บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 859
บทที่ 859 ทำให้รู้กันไปทั่ว
“ดวงตาของนางเหตุใดถึงเป็นสีเทาหม่น!”
กู้อ้าวเวยถือกระจกทองเหลืองด้วยใบหน้าตกใจ อยากจะมองให้ชัดว่าตกลงดวงตาของตนเองสีอะไร
นางไม่เคยได้ยินดวงตาของใครจะเป็นสีเทามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นนี่มันไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่ได้มาในตอนหลัง ยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้น
กุ่ยเม่ยขมวดคิ้วเป็นปม“เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยหรอ?”
“ข้าควรจำอะไรได้หรอ?”กู้อ้าวเวยหันกลับมาด้วยความสงสัยมากยิ่งขึ้น
“บนร่างกายของเจ้ามีร่องรอยสีขาวเทาอยู่ทั่ว มาวันนี้ได้หายไปเกินครึ่งแล้ว จำได้ไหม?”กุ่ยเม่ยนำสัมภาระอันหนักอึ้งแบ่งมาให้ถือไว้ เขาจะเอาแต่ช่วยกู้อ้าวเวยให้ได้รับความสะดวกสบายอย่างนี้ไม่ได้เสมอไป
กู้อ้าวเวยส่ายหน้าอย่างแปลกใจ แล้วรับเสื้อจากมือของกุ่ยเม่ยมาถือไว้ นางขมวดคิ้ว“เหตุใดถึงได้หนักเช่นนี้”
“ด้ายทองด้ายเงิน อีกทั้งนี่เป็นเสื้อผ้าในฤดูหนาว ถึงเวลาก็ต้องเข้าวังหลวงเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง เพราะว่าคนเยอะมาก และยังอยู่ในศาลา ถ้าหากไม่สวมเยอะหน่อย เกรงว่าจะได้หนาวตายกันพอดี”กุ่ยเม่ยพบว่านางจำรายละเอียดเล็กๆน้อยๆไม่ได้ ทำได้เพียงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้นาง เครื่องประดับอื่นๆก็ให้คนอื่นๆมาจัดการ
ในตอนที่จะเอาเชือกดงออกจากมือของนางนั้น กู้อ้าวเวยกลับส่ายหน้า“นี่เป็นของสำคัญที่สุด”
กุ่ยเม่ยรู้สึกสบายใจขึ้นมา แต่กลับพบว่ากู้อ้าวเวยเปิดกลไกเล็กๆนั่นออกมา ทำให้เห็นเลือดมังกรโผล่ออกมา“ข้าจะต้องพกมันติดตัวตลอด”
กุ่ยเม่ยรู้สึกกังวลเกี่ยวกับงานเลี้ยงที่กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้
นางลืมไปหมดแล้วจริงๆใช่ไหม?
พอถึงตอนค่ำ อ๋องจิ้งก็เชิญทุกคนมา ซ่านเชียนหยวนกับฉีหรัวก็ไปอย่างกลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าราชทูตของเย่นเจียงคือใคร
ดูแล้วกู้อ้าวเวยก็รู้สึกไม่คอยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ เดินตามยู่จือเข้าวังไป เสื้อส่าหลี่สีทองถูกซ่อนในเสื้อคลุมขนสัตว์ด้านใน กู้อ้าวเวยกังวลว่าตัวเองจะมองเห็นทางไม่ชัด นางใช้เพียงมือหนึ่งในการดึงแขนเสื้อของยู่จือไว้ ได้ยินเสียงของเหล่ากำนัลขันทีที่พากันแนะนำวังหลวง นางไม่มีความรู้สึกไม่คุ้นชินเลยแม้แต่น้อย ในความทรงจำของนางเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่รายละเอียดนางจำไม่ค่อยได้
ยู่จือยังคงให้นางจับไว้ สายตาคู่นั้นคอยพินิจพิเคราะห์พระราชวังชางหลานอย่างละเอียด
ดูยิ่งใหญ่กว่าพระราชวังของแคว้นเจียงเยี่ยนไม่น้อย
เดินทางมาจนถึงศาลา ในส่วนการพูดคุยก็ปล่อยให้ใต้เท้าสองคนที่กู่เซิงส่งมาพูดก็พอแล้ว กู้อ้าวเวยนั่งอยู่บนที่นั่งสำหรับสองคนกับยู่จือ เพราะว่านางสายตาไม่ค่อยดี ข้างกายยังต้องมีนางกำนัลคอยรับใช้ คอยวางสิ่งของไว้บนฝ่ามือของนางอย่างเชื่อฟัง“แม่นางทานอะไรหน่อยเถิด งานเลี้ยงยังต้องรออีกประเดี๋ยว”
“ขอใจนะ”กู้อ้าวเวยพยักหน้า มืออีกข้างก็จับถ้วยไว้ กินไข่น้ำไปหนึ่งคำ แล้วก็หยิบขนมที่วางอยู่ด้านข้าง อย่างไรก็ตามกุ่ยเม่ยบอกกับนางแล้วว่า ขอเพียงแค่นางไม่พูดอะไร กินอะไรก็ย่อมได้
ข้างๆหูมีคนพูดไปมาอยู่ไม่น้อย พูดแค่เรื่องสถานการณ์ของเย่นเจียงทุกวันนี้ หรือในฐานะที่ชางหลานเป็นแคว้นที่อยู่ระหว่างตรงกลางต่างพูดกันแต่เรื่องอำนาจของแคว้นตนเองเป็นอย่างไร ฟังจนน่าเบื่อ นางเก็บมือลงไปแล้วจับช้อนลูบไปมา กลับรู้สึกว่าขาด้านล่างมีตัวอะไรบางอย่างขนฟูๆกำลังคลอเคลียอยู่
“เมี๊ยว~”เสียงเล็กแหลมของแมวดังลอดขึ้นมา
นางก้มหน้าลงไปก็สามารถเห็นแค่เพียงสีขาวหิมะก้อนกลมๆ ยิ้มตรงมุมปากเสร็จ นางก็ยกมือขึ้นมาอุ้มเจ้าก้อนสีขาวเล็กๆขึ้นมา วางไว้บนตัก ค่อยๆบีบจับตรงหลังของมัน เจ้าแมวน้อยร้องเรียกเมี๊ยวๆอย่างสบายอารมณ์ แล้วก็เอาแต่คลอเคลียอยู่ตรงเท้าของนางไม่ไปไหนอีก
“เสี่ยวฮัว”เสียงเล็กแหลมของหญิงสาวร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ
กู้อ้าวเวยชะงักชั่วครู่ มือที่จับช้อนอยู่ตกลงมาทันที เจ้าก้อนกลมสีขาวกำลังยืนนิ่งอยู่บนโต๊ะของนาง ร้องเรียกเมี๊ยวกับกับเสี่ยวป๋ายที่อยู่บนตักของนางไม่หยุด
เกรงว่าจะรบกวนการสนทนา กู้อ้าวเวยอุ้มแมวสองตัวขึ้นมาแนบอก
พอยู่จือได้ยินเสียงก็รีบหันมา มองเห็นแมวสองตัวกำลังช่วยกันเลียขนอยู่บนตักของนาง มุมปากกระตุกขึ้น ในตอนที่กำลังจะหันกลับไป ก็มองเห็นนางกำนัลที่คุกเข่าตามหาแมวอยู่ตรงทางเดิน แต่ชายหนุ่มที่สวมชุดยาวสีดำเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สายตาสบเข้าหากัน ยู่จือกัดฟันจนแน่น หันหน้ากลับมาด้วยท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย ทำเป็นมองไม่เห็น
ซ่านจินจื๋อตกตะลึงที่เห็นยู่จือติดกับด้วยตัวเอง ครั้งก่อนที่เขาไม่ได้ลงมือเป็นเพราะเห็นแก่กู้อ้าวเวย มาวันนี้สถานการณ์ของกู้อ้าวเวยในตอนนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร แน่นอนว่าเขามีวิธีจะสั่งสอนนาง
ยังมีนางกำนัลสองคนที่ดูแลแค่แมวสองตัวไม่ได้
เขามองไปที่นางกำนัลด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดด้วยเสียงอันเคร่งขรึม “ไปรับโทษเถอะ”
นางกำนัลสีหน้าซีดเผือดรีบวิ่งไปจนไม่เหลือแม้แต่เงา เมิ่งซู่กับราชทูตของเย่นเจียงก็หันไปมองชั่วครู่ ทุกคนต่างพากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพ กู้อ้าวเวยเห็นเพียงแค่พวกเขาที่ยืนขึ้นมาแล้วอยู่ตรงด้านหลังของตนเอง นางอุ้มแมวขึ้นมาอย่างบังเอิญ แล้วหันกลับไป
ซ่านจินจื๋อหยุดชะงัก สายตาไปตกอยู่ที่ดวงตาคู่เทาหม่นคู่นั้น รังสีอำมหิตแผ่ไปรอบทิศ
กู้อ้าวยเวยรู้สึกว่าหลังของตนเองเย็นวาบ คนที่หัวใจไม่เคยอ่อนแอมาก่อน ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างมั่นคง มองไปที่นัยน์ตาอันคุ้นเคยอย่างเย็นชา แล้วมือที่อุ้มแมวอยู่ก็อุ้มแน่นขึ้นมาเล็กน้อย
ด้านหลังของซ่านจินจื๋อมีขันทีน้อยรีบเดินเข้ามาประชิด นำเจ้าลูกแมวสองตัวอุ้มกลับไปแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำ“ที่เป็นแมวที่อ๋องจิ้งทรงโปรด แม่นาง……”
“ให้นาง”เสียงอันเยือกเย็นของซ่านจินจื๋อเอ่ยขึ้นมา เขาเดินมาอยู่ข้างกายของนางแล้วมองด้วยหางตา เงื้อมือแล้วบีบไปที่คางของนาง“ตาของเจ้าเป็นอะไร?”
ยู่จือนิ่งชะงักไปทันที ซ่านจินจื๋อไม่รู้จริงๆหรอว่าคนตรงหน้าของเขาคือใคร เปิดเผยอะไรขนาดนี้!
สายตาของคนทุกผู้ต่างมองไปที่กู้อ้าวเวยอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่นางกลับหัวเราะเสียงเบาออกมา“ปีศาจออกอาละวาดพิภพ ท่านอ๋องอย่าได้พบจะเป็นการดีกว่า อย่าได้หาเรื่องจนทำให้ตัวเองเดือดร้อนดีกว่า”
ซ่านจินจื๋อยักคิ้วขึ้น ปลายมือลงแล้วดึงข้อมือของนางไว้ ในตอนที่ไปจับโดนเชือกแดงเส้นนั้น กู้อ้าวเวยก็ชักมือกลับ เขาจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยมือนางไป
ขันทีเล็กรีบยัดเจ้าแมวน้อยกลับไปยังอ้อมกอดของกู้อ้าวเวย หลังจากที่ได้เห็นสายตาอันเย็นยะเยือกของซ่านจินจื๋อ
กู้อ้าวเวยได้รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตรงหน้าอก นางรู้สึกเจ็บตรงบาดแผลมาก แต่อ๋องจิ้งที่อยู่ข้างๆกลับช่วยนางดึงเบาๆ แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก”
แล้วทุกคนก็ต่างพากันนั่งลง กู้อ้าวเวยก็นั่งลงตาม
ในตอนที่เมิ่งซู่กำลังเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งของประธานงาน ทุกคนเห็นเพียงแค่มือใหญ่ปัดไปหนึ่งครั้ง อาศัยจังหวะที่กู้อ้าวเวยนั่งลงโอบคนเข้ามาแนบอก กู้อ้าวเวยตกตะลึงยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ซ่านจินจื๋อก็ล็อคไปที่เอวของนางแล้ว ทำให้คนนั่งอยู่บนตักของเขาอย่างนิ่งๆ สายตาไปตกอยู่บนตัวของเมิ่งซู่“เจ้าเด็กคนนี้ เป็นลูกสาวของตระกูลยู่ที่ถูกส่งตัวมาอย่างนั้นหรือ?”
เมิ่งซู่ขมวดคิ้วเป็นปม แทบอยากจะลุกไปขวางซ่านจินจื๋อ เขาผลักกู้อ้าวเวยไปทำให้ผู้คนนินทา
ขุนนางของเย่นเจียงรู้สึกมึนงงในใจ กลับหัวเราะขึ้นมา“นี่เป็นน้องสาวของแม่นางยู่จือ ชื่อยู่ชีง ถ้าหากอ๋องจิ้งทรงโปรด ก็ให้นางอยู่รับใช้ในวังหลวงเพื่อให้นางได้ทำนายโชคชะตาให้ท่านอ๋องจิ้งก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้น ยังไม่ทันเอ่ยปากหรือขัดขืน ชายหนุ่มที่อยู่ด้านล่างก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้น“ความจริงใจที่เย่นเจียงมอบให้เกรงว่าจะไม่เพียงพอ ข้าชอบหญิงที่เร่าร้อน แต่เจ้าเด็กคนนี้ได้รับความชอบจากเสี่ยวป๋ายกับเสี่ยวฮัว ให้นางอยู่ต่อเพื่อดูแลพวกมัน”
คิ้วของเมิ่งซู่ขมวดเป็นปมแน่น
ขุนนางของเย่นเจียงตอบรับทันทีทันใด รู้สึกพอใจกับผลลัพธ์นี้เป็นอย่างมาก
กู้อ้าวเวยรู้สึกแปลกๆ แต่ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังมีกลิ่นที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างมาก นางนึกถึงตอนที่ความทรงจำตีกันวุ่นวาย ยังคงไม่เปิดปากพูด “ขาของท่านแข็งจัง”
ซ่านจินจื๋อแสยะยิ้มตรงมุมปากขึ้น สั่งให้คนไปนำเก้าอี้มาตัวหนึ่ง