บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 838
บทที่ 838 คนที่รัก
การทำนายของตระกูลยู่เหมือนมันอยู่ในความทรงจำของกู้อ้าวเวยอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แม้แต่ซ่านจวนฮ่าวเหลือบมองกู้อ้าวเวยในคราวนั้น ตระกูลยู่ก็ให้มันเกิดขึ้น อีกทั้ง หลังจากนั้นยังล้อนางอีกว่า “หากเจ้าแต่งงานกับองค์ชายหก วันข้างหน้าก็คงไม่ต้องเจอเรื่องร้ายอะไร อย่างน้อยก็ยังได้เป็นพระชายาอยู่เหมือนเดิม”
“ข้าไม่เคยเจอองค์ชายหกมาก่อน แล้วก็ไม่ได้อยากจะเป็นพระชายาด้วย ให้ข้าหาคนที่ข้าชอบจริง ๆ ไม่ได้เหรอ?” ตอนนี้กู้อ้าวเวยถึงกับเหลือบตามองบนเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เพื่อไม่ให้ตระกูลยู่ถูกใครจับได้ เลยด่าออกไปอย่างเอาแต่ใจ “ข้ากำลังพักผ่อนอยู่ เสียงดังอะไรกัน”
ทำให้สาวใช้ที่อยู่นอกห้องตกใจวิ่งหายไปกันหมด มีแค่ชิงต้ายกับหยินเชี่ยวที่ค่อย ๆ วางอาหารเอาไว้หน้าห้อง แล้วก็จากไป ตระกูลยู่นั่งยิ้มอยู่ที่โต๊ะแล้วพูดว่า “เพื่อข้า เจ้าถึงกับใช้เสียงคุณหนูเอาแต่ใจเลยเหรอ”
กู้อ้าวเวยเองก็ยิ้มเหมือนกัน “แน่นอน แต่ว่าเจ้าบอกว่าในอนาคตจะมีคนมาใช้ชีวิตแทนข้า นางจะยังมีความทรงจำของข้าหรือเปล่า?”
“แน่นอน” ตระกูลหยุนพยักหน้าด้วยความจริงจัง “แต่ว่าวิธีของบรรพชน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าคนที่มาเป็นคนยังไง หากเป็นคนเอาแต่ใจเหมือนเจ้า ก็คงแค่มาเพิ่มความยุ่งยากให้ข้ามากกว่า”
“ข้าจำได้ว่าเจ้ามีหนอนอยู่อย่างหนึ่ง สามารถให้ข้าลืมความรักกับความทรงจำหลายอย่างได้ เจ้าทำให้ข้าหน่อยได้ไหม?” กู้อ้าวเวยขยับเข้าไปใกล้ด้วยตาที่เป็นประกาย นางจับไปที่แขนของนางไม่ปล่อย “ท่านพี่ยู่ ข้าไม่อยากกระทบคน ๆ นั้น ข้าอยากให้นางอาศัยร่างกายของข้าแล้วได้รับความสุขนะ”
หลังจากนิ่งไปนาน ตระกูลยู่ก็พยักหน้าอย่างจริงจัง
หลังจากนั้นความทรงจำเรื่องของความรักก็หายไปจนหมด แม้แต่ความทรงจำเกี่ยวกับตระกูลยู่ก็หายไปด้วย อีกทั้งความทรงจำที่เกี่ยวข้องบ้างอย่างก็กระทบไปด้วย แต่กู้อ้าวเวยยังจำภาพของยันต์ได้ ในวันแต่งงานนางโยนยันต์สีเหลืองลงไปในกระถางไฟ ให้มันเผาไหม้จนสิ้น
กู้อ้าวเวยนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ขอบเตียง ปล่อยให้หมอที่โม่ซานหามาตรวจชีพจร นางหลับตาอยู่ในผ้าม่านกั้น ในหัวของนางมีแต่ความทรงจำที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน แต่มันเหมือนอยู่ใกล้มาก ๆ คิดว่าน่าจะเป็นตอนที่กู้อ้าวเวยอายุสิบห้าสิบหกปี
ยืนอยู่หน้าเขาหยินซาน มีบัณฑิตสวมชุดเทากำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ด้านหลังมีการแบกตะกร้าหนังสือ ฝนกำลังโปรยปรายลงมา นางกำลังเดินไปหลบฝนตรงนั้น ในมือของนางกำลังกำดอกไม้ช่อหนึ่งในมือ กระโปรงของนางเปื้อนไปหมด นางมองไปที่บัณฑิตคนนั้น “เจ้ากำลังจะไปสอบที่เทียนเหยียนเหรอ?”
บัณฑิตคนนั้นหน้าตาธรรมดา แต่กลับทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกอบอุ่น เวลาเขายิ้มมีลักยิ้มด้วย หากผู้หญิงต้องเป็นแบบทลายเมืองได้ แต่น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง “จริงสิ อากาศแบบนี้คุณหนูมาทำอะไรที่เขาหยินซาน?”
“คนในจวนไม่ค่อยดีกับข้า ท่านตาชอบดอกไม้ป่าที่นี่ ข้าเลยออกมาเก็บให้ท่าน” นางมองไปที่บัณฑิตนั่นตาไม่กระพริบเลย นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ากลับไปกับข้าไหม ไปเป็นสามีข้าดีหรือเปล่า?”
บัณฑิตคนนั้นหัวเราะออกมา “เสื้อผ้าของคุณหนู ต่อให้ข้าไม่กินไม่ดื่มสองปีก็ยังหาเงินซื้อไม่ได้เลย ข้าจะคู่ควรกับท่านได้ยังไง?”
กู้อ้าวเวยเกาหัว จากนั้นก็หัวเราะ “ก็จริง ไม่เหมาะสมกันเลย”
บัณฑิตพยักหน้า ทั้งสองคนก็ไม่มีอะไรจะพูดกันอีก
แต่หลังจากนั้นเรื่องมันกลับเป็นไปอย่างที่คิด หญิงสาวใสซื่อเริ่มมีความรักครั้งแรก บัณฑิตหาทุกสามถึงห้าวันจะไปหาให้กวนใจ บัณฑิตถึงแม้จะบอกว่าไม่คู่ควรกับนาง แต่กลับไปอยู่เล่นเป็นเพื่อนนางทุกวัน เขาสวมหน้ากากพานางไปไหว้พระขอพร เข้าป่าไปจับกระต่าย อีกทั้งยังหาที่เปลี่ยวไปเล่นว่าวด้วยกัน
กู้อ้าวเวยเหมือนรู้สึกว่าจะชอบเขา แต่น่าเสียดายหลังจากนั้น บัณฑิตเดินทางไปสอบในเมือง ก่อนไปเขาได้ให้คำมั่นสัญญาใต้แสงจันทร์ว่า หลังจากสอบเสร็จแล้วสามวันไม่ว่าจะสอบติดหรือเปล่า เขาจะกลับมาเป็นสามีของกู้อ้าวเวยให้ได้ กู้อ้าวเวยรับปากนางด้วยความสุข แต่การกลับมาของเขา มันกลับกลายเป็นแค่ศพของบัณฑิตคนนั้น
เขาม้วนด้วยเสื่อ แล้วโยนฝังไปในหลุมฝังศพรวม ข้างหูมีแต่เสียงร้องไห้
ตระกูลยู่ยังคิดจะปลอบใจนาง กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นมา “คนตายไปแล้วก็คือตายไปแล้ว”
พูดจบ นางไม่หันหลังกลับไปมองเลย การใช้ชีวิตหลังจากนั้นของนางก็เป็นไปอย่างปกติ นางยิ้มหัวเราะมากกว่าเมื่อก่อนมากด้วย และนางก็เริ่มเรียนหนังสือไปพร้อมกับตระกูลยู่ นางอ่านหนังสือมากมาย ตอนที่นางได้ยินคำว่าอมตะ นางก็หัวเราะออกมา “ความเป็นอมตะ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่แล้วยังไง จิตใจของคนเราน่ากลัวกว่าภูตผีอีก ต่อให้เจ้ามีหัวเป็นหมื่นหัว ก็ไม่พอให้ตัดหรอก”
วินาทีนั้น สายตาของกู้อ้าวเวยที่มีแต่ความอาฆาตมันทำให้ตระกูลยู่ตกใจ
กู้อ้าวเวยได้สติกลับมา มือที่ยื่นไปตรวจชีพจรเก็บกลับมาแล้ว หมอที่อยู่นอกม่านเอาแต่พูดว่ามันเป็นไปได้ยังไง ทำนางยังมีชีวิตอยู่ได้อีก
กู้อ้าวเวยเก็บมือกลับมาแบบเหม่อลอย นางมองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง
นางไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าของร่างเดิมมีคนอื่นในใจอยู่แล้ว ยิ่งรู้สึกไม่ได้เลยว่าวันที่นางอยู่ที่สุสานไร้ญาติ นางกลับไปด้วยความรู้สึกแบบไหน นางเอาแต่พูดซ้ำคำที่ว่า “จิตใจของคนเราน่ากลัวกว่าภูตผี”
แต่ในใจของนางเหมือนถูกใครทุบอย่างแรง เนื้ออันอ่อนนุ่มมันเหมือนเด้งออกมา นางรู้สึกว่านางเหมือนเด็กผู้หญิงอายุสิบห้าสิบหกคนนั้นจริง ๆ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านหมอไม่ต้องตกใจ คนฝึกวรยุทธ์เมื่อขยับชีพจรก็จะเป็นแบบนี้แหละ จัดยาให้ข้าก็พอแล้วนะ”
ท่านหมอนอกผ้าม่านงงมาก แต่ก็เบาใจ เมื่อได้ยินว่ากู้อ้าวเวยให้ไปจัดยาเขาก็รีบไป โม่ซานเปิดม่านออก “เหมือนเจ้าจะไม่เหมือนเดิม?”
“ไม่เหมือนยังไง?” กู้อ้าวเวยเงยหน้าไปมองนาง แต่ก็เหมือนจะรู้สึกขอบคุณที่พิษมันกำเริบ คิดว่าครั้งนี้พิษกำเริบคงรุนแรงมาก ถึงได้ทำให้ไปปะทุพิษที่นางตระกูลยู่เหลือไว้ในร่างกายของกู้อ้าวเวยขึ้นมา ความทรงจำเก่าก่อนก็ค่อย ๆ กลับมาจนหมด แม้แต่จิตใจความคิดของนางก็เปลี่ยนไปด้วย
หากบอกว่าก่อนหน้านี้ นางคิดว่าที่นางมาที่นี่มันคือภารกิจชีวิต
ตอนนี้นางรู้แล้วว่า ที่นางมาที่นี่ ก็แค่มาช่วยแก้ไขปัญหาให้คุณหนูเอาแต่ใจคนหนึ่งเท่านั้น แล้วนำการแต่งงานกับความสุขมาไว้กับตัว นางกับกู้อ้าวเวยในตอนนั้น มันคือคนสองคน มีชีวิตที่แตกต่างกัน
แต่กู้อ้าวเวยคนก่อนเลือกที่จะตาย แต่ก็ยังเลือกที่จะทิ้งยันต์เหลืองเอาไว้ให้กับครอบครัว หวังว่าให้คนอื่นมีความสุขแทนนาง เพื่อแก้ไขโชคชะตา
อย่างที่ยู่จือกับตระกูลยู่พูด มันเป็นชะตาชีวิตของนาง มันคือแนวโน้มทั่วไป
แต่กู้อ้าวเวยดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ทุกอย่างก็แค่เด็กผู้หญิงใสซื่อคนหนึ่งเอาความสุขในอนาคตมาเดิมพันเท่านั้น
“ข้าเองก็จะเดิมพันดูสักครั้ง” กู้อ้าวเวยลงมาจากเตียง ร่างกายของนางอ่อนแรงจนรู้สึกหนักอึ้ง แต่ในใจของนางยังเต้นแรง “ในเมื่อฝ่าบาทต้องการรับช่วงเรื่องอมตะแก่ไม่ตาย ข้าก็จะไม่ไปยุ่ง”
“แล้วเจ้าจะไปไหน?” โม่ซานขมวดคิ้ว
“พระชายาอ๋องจิ้งตายแล้ว องค์หญิงเอ่อตานก็ตายแล้ว ข้าจะยังต้องกังวลอะไรอีก?” กู้อ้าวเวยกระพริบตาให้นาง แล้วพูดว่า “ข้าไปเป็นคนขององค์ชายสามที่เมืองเทียนเหยียน หรือไปที่เย่นเจียง เอายาถอนพิษไปแลกตำแหน่งขุนนางมาสักตำแหน่งก็ได้”
“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ ไม่ว่าจะทางไหน ตอนนี้ขอแค่เจ้ากลับไปที่เมืองเทียนเหยียน ก็จะมีคนจับตามองเจ้านะ”
“พวกเขาบอกว่า ชะตาชีวิตข้ามันคือชะตาฟ้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็อยากจะรู้ว่า คนในเมืองเทียนเหยียนจะขวางได้ไหม” สายตาของกู้อ้าวเวยจ้องไปที่ซูพ่านเอ๋อ นางยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องการแก้แค้น เสียเวลาไปอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป?”