บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 817
บทที่ 817โม่อี
สารทฤดูใบไม้ร่วงเต็มพื้น บรรดาชาววังกลับสาละวนง่วนอยู่กับงานเลี้ยงชิวเย่น
ได้ยินว่าซ่านจินจื๋อยังพักอยู่ในตำหนักของนางในหลิ่วและหยุนหว่าน คล้ายจะให้คนเหล่านั้นทำความสะอาดตำหนักเหลิ่งกงอันโอฬารแห่งนี้ทั้งภายในและภายนอก ทว่าฮ่องเต้เกือบจะเห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว ไม่เห็นไม่หือไม่อือ ซ้ำยังให้หวางกงกงบัญชาคนในสำนักกิจการภายในล้วนคอยจับตามองเอาไว้ เพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้
ย่างเข้าสู้ตำหนักปราศจากผู้คนขวางกั้น ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นของซางนิงเจือแววดุดันเหลือบมองไปทางองครักษ์ต้องห้ามสองนาย มุ่นคิ้วเล็กน้อยกลับไม่ได้เอ่ยอะไร ย่างเข้าไปในนั้น กลับมองเห็นเพียงสตรีอาภรณ์และผ้าโปร่งคลุมหน้าสีดำกำลังอ่านหนังสืออยู่ แผ่นหลังเหยียดตรง มือข้างหนึ่งกลับทาบลงบนโต๊ะอย่างเกียจคร้าน ประคองม้วนตำราเอาไว้
คั่นด้วยผ้าโปร่งคลุมหน้าผืนนั้น ซางนิงกลับรู้สึกถึงสายตาระวังตัวของหญิงสาว
ซ่านจินจื๋อก็เดินมาเบื้องหน้าในเวลานี้ สวมชุดสีน้ำเงินเข้มเรียบๆ แม้แต่เส้นไหมเงินทองสักเส้นก็ไม่มีให้เห็น มงกุฎเงินรัดเกล้า ดวงหน้าคมกริบดวงนั้นเยียบเย็นกว่ายามปกติหลายขนัด ปลายคางมีเคราไรๆ ขึ้นมาเล็กน้อย ยืนอยู่ต่อหน้าซางนิง ก่อนเอ่ยปาก “เจ้าทำงานให้ฮ่องเต้ ตอนนี้เพิ่งได้ไปมาหาสู่สะดวก”
สีหน้าของซางนิงชะงักงันเล็กน้อย เหลือบไปเห็นขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้วแล้วยื่นขนมอบผลไม้หวานไปบนโต๊ะหิน
ผู้มาใหม่ข้างกายของหวางกงกงนั่นเอง
ซางนิงเข้าใจในทันที ดีแต่หวางกงกงผู้นี้ยังระวังแล้วหาคนแปลกหน้ารุดมาปรนนิบัติ
ซ่านจินจื๋อเห็นเขานิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ ก็หมายจะยกมือขึ้น ซางนิงเบี่ยงหลบฝ่ามือของซ่านจินจื๋อได้อย่างหวุดหวิด กลับถูกกำปั้นจากขวามือทุบลงบนพื้น เจ็บปวดรวดร้าวคล้ายอวัยวะภายในบิดเข้าด้วยกัน เขาเช็ดเลือดที่ไหลซิบออกมาจากมุมปาก หัวเราะหยันหนึ่งที “ท่านอ๋องยังคงเหี้ยมเกรียมเช่นเคย”
“ยุทธภพเปลี่ยนแปลงง่าย นิสัยแต่กำเนิดยากเปลี่ยนแปลง” ซ่านจินจื๋อกัดฟันแน่น กล่าวทีละถ้อยทีละคำ ปรายตามองลงไปที่ซางนิงซึ่งค่อยๆ ตะกายขึ้นมาจากบน ก่อนกล่าวเสียงเย็นเยียบ “วันนี้ยังคิดจะได้รับความไว้วางใจจากข้า เสด็จพี่เห็นว่าข้าตาบอดจริงๆ เชียวหรือ?”
“สถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่ประทับของโอรสสวรรค์ ท่านอ๋องมิอาจพูดจาพล่อยๆ” ซางนิงถ่มเสมหะหนึ่งที ตะกายขึ้นมาด้วยดวงหน้าเปื้อนยิ้มตามเดิม
“เขายังคิดจะมอบตำแหน่งโอรสสวรรค์ให้แก่ข้า กลับไม่ถามไถ่ทุกผู้คนในวงศ์จักรพรรดิว่าต้องตาอสุรากระหายเลือดอย่างข้าคนนี้หรือไม่” ซ่านจินจื๋อหัวเราะเย้ยหยันหนึ่งที ครั้งนี้ไม่ได้กลับลงมือต่อ ทำเพียงปริปากเอ่ย “เจ้ารู้ถึงแหล่งที่อยู่ของเวยเอ๋อหรือไม่?”
“คนที่ใกล้ตาย ไยต้อง…”
น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด ท่อนไม้ปลายแหลมก้านหนึ่งก็ถากพวงแก้มของซางนิง เจาะเข้าไปในผนังด้านหลังของเขา
องครักษ์ต้องห้ามสองนายที่อยู่นอกประตูกำดาบรุดเข้ามาตามๆ กัน ส่วนหลิ่วเอ๋อที่สวมอาภรณ์นางในกำลังเดินมาบนทางเฉลียงยาว วางมือลงเบาๆ สายตาเต็มไปด้วยแววน้ำค้างแข็ง
ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้ว วิทยายุทธ์นี้หาใช่เคี่ยวกรำได้ชั่วข้ามคืนไม่ หลิ่วเอ๋อคนนี้ซ่อนจนถึงป่านนี้ ยากแท้หยั่งถึงนัก เหลือบมองหยุนหว่านปราดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว กลับเห็นว่าหยุ่นหว่านได้หยัดตัวขึ้นปลดผ้าโปร่งคลุมหน้าสีดำลงมาเรียบร้อยแล้ว เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงภายในนั้น สบมองซางนิงโดยตรง “ใต้เท้าซางนิง ไม่ได้เจอกันนาน”
ซางนิงทำเพียงหัวเราะเบาๆ ซ่านจินจื๋อกลับเลิกคิ้ว “ท่านแม่?”
“ปีนั้นตอนที่ข้ายังอยู่ในเทียนเหยียน ก็เคยพบเจ้าอยู่ข้างกายองค์ชายสอง” หยุนหว่านยิ้มบางๆ หลังจากขยิบตาให้ซานจินจื๋อแล้วก็ย่างเข้ามาด้านในเฉลียงยาว บัญชาให้หลิ่วเอ๋อออกไป
ซางนิงนิ่งงันก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นครุ่นคิดหัวคิ้วมุ่นขมวดสักพัก จึงพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าปีนั้น…”
ซ่านจินจื๋อได้ยินถ้อยวาจาของซางนิงชัดเจน ทว่าตอนที่สายตาโปรยไปที่ขันทีน้อยด้านข้างนั้น ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เวยเอ๋อเป็นอย่างไรกันแน่?”
“นางกำลังจะตายแล้ว ท่านอ๋องไยต้องถวิลหาคนตายคนหนึ่งด้วย?”
“เจ้ารนหาที่ตาย!” ซ่านจินจื๋อสาวเท้าฉับๆ พุ่งไปด้านหน้า
……
ซางนิงคุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงงานด้วยใบหน้ามีรอยฟกช้ำเต็มไปหมด ฮ่องเต้ซ่านต้วนโฉงอดครุ่นคิดด้วยความเจ็บใจไม่ได้ ภายในอกปวดร้าวยิ่งยวด เขากลับไม่รู้ว่าซ่านจินจื๋อเห็นความภักดีที่ซางนิงมีต่อตนได้จากไหนกัน
แต่หวางกงกงกลับหิ้วขันทีน้อยที่จมูกเขียวแก้มบวมเดินเข้ามาจากด้านข้าง ตบขันทีน้อยคนนั้นหนึ่งฉาด “ยังไม่ทูลฮ่องเต้อีก!”
ขันทีน้อยคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังชัดช้า ทูลแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเรือนเมื่อครู่อย่างสั่นสะท้าน ตอนที่เอ่ยถึงประโยคนั้นของหยุนหว่านฮูหยิน สีพักตร์ของซ่านต้วนโฉงพลันคล้ำเขียว ส่วนขันทีน้อยคนนั้นก็ตกใจจนขาสองข้างสั่นงั่ก “ใต้เท้าซางนิงเพียงแต่หวังให้อ๋องจิ้งลืมพระนางผู้นั้นเสีย จึงต่อยตีกันขึ้นมา ภายในเรือนระเนระนาด องครักษ์ต้องห้ามนอกประตูก็พลอยบาดเจ็บไปด้วย บ่าวเองก็…”
กล่าวถึงตรงนี้ ขันทีน้อยยังคงหอบหายใจด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็เหลือบเห็นอาการของฮ่องเต้ พลันตัวสั่นงันงกขึ้นมาชั่วขณะ แทบอยากเอาหัวมุดดินจนทนไม่ไหวแล้ว
หวางกงกงจ้องเขาปราดหนึ่งอย่างไร้ร่องรอย ก่อนรับช่วงอย่างร้อนรน “ฝ่าบาท ไว้ชีวิตหยุนหว่านฮูหยินมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าก็รอให้เขาตัดสินใจไม่ได้แล้ว” สายตาซ่านต้วนโฉงเย็นเยียบ กล่าวบัญชา “ในเมื่อเขาเห็นหยุนหว่านเป็นมารดาจริงๆ แล้ว เช่นนั้นตัวเลือกนี้ ก็ควรเตรียมไว้พร้อมแล้ว”
หวางกงกงสั่นไปทั้งตัว จากนั้นจึงเข้าใจถ้อยวาจาของซ่านต้วนโฉง “แต่นางยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง…”
“เช่นนั้นก็รีบพานางไปที่ด่านลั่วสุ่ยโดยเร็ว จัดการเรื่องราวเสร็จแล้วก็ฆ่าทิ้งเสีย” ปลายนิ้วของซ่านต้วนโฉงเคาะลงบนผิวโต๊ะเบาๆ หวางกงกงคนนั้นตอบสนอง ร้องเรียกบ่าวไพร่แล้วจึงไปตระเตรียมดำเนินการ แล้วลากขันทีน้อยที่แทบฉี่รดกางเกงเดินออกไปด้วย
คราวนี้ซ่านต้วนโฉงจึงบัญชาให้คนเปิดประตูห้องทรงงาน เดินออกไปที่ข้างกายของซางนิง “หลายวันมานี้ เจ้าชี้แนะองครักษ์ต้องห้ามภายในวังไปพลางๆ ก็ช่วยข้าจับตามองเรื่องของจินจื๋อเป็นอย่างดีด้วย”
“ผู้น้อยเกรงว่า…”
“ในวังใหญ่หลวงแห่งนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถบงการคนของจินจื๋อได้” ซ่านต้วนโฉงตบบ่าซางนิงเบาๆ ก่อนกล่าวซ้ำ “ใช่สิ ในตระกูลพวกเจ้าไม่ใช่มีเด็กที่ชื่อหงเซียวอยู่หรือ ข้างกายข้ายังขาดองครักษ์คอยอารักขาอยู่พอดีเลย”
ซางนิงหัวเราะร่วนอยู่ในใจ หลังจากตอบสนองกลับมาแล้วเหลียวหลังอีกครั้ง ซ่านต้วนโฉงที่สวมชุดคลุมมังกรก็ได้เดินออกไปไกลโขแล้ว
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซางนิงรู้สึกว่าเงาหลังในสายลมสารทฤดูนั้น เหมือนกันกับตอนที่ฮ่องเต้หมายจะสังหารล้างตระกูลเขาในปีนั้นไม่มีผิด เยือกเย็นจนออกจะน่ากลัว
หยัดตัวลุกขึ้นมาช้าๆ ซางนิงกัดฟันแน่น ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่เชื่อใจเขา เวลานี้เขาควรจะขอบคุณที่หงเซียวยังซ่อนตัวอยู่ในสำนักเยียนหยู่เก๋อ และนี่หาใช่ตำหนักองค์ชายไม่ น่าจะไม่มีสายลับล่วงรู้
แล้วเขาควรส่งข่าวออกไปอย่างไรดี?
ขณะที่กำลังแปลกใจเขาได้เดินเข้าไปในค่ายองครักษ์ต้องห้าม และเห็นว่าองครักษ์ต้องห้ามสองนายที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้ามาในโรงหมอหลวง ภายในพลันนิ่งงันไป หันเหทิศทางเพื่อไปถามว่าวันนี้ไม่มีพวกเขาสองคนแล้วใครจะไปคอยเฝ้าอารักขาอยู่นอกตำหนักกัน หัวหน้าองครักษ์ต้องห้ามคนนั้นครุ่นคิด พลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “เป็นผู้มาใหม่สองคนที่ใต้เท้าโม่อี ส่งมา ฮ่องเต้เจาะจงมาด้วยองค์เอง”
“เช่นนั้นก็ดี แต่ต้องระวังหน่อย ทิศทางลมในวังกำลังจะเปลี่ยนอีกครั้ง” ซางนิงตบบ่าหัวหน้าเบาๆ พลางยิ้ม หัวหน้าคนนั้นยังคงคอยถามเซ้าว่าเขาต้องการไปสั่งยาที่โรงหมอหลวงหรือไม่ เขาจึงหาโอกาสปลีกตัว
แยกตัวออกมาจนจัดแจงผ้าปูที่นอนอยู่ภายในห้องแล้ว ซางนิงจึงฉุกคิดขึ้นมาเฉียบพลัน
โม่อีคนนี้ยามปกติมักสงวนวาจา พฤติกรรมนิ่งเงียบไม่อวดดี ทว่าในปีนั้น กลับเป็นสหายสนิทของอ๋องจิ้งเหมือนเซียวไห่มิปาน แต่พลัดพรากกันนานหลายปี อ๋องจิ้งและโม่อีที่ท่าดีทีเหลวยังไม่เคยเลื่อนขั้นมาโดยตลอดคนนี้ยังคงติดต่อสื่อสารกันอยู่หรือไม่?