บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 858
บทที่ 858 ราชทูตของเย่นเจียง
เย่นเจียงตั้งใจส่งราชทูตมาเพื่อปรองดองก่อน ทั่วทั้งแคว้นต่างลือกันให้ว่อน
ซ่านจินจื๋อไม่ได้ออกไปไหนอีกเลยนับตั้งแต่วันที่บีบแก้วจนแตกละเอียด ในวังหลวงต่างเหงาหงอย เศร้าสร้อย ไม่ให้หญิงใดเข้ามาอีกแม้แต่คนเดียว ในวันนี้หวางกงกงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ นำเรื่องการมาของราชทูตเย่นเจียงมาทูลรายงาน “วันนี้ฝ่าบาทไม่สะดวกจะพบพ่ะย่ะค่ะ หวังว่าอ๋องจิ้งจะลงมาจัดการเรื่องนี้เอง”
“เมืองเทียนเหยียนกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ ไม่มีองค์ชายคนไหนที่สามารถทำงานได้เลยหรือ?”ซ่านจินจื๋อเอนกายพิงอยู่บนเตียง ในมือกำลังเล่นกับลูกแมวสองตัว ด้วยท่าทางเยือกเย็น ใต้ตาดำคล้ำ ราวกับไม่ได้หลับมาแล้วหลายวัน
หวางกงกงรีบโค้งตัวเดินไปข้างหน้า“องค์ชายสามโรคภัยรุมเร้า องค์ชายหกก็ไม่รู้เรื่องของพิธีการ”
“ซ่านต้วนเฟิงล่ะ?”ซ่านจินจื๋อเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความเย็นชา ในขณะที่จะลุกขึ้นยืนนั้น ลูกแมวสองตัวก็เดินตามเขามา เลียอุ้งเท้าพลางใช้ตัวคอยคลอเคลียข้างๆเท้าของซ่านจินจื๋อ ดวงตากลมโตทั้งคู่ก็มองตามซ่านจินจื๋อมองไปที่หวางกงกงเช่นกัน
“องค์ชายเก้า……ตอนนี้ป่วยหนัก คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน อีกทั้งตอนนี้ฮูหยินหยุนหว่านกับคนอื่นๆก็อยู่ในโรงเตี๊ยมกัน เกรงว่าถ้าราชทูตเย่นเจียงมาแล้ว จะทำให้มีปัญหาได้”หว่างกงกงรีบเก็บสายตาอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าแมวสองตัวนี้มีอะไรดีนักหนา
ซ่านจินจื๋อถอนหายใจอย่างแรงสองครั้ง ก้มตัวลงอุ้มแมวสองตัวขึ้นมาแนบอก แล้วพูดขึ้นมาว่า“เมื่อก่อนโรงเตี๊ยมเป็นทางผ่านของน้ำ ตอนนี้ได้เปลี่ยนทำเลแล้ว เหมือนจะอยู่ไม่ไกลจากจวนของข้าเท่าไหร่นัก ไปจัดการหาที่หาทางให้ฮูหยินหยุนหว่านไปพักที่จวนของข้า แล้วนำโรงเตี๊ยมให้พวกราชทูตพักอาศัย”
“ถ้าหากให้คนรู้ว่าราชทูตของเอ่อตาน……”
“นี่เป็นเรื่องที่เจ้าต้องจัดการอย่างระมัดระวัง จัดหาคนที่มีความสามารถไป ฮูหยินอยากจะทำอะไรก็ให้นางทำ ทางที่ดีที่สุดให้นางปล่อยข่าวออกไปให้กู้อ้าวเวยกลับมา เข้าใจไหม?”ใบหน้าอันเย็นชาของซ่านจินจื๋อมองลอดผ่านไหล่ของหวางกงกงไป และยังได้พูดอีกว่า“เสี่ยวป๋ายกับเสี่ยวฮัวช่วงนี้กินน้อยลงมานิดหน่อย ไปหาคนที่เลี้ยงเป็นมาเลี้ยงแมว”
“พ่ะย่ะค่ะ”หวางกงกงที่ได้ยินในสิ่งที่แปลกประหลาด แต่ใจก็ยังถือว่าสามารถวางลงมาได้
ถึงซ่านจินจื๋อจะพูดเช่นนี้แต่เขายังคงคอยให้คนจับตาดูหยุนหว่านให้ดี ดูท่าแล้วคงจะเตรียมไม่ยืนข้างกู้อ้าวเวย
เพียงแต่พอเวลาผ่านไปนาน กู้อ้าวเวยยังคงไร้ข่าวคราวไม่มีวี่แววใดๆ ศพสองร่างของหญิงสาวยังคงไม่ได้ฝัง แต่กลับยากที่จะแยกแยะได้
ซ่านจินจื๋อออกไปเดินน้อยมาก ตอนนี้กลับเดินอุ้มแมวออกไป แต่กลับพบฉีหรัวที่กำลังเตรียมจะออกจากวังพอดี ทั้งสองสบประสานสายตากัน ฉีหรัวมองผ่านสายตาของเขาไป ไม่สนใจนางกำนัลกับขันทีที่บอกให้นางทำความเคารพ เดินตรงออกจากวังไป
“คุณหนูฉีหรัวเป็นเพียงแค่องค์หญิงในนามเท่านั้น ช่างไม่รู้กาลเทศะและมารยาทเสียจริง”
ขันทีน้อยที่อยู่ด้านหลังบ่นพึมพำไปหนึ่งคำ ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นช้าๆ“ฉีหรัวคือพระชายาในภายภาคหน้าของอ๋องจงผิง หัวของเจ้า คงไม่อยากได้แล้วใช่ไหม”
ขันทีน้อยร่างสั่นเทาด้วยความกลัว ไม่รอให้ซ่านจินจื๋อสั่งการ เขารีบวิ่งไปรับการลงทัณฑ์โบยยี่สิบทีอย่างรวดเร็ว
นางกำนัลขันทีที่อยู่ด้านหลังต่างพากันเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ช่วงนี้หัวใจของซ่านจินจื๋อเอาแต่พะวง มักจะรู้สึกเหมือนมีอะไรเกิดขึ้นกับกู้อ้าวเวย ทางด้านโม่อีก็เหมือนข่าวคราวจะขาดหายไป ดูท่าแล้วเพราะวันนี้ราชทูตของเย่นเจียงมาเยือน การส่งข่าวข่าวจะเป็นการไม่เหมาะสม
เปลือกตาของเขากระตุกไม่หยุด
ใต้เท้าของเขาหิมะลึกลงไปมาก ซ่านจินจื๋อกลับนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาขมวดคิ้วเป็นปม“เมื่อครู่ หวางกงกงบอกว่าราชทูตที่ไหนจะมานะ?”
“เย่นเจียงพ่ะย่ะค่ะ”
เท้าหยุดชะงัก ซ่านจินจื๋อใช้มือหนึ่งวาดผ่านหัวของลูกแมวไป แล้วหัวเราะเบาๆ“ถ้าอย่างนั้นก็ดี มันจะใช้เวลานานเท่าไหร่”
“มาวันนี้เมืองหลวงของเย่นเจียงใกล้กับพวกเรามาก อย่างเร็วก็ยี่สิบวัน อย่างช้าสุดก็หนึ่งเดือน”ซางนิงเดินมาจากที่ไม่ไกลมาก ทำท่าคารวะซ่านจินจื๋อ“อ๋องจิ้ง”
ซ่านจินจื๋อมองไปที่เขาอย่างเฉยชา พอเก็บสายตาบนใบหน้า แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า“มีเรื่องอะไร?”
“ครั้งนี้เย่นเจียงได้ส่งลูกสาวของตระกูลยู่สองคนทำการทำนาย ฮ่องเต้หวังว่าท่านจะรับไว้ แต่อย่าได้แสดงออกชัดเจนเกินไป”ซางนิงพูดจบ ก็นำเรื่องที่เกี่ยวกับการต้อนรับราชทูตรายงานกับซ่านจินจื๋อทั้งหมด ไม่ได้ถามถึงเรื่องของลูกแมวแม้แต่น้อย
ซ่านจินจื๋อพยักหน้าแสดงให้เห็นว่าเขารู้แล้ว ยุ่งอยู่ทุกวัน
พอนับอย่างละเอียด ราชทูตของเย่นเจียงใช้เวลาไปยี่สิบสี่วันกว่าจะมาถึงเมืองเทียนเหยียน
กู้อ้าวเวยที่อยู่ในรถม้าไม่ได้ชื่นชอบฤดูหนาวเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะดีต่อบาดแผลของนาง แต่ขาสองข้างกลับปวดเมื่อยจะทนไม่ได้ คนที่ฝังเข็มเป็นก็มีแค่นางเพียงคน
โม่ซานน่าจะจากไประหว่างทาง แต่ระหว่างทางก็พบเข้ากับคุณหนูรองของตระกูลโม่กับสามีนาง คุณหนูรองฝากนำกล่องเครื่องประดับใบหนึ่งฝากไปให้โม่อี และให้อยู่กับโม่อีในวันตรุษจีน นางก็จะตามมาเช่นกัน เพียงแต่ห้ามพกอาวุธ มักจะไม่สะดวกเสมอ
อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ค่อยสะดวกนั่นก็คือ ทุกวันนี้ต้องการกุ่ยเม่ยที่เป็นตัวปลอม ไม่อย่างนั้นใบหน้าของเขาจะง่ายต่อการจดจำเกินไป
ในขณะที่เข้าไปในเมือง กู้อ้าวเวยยังคงหลับใหลอยู่ ในขณะเดียวกันยู่จือที่ตามมาด้วยก็พิงอยู่ข้างๆ เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“ฤทธิ์จากการใช้ลูกต้นแดง ไม่แน่วันใดวันหนึ่งนางอาจจะหลับใหลไปเลยก็ได้ คงจะไม่ยิ่งอยู่ยิ่งบ่อยครั้งขนาดนี้ ความทรงจำของนางจะค่อยๆกลับมาทีละเล็กละน้อย”
“แล้วพิษที่อยู่ในร่างกายนางก่อนหน้านี้ล่ะ?”กุ่ยเม่ยยกมือขึ้นปิดหูของกู้อ้าวเวย
“พิษนั่นทำเพื่อไม่ให้นางสูญเสียการมองเห็น และลูกต้นแดงออกอาการเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่หมอที่รักษาคน ถ้าตอนนี้เจ้าจะให้ข้า……อู้อี้ๆ!”
ยู่หงรีบปิดปากของนางด้วยสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ใดๆ ตลอดทางยู่จือเอาแต่โวยวายไม่หยุด
ตลอดทางนอกจากกู้อ้าวเวยที่ยังคงสงบเงียบ คนอื่นๆต่างสนุกสนานครื้นเครง ยัยไง่หงใช้โอกาสที่นางไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล อาสาออกมาตามรับใช้กู้อ้าวเวยเองซะเลย ปากก็พูดอย่างมีเหตุมีผล“ไม่แน่คุณหนูอาจจะเปลี่ยนใจมาชอบคุณชายของข้าก็เป็นได้”
โม่ซานทำได้เพียงแค่เบะปาก แล้วส่ายหน้า“อ๋องจิ้งเอาแต่ใจมากเลยนะ ถึงกู้อ้าวเวยจะเลือก เขาก็ไม่มีทางยอมหรอก”
ยัยไง่หงพิงหน้าไว้“นี่ผ่านมากี่ปีแล้วยังเอาแต่ใจอยู่หรอ เขาช่างไม่รู้จักโตเลยเสียจริง”
“ท่านอ๋องเรียกมันว่ารักษาโอกาส”กุ่ยเม่ยทนไม่ได้อีกต่อไป ทั้งสองคนทำมือ ชู่ บอกให้เงียบ ทางข้างหน้าไม่ไกลตอนนี้สามารถมองเห็นนายทหารของแคว้นชางหลานแล้ว
รถม้าหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าของโรงเตี๊ยม ยู่จือกระโดดลงตามราชทูตที่กู่เซิงส่งมา
เหล่าทหารต่างใช้สายตามองคนแปลกหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ยิ่งไม่เข้าใจ ราชทูตของเย่นเจียงกลับแสดงออกอย่างใจกว้าง หัวเราะพลางพูดขึ้นมาว่า“ท่านนี้คือลูกสาวของตระกูลยู่ ยู่จือ คนที่อยู่ด้านหลังพวกนี้ต่างเป็นองครักษ์ของพวกนาง”
“อีกคนล่ะ?”เหล่าทหารจำได้ว่า ยังขาดอีกคนหนึ่ง
“เจ้ากำลังหาข้าอยู่หรอ?”หน้าต่างถูกเลิกขึ้นมา กู้อ้าวเวยที่พึ่งตื่นได้ยินประโยคนี้พอดี คนในรถม้าลงมาจนเกลี้ยงคัน นางทำได้เพียงแค่หรี่ตาลงแล้วปีนออกมา
กุ่ยเม่ยที่อยู่ด้านล่างเอาแต่พะวงเรื่องที่โม่ซานฝากฝัง เขาจึงรีบปรี่เข้าไป พยุงไปที่ข้อมือกับเอวบางคอดกิ่วลงมา รอยสักที่อยู่บนหน้าเป็นแบบเดียวกับรอยสักที่อยู่บนหน้าของยู่จือเป๊ะๆ
ห่างออกไปไม่ไกล เมิ่งซู่ที่ได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับก็เอ่ยพูดขึ้นมาว่า“ลำบากมาตลอดทางแล้ว”
กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหูยิ่งนัก จึงทำให้นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเทาหม่นค่อยๆกะพริบเบาๆ แล้วจึงได้ยินเสียงของทหารชางหลานพูดขึ้นมาว่า“ปีศาจ