ
“ยังมีคุณหนูซูและคุณหมอเมี่ยวหารอยู่ คุณหนูซูอยากให้ท่านอ๋องดึงหู้ปู้เซ่อหลางมาเป็นพวก ไม่อย่างนั้นก็มิอาจรับประกันชีวิตของท่านชายกว่างเสียนไว้ได้”
เฉิงซานพูดขึ้นมาด้วยความกระสับกระส่าย เมื่อผ่านไปชั่วครู่ก็ได้ทำการจูงม้าในมือของนางเข้ามา: “ไม่สู้เท่า พระชายาไปข้างหน้าพร้อมกันเลยดีกว่าไหมพะยะค่ะ?”
“หยินเอ่อยังไม่ได้กินอะไรเลย ข้าต้องเอาหญ้าแห้งให้มันก่อน” กู้อ้าวเวยพยักหน้า จากนั้นก็ลูบไปบนหลังม้าของหยินเอ่อ แล้วเดินออกไป
เมื่อปีนขึ้นมาบนหลังม้า ใบหน้าของซูพ่านเอ๋อก็ดูราวกับซีดเผือดลงทันใด มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ยังคงเอิ่มอิ่มสมบูรณ์มากยิ่งกว่าตอนไปเรือนลอยน้ำก่อนหน้านั้นเสียอีก ส่วนเมี่ยวหารที่อยู่ข้างกาย เมื่อเห็นนางก็เอาแต่ก้มหน้าลง นางจึงทำได้เพียงแค่เอียงคอมองดูด้วยความสงสัยเท่านั้น
ซูพ่านเอ๋อที่นั่งอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ของซ่านจินจื๋ออย่างว่าง่าย ได้ส่งเสียงไอออกมาเบาๆ: “พี่กู้มาได้อย่างไรเพคะ?”
“เป็นเรื่องของกว่างเสียนอย่างแน่นอน” กู้อ้าวเวยตอบกลับไป จากนั้นก็อ้าปากหาว แล้วเอนกายหลับตาลงอยู่ด้านข้าง ในระหว่างที่สั่นสะเทือนไปตลอดทางนั้น นางกลับหาเวลางีบหลับพักผ่อนได้ หากกลับไปถึงร้านยาเหย้าแล้ว ก็คงจะนึกเพียงแค่กองหนังสือที่คุณตาเหลือทิ้งไว้มากมายเหล่านั้น นางคงอดที่จะไม่อ่านไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นภายในร้านยาเหย้ายังมีสมุนไพรมากมายรอนางอยู่
กู้อ้าวเวยหลับตาลงพักผ่อน แต่ซูพ่านเอ๋อกลับพูดด้วยเสียงต่ำๆขึ้นว่า: “ท่านพี่จื๋อ…….. ทำไมท่านถึงต้องไปสัญญาว่าจะให้พี่กู้ดำรงตำแหน่งพระชายาด้วยละเพคะ หรือว่าท่าน…….”
“นางยังมีประโยชน์อยู่” ซ่านจินจื๋อมองไปทางใบหน้าด้านข้างของกู้อ้าวเวยที่ไร้ซึ่งเครื่องประทินโฉมใดๆ นัยน์ตาดำขลับ รูปร่างก็ยังผอมกว่าซูพ่านเอ๋อมากทีเดียว แต่เขากลับรู้สึกว่าศีรษะและมือทั้งสองข้างของนางยังสามารถทำเรื่องได้อีกมากมาย จึงอดที่จะกระตุกยิ้มมุมปากออกมาได้: “พ่านเอ๋อ นางเหมาะสมที่จะอยู่เคียงข้างข้าที่สุดแล้ว”
ซูพ่านเอ๋อมองไปทางแววตาที่สะท้อนออกมาของซ่านจินจื๋อ ด้วยหัวใจที่แทบจะแตกสลาย
ในปีนั้น หลังจากที่อาจารย์ล่วงลับไป เขาก็ใช้แววตาเช่นนี้มองนางมาตลอด
บัดนี้ แววตาเช่นนี้กลับถูกใช้กับแม่นางอีกคนหนึ่ง!
นางกัดริมฝีปากแน่น แต่กลับไม่ได้โต้แย้งใดๆออกไป ขอแค่เพียงเป็นเรื่องของซ่านจินจื๋อนางล้วนเห็นพ้องต้องยอมเสียหมดสิ้น ไม่เคยยอกย้อนกลับไปแต่อย่างใด แต่นางก็ทำได้เพียงแค่อยู่ในเงามืด และถูกคนเรียกขานว่าคุณหนูซูเท่านั้น
อาจเป็นเพราะว่าความคิดชั่วร้ายของซูพ่านเอ๋อนั้นถูกครอบงำไว้อยู่ในส่วนที่ลึกจนเกินไปก็เป็นได้ กู้อ้าวเวยลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกมือขึ้นไปแตะบนลำคอที่ถูกโหวเซ่อกรีดด้วยจิตใต้สำนึก เมี่ยวหารไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เห็นแค่เพียงเลือดที่ไหลออกมาตามซอกนิ้วเท่านั้น
รูม่านตาจึงหดลงเล็กน้อย
นางประมาทเลินเล่อเกินไป ก่อนที่จะล้างพิษที่มาจากเรือนลอยน้ำ พิษของโหวเซ่อที่อยู่บนร่างกายของนางก็ยังไม่ถูกกำจัดออกไปหมดสิ้น เมื่อสักครู่ที่นางออกแรง ทำให้บาดแผลที่ตกสะเก็ดแล้วปริและเลือดไหลออกมาอีกครั้ง
“พระชายา…….” เมี่ยวหารพุ่งเข้าไปหาด้วยจิตใต้สำนึกในทันที
กู้อ้าวเวยทำได้เพียงแค่นำยาที่อยู่ในขวดแก้วออกมาทาเท่านั้น จากนั้นก็นำผ้าผืนบางขึ้นมาพันคอไว้ : “ไม่เป็นไร ข้ากลับไปทานยาอีกสองสามเม็ด พิษนี้ก็มลายหายไปแล้ว”