บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 847
บทที่ 847 ตายต้องไว้หน้า
หลังจากความโกลาหล หลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง
โดยเฉพาะพื้นที่ทางชายแดนของเย่นเจียง ยกเว้นกำแพงเมืองและป้อมปราการที่ซ่อมบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว คูเมืองที่เหลืออยู่แทบจะทรุดโทรมบุโรทั่งไปหมด เหล่าทหารที่เหลืออยู่ลำพังแค่สร้างป้อมปราการรวมถึงจัดการเรื่องกระจายกำลังของเจ้าหน้าที่แต่ละภาคส่วนนั้นยังต้องสู้สุดแรงเกิด กำลังพลไม่เพียงพอ
เคราะห์ดีที่หลังจากกู่เซิงจัดการเรื่องท่านซูเสร็จแล้ว ก็มิได้เรียกเก็บภาษีโดยบริบูรณ์แต่ลดภาษีแทน ชาวบ้านไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดสน รถม้าของกู้อ้าวเวยนั้นดูเหมือนจะมาแบบปุบปับอย่างเห็นได้ชัด โจรที่อยู่ในภูเขาก็เพิ่มขึ้นด้วย หากไม่ใช่เพราะโม่ซานและยู่หงอยู่ข้างๆ ระหว่างทางยังไม่รู้เลยว่าจะยากลำบากมากเพียงใด
ความยากลำบากเพียงอย่างเดียว ก็คือเงินของชางหลานไม่ค่อยนิยมใช้กันในที่แห่งนี้
“บนตัวพวกเจ้าไม่มีเงินกันเลยสักแดง?” กู้อ้าวเวยอดชำเลืองมองยู่จือปราดหนึ่งไม่ได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่นางและกุ่ยเม่ยมาที่เจียงเยี่ยน เรื่องเงินล้วนมีกุ่ยเม่ยเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น ลักษณะเงินของสองแคว้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะสกุลเงินก็สลักลวดลายที่แตกต่างกันด้วย ต่อให้กู้อ้าวเวยนึกอยากไปแลกเงิน ก็ต้องแลกแบบสองต่อหนึ่ง ง่ายต่อการถูกผู้มีเจตนาแอบแฝงมาแอบอ้างเป็นอย่างยิ่ง
“ตระกูลยู่ของข้ายามปกติไม่ออกมาข้างนอก ต่อให้ออกโดยทั่วไปก็ล้วนบริโภคเสบียงอาหารของทางการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลังจากข้าหายู่หงพบแล้ว ทั้งเนื้อตัวก็เหลือเงินแค่สองตำลึง เดี๋ยวนี้ชาวบ้านต่างกักตุนเสบียงอาหารไว้ เงินสองตำลึงแทบซื้ออะไรไม่ได้เลย” ยู่จือเองก็จนปัญญา
กู้อ้าวเวยได้แต่ปลงตก หากรู้แต่แรก ก่อนหน้านี้นางก็น่าจะหาไปกู้จี้เหยาขอข้าวของติดไม้ติดมือมาด้วยสักอย่าง ตอนนี้ยากรับมือเสียแล้ว สิ่งสำคัญคือไม่มีเงินซื้อสมุนไพร
ขณะที่ไม่กี่คนขมวดคิ้วมุ่นอยู่นั้น ยัยไง่หงก็เอ่ยปาก “นายน้อยคนโตมีกิจการอยู่ที่นี่ ไม่สู้ไปขอยืมเสียหน่อยดีกว่า ดูเหมือนว่าจะเปิดไร่ธัญพืชนะ”
“มากความสามารถขนาดนั้นเชียว?” กู้อ้าวเวยอึ้งงัน
“ถ้าหากนายน้อยคนโตไม่มีความสามารถอะไรเลย นายน้อยคนรองก็คงไม่ถูกฮ่องเต้ให้ความสำคัญเยี่ยงนี้” ยัยไง่หงยังคงยิ้มตาหยี ปรี่เข้าไปพูดอยู่ข้างตัวกู้อ้าวเวย “นายน้อยรองก็ไม่ได้โง่ ครั้นเขาเข้าสู่แวดวงราชสำนัก ทั้งครอบครัวต่างก็เข้าสู่แวดวงราชสำนักกันหมด ตอนนี้เปิดห้างร้านไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ก็ถือว่าเป็นหูเป็นตาให้ฮ่องเต้ด้วย นับประสาอะไรนายน้อยรองเป็นข้าราชสำนักใหม่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ภูมิหลังแตกต่างกับนางสนมและองค์ชายคนใดๆ ฮ่องเต้ย่อมให้ความสำคัญเป็นธรรมดา”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
ก่อนหน้านี้กู้อ้าวเวยยังนึกแปลกใจว่าเหตุใดเมิ่งซู่ถึงได้ไต่เต้าขึ้นสูงขนาดนี้ ที่แท้ก็มีความสัมพันธ์ระดับนี้อยู่วงในนี่เอง
โม่ซานกลับมุ่นคิ้ว “เหตุใดคนของเมืองเทียนเหยียนถึงได้มีหูมีตามากมายขนาดนี้”
“นี่เรียกว่าเตรียมพร้อมระวังภัย” ยัยไง่หงหัวเราะพลางลูบแผ่นป้ายแล้วเดินออกมา ประชิดไปอยู่ข้างกายโม่ซาน “คุณหนูโม่ซานหน้าตาดีทั้งยังเป็นวรยุทธ์อีก ช่างเหมาะสมกับนายน้อยคนโตยิ่งนัก ท่านไปรับเงินพร้อมกับข้าสักเที่ยว จะได้วาดภาพเหมือนทิ้งไว้สักแผ่นด้วยเลย วันหน้าท่านก็ไม่ต้องคืนเงินแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”
มุมปากของโม่ซานกระตุก ก็ไม่รู้ว่าเจ้านายบ้านไหนถึงได้ตามใจเยี่ยงนี่ ยัยไง่หงปริปากเอ่ยแต่ละคำล้วนเป็นเหตุให้ผู้คนปวดหัวไม่รู้จบ แต่ว่าคิดถึงความวุ่นวายในละแวกใกล้เคียงยังค่อนข้างโกลาหลอยู่นั้น โม่ซานก็มิได้บอกปัด พานางเดินไปบนหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงสักเที่ยว ปล่อยให้ไม่กี่คนพักฝีเท้าอยู่ในอารามร้างแถวนั้นชั่วคราว
เห็นว่าต้องล่าช้าไปอีกหลายวัน ยู่จือยิ่งไม่พอใจขึ้นเรื่อยๆ “หยุดเป็นพักๆ เมื่อไรจะถึง?”
“ต่อให้พวกเราเร่งฝีเท้า กู้จี้เหยาก็ไม่ได้นำวัสดุยาอื่นๆ กลับมาด้วย ดูสภาพแล้วกู่เซิงคงไม่เชื่อข้าเป็นแน่ นับประสาอะไรที่ล่ายเสวียนลูกน้องของเขาไม่ใคร่ชื่นชอบข้าแต่ไรมาอยู่แล้ว ในใจกลัวแต่เห็นข้าอยู่ในประเภทธิดาอสูรไปแล้วกระมัง” นั่งอยู่บนกองฟางหนาๆ หันหน้าเข้าหาลายสักค่อยๆ รื้อฟื้นวัสดุยาอย่างถี่ถ้วนและเปรียบเทียบกับวัสดุยาที่ซื้อมาตามรายทาง ในที่สุดก็มีความคืบหน้าเล็กน้อย
“ท่านนิ่งขรึมระงับอารมณ์ทั้งอย่างนี้”
“ชีวิตคนเรายาวนาน ไยต้องเร่งรีบ” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นเกาปากแผลที่ตอนนี้เริ่มคันยุบยิบ ต่อหน้าไม่กี่คน นางไม่ได้เลือดซิบเพียงแค่ครั้งเดียว โดยทั่วไปแล้วจุดไหนปวดมากถึงมีเลือดซิบออกมา จากนั้นก็โปะด้วยสมุนไรถอนพิษส่วนหนึ่ง แล้วค่อยหลับสักตื่น
ตอนนี้ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ทั้งน้อยใหญ่ แต่เหตุใดถึงมีแค่ส่วนหัวที่ปวด กู้อ้าวเวยกลับไม่เคยแตะต้องเลย เวลานี้รอยแผลบนหน้ากลายเป็นสีขาวอมเทาแล้ว เพียงแต่สีของดวงตาคู่นั้นกลับสว่างวูบขึ้นหลายขนัด อีกทั้งยังเจือสีแดงแห่งแววยอดชู้ ตาขาวก็มีเส้นเลือดขึ้นมาเล็กน้อย
ยู่จือกอดขาแล้วมองนางปราดหนึ่ง “พิษในตัวท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“คงไม่ตายในตอนนี้ เช่ออี้จื่อคงต้องรออีกสักระยะจึงใช้ได้อีก คลี่คลายความลับของลายสักก่อน ข้าค่อยเป็นอิสระ ถ้าหากยังทัน ตอนอยู่กับทางกู่เซิงข้าก็คงถอนพิษได้” ตอนที่เอ่ยถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยนิ่งงันไปก่อน จากนั้นจึงหยิบเงื่อนปมน่าเกลียดอันหนึ่งออกมา โยนใส่อ้อมอกของยู่จือ “ถ้าหากข้าไม่อาจรอดพ้นวิกฤตินั้นไปได้ เจ้าก็นำเอาของสิ่งนี้ไปหาตระกูลหยุนที่เอ่อตาน พวกนางจะพัดวีเจ้าเป็นอย่างดี”
“หมายความว่าอย่างไร” ดวงตาของยู่จือหรี่ลงเล็กน้อย
“ต่อให้หายาแก้พิษพบ ก็คงไม่สามารถรับรองได้ว่าข้าจะไม่เจ็บปวด เผลอๆ อาจจะเจ็บจนตายก็ได้” กู้อ้าวเวยกล่าวเรื่องนี้อย่างสบายๆ ท้ายที่สุดสายตากลับเคลื่อนไปบนหนังสือ “ตายต่อหน้าของพวกเจ้าไม่กี่คนนี้ น่าอนาถสักเพียงใดก็ไม่เป็นไร ข้าไม่อาจตายต่อหน้าคนที่เป็นญาติสนิทได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงฝันร้ายแน่”
“ตายยังต้องไว้หน้า”
“ชีวิตข้ามีคำขอเพียงเท่านี้ หน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา ตายก็ต้องสมเกียรติสมศักดิ์ศรี ไม่เช่นนั้นชีวิตนี้ของข้าคงอยู่เสียชาติเกิด ตอนนี้ถูกพวกเจ้ามองรอยแผลบนหน้าในทุกๆ วันข้าแทบอดรนทนไม่ไหวอยากกระโดดจมน้ำตายเสีย” กล่าวถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยก็ชักมีอารมณ์โกรธอยู่หลายส่วน รู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง
ยู่จือเก็บเงื่อนปมนั้นเอาไว้อย่างแนบเนียน รอกระทั่งยู่หงล่าสัตว์กลับมาแล้ว มองเห็นว่ายู่จือเอาผ้าโปร่งสีทองคลุมบนศีรษะของกู้อ้าวเวย ซ้ำยังนั่งยองๆ ตบกระหม่อมนางเบาๆ อยู่ข้างกายอีก “ถ้าเจ้าอยากแสร้งเป็นคนตระกูลยู่ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นน้องสาวข้า ดูท่าทางใจเสาะของเจ้าสิ”
“ถ้าเจ้าไม่ใจเสาะ ป่านนี้ก็น่าจะหวานหยดย้อยกับยู่หง รักใคร่ปานจะกลืนกินแล้ว จะตายยังไว้หน้าซ้ำด่ากราดคนอื่น สมน้ำหน้าที่คนอื่นดูถูกเจ้าแล้ว” กู้อ้าวเวยกลอกตาใส่นางอย่างไม่สบอารมณ์ กลับมิได้ปลดผ้าโปร่งสีทองนั่นลง
ยู่จือเห็นว่ายู่หงเข้ามาพอดี บัดนั้นจึงเลิ่กลั่ก หมายจะคิดบัญชีกับกู้อ้าวเวย
ยู่หงปั้นหน้าขรึมดึงยู่จือออก พูดกับกู้อ้าวเวยว่า “ละแวกนี้มีขบวนรถของทูตเอ่อตาน”
กู้อ้าวเวยนิ่งงันไปก่อนเล็กน้อย จากนั้นจึงปริปาก “เป็นไปได้อย่างไร?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าเจ้าจะไปหาพวกเขา ข้าก็จะลากเด็กสาวสองคนนั้นกลับมา เลี่ยงมิให้เสียเวลา” เสียงของยู่หงยังคงทุ้มต่ำ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ชั่วร้ายเหมือนหลายวันก่อนนี้แล้ว
กู้อ้าวเวยคิดสักพัก ก่อนพยักหน้า คลุมชุดคลุมสีดำวิ่งออกไปข้างนอก
ยู่หงวางยู่จือลง แล้วมองนาง “เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับนางขนาดนี้เชียว?”
“นางเป็นผู้นำตระกูลหยุน ข้าเองก็นับว่าเป็นผู้นำตระกูลยู่ พวกเรามีสัมพันธ์ดีต่อกัน จะมีประโยชน์ต่อไปในอนาคต รอกระทั่งคลี่คลายมรสุมนี้เสร็จ ข้าจะพาเจ้าติดปีกบินไปสุดหล้าฟ้าเขียว” ยู่จือห้อยโหนอยู่บนแผ่นหลังของยู่หง ยังคิดว่ากลัวถูกเขาโยนลงมา มือสองข้างจึงกำแน่นขึ้นมา
ยู่หงกลับถอนหายใจหนักหน่วงเฮือกหนึ่ง แบกนางเดินออกไปข้างนอก “แต่ว่าองค์หญิงเอ่อตานตายแล้ว อีกอย่างใบหน้าดวงนั้นของนาง…”
“นางมีวิธีจะใช้ทุกอย่างที่ใช้การได้ ต้องอับอายก็ไม่สนใจ” ยู่จือฟุบลงบนไหล่ของยู่หง ถอนหายใจออกมาเบาๆ “เดิมทีข้าก็อยากทำให้ตระกูลยู่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับตระกูลหยุน ตอนนี้กลับไม่ต้องการแล้ว”
“อะไรนะ? เจ้าก็มีช่วงที่กลัวเป็นด้วย?” ยู่หงหัวเราะเย็นชา
“อันที่จริงข้าก็อยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมเคียงกับเจ้า เรื่องที่พวกนางคิดพิจารณากันนั้นวุ่นวายเกินไป ก้าวไหนเลยจะไม่ใช่การเดินบนคมดาบ ต่อให้แค่ลื่นไถลครั้งหนึ่ง นั่นก็ต้องเกิดรอยแผลที่เป็นทางยาวด้วยเช่นกัน” ยู่จือแสร้งถอนหายใจ มืออีกข้างกลับโอบรอบลำคอของยู่หง ความรักใคร่เต็มดวงตา น่าเสียดายที่ยู่หงมองไม่เห็น ได้แต่บังคับรถม้าลงเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย