บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 860
บทที่ 860 ความเคยชิน
หลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว ทุกคนต่างติฉินนินทาอ๋องจิ้งที่หลงเสน่ห์ยู่ชีงอย่างไม่ลืมหูลืมตา
แต่กู้อ้าวเวยกลับนั่งกินของว่างอยู่ข้างๆซ่านจินจื๋ออย่างเรียบร้อย พอรอคนเลิกราจากงานเลี้ยง ยู่จืออยากจะพานางออกไป แต่องครักษ์ของซ่านจินจื๋อได้ขวางไว้“อ๋องจิ้งได้บอกให้แม่นางยู่จืออยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว”
ซ่านจินจื๋อยกมือเข้าไปควานลูกแมวน้อยสองตัวกลับมาสู่อ้อมอกของตนเอง กู้อ้าวเวยหยุดเดิน แล้วมองไปที่เขา“ข้าอยู่ต่อในวังไม่ได้”
“ข้าชอบเจ้า”ซ่านจินจื๋อพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม ยกมือขึ้นแล้วคว้าตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด สายตาไปตกอยู่ที่ดวงตาสีเทาหม่นของนาง หัวใจของเขายิ่งโกรธดั่งไฟสุ่มอกขึ้นมา แต่เขาทำได้เพียงแค่กำมือแน่น สะบัดมือให้ขันทีที่อยู่ด้านหลัง“อย่าให้ใครหน้าไหนเข้ามารบกวนทั้งนั้น นอกเสียจากว่าจะเป็นข่าวของนาง”
นางคนนี้ แน่นอนว่าหมายถึงกู้อ้าวเวย
ขันทีเดินจากไปอย่างเข้าใจ ยู่จือจึงทำได้เพียงแค่กลับไปกับเหล่าบรรดาขุนนาง
สามีภรรยาคู่นี้บทจะยุ่งวุ่นวายขึ้นมาก็มีเรื่องให้ไม่หยุดหย่อนจริงๆ!
ก่อนที่เมิ่งซู่จะกลับยังไม่วายพูดห้ามปรามซ่านจินจื๋อสองประโยค แต่กลับถูกไล่กลับไป หวางกงกงเห็นเพียงรูปร่างหน้าตาของยู่ชีงมีลักษณะคล้ายกับกู้อ้าวเวยหลายประการ แต่พอดูดีๆแล้ว เหมือนกับจะเหมือนแค่ดวงตาดอกลูกท้อคู่นั้น สีของม่านตาก็ดูประหลาดชอบกล เขารีบนำเรื่องไปรายงานซ่านต้วนโฉงอย่างรวดเร็ว
“ดูท่าแล้วนางจะตาบอดมาตั้งแต่เกิด หรือเล่นแง่อะไรกันแน่ ไปสืบรอยสักนั่นมาด้วย”ซ่านต้วนโฉงไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ ในใจของเขาไม่รู้ว่าน้องชายของเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์ แน่นอนเขารู้ดีว่าตระกูลหยุนกับตระกูลยู่มีบรรพบุรุษเดียวกัน
ทั้งสองตระกูลต่างให้กำเนิดหญิงงาม โดยเฉพาะดวงตาดอกลูกท้อนั่นลูกหลานแทบจะทุกคนเป็นอย่างนี้กันหมด ถ้าหากเป็นความเหมือนของคน เขาคงไม่สงสัยน้องชายของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นซ่านจินจื๋อก็ศีลขาดตั้งนานแล้ว เขาได้ร่วมหอกับลูกสาวตระกูลขุนนาง แต่กู้อ้าวเวยก็เป็นเม็ดสายที่ขยี้อย่างไรก็ไม่พ้นสายตา ถ้าหากทั้งสองได้พบกัน กู้อ้าวเวยต้องไม่ยอมปล่อยไปแน่ๆ
ในขณะเดียวกัน นางกำลังเดินอยู่ตรงทางเดินเล็กๆของวังหลวง กู้อ้าวเวยยิ่งชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆในเรื่องการมาที่นี่ของตนเอง อีกทั้งไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เพียงแต่เสียดายที่ที่นี่แสงสว่างน้อยเกินไป นางไม่สามารถแยกแยะทางเท้าที่นางกำลังเดินอยู่ได้ นางเดินช้าลงเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว
ซ่านจินจื๋อในความทรงจำยังคงเป็นท่านอ๋องผู้เหี้ยมโหดในเมืองเทียนเหยียน ยิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ชอบหาแต่เรื่อง มาวันนี้พอนึกถึงตอนที่ตนเองนั่งอยู่บนตักของฝ่ายตรงข้าม ในใจของกู้อ้าวเวยยิ่งมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่กลิ่นสมุนไพรบนร่างกายของเขามีความคล้ายคลึงกลับสมุนไพรในหมอนใบเล็กกับถุงบุหงาที่นางใช้อยู่ทุกวันนี้
ซ่านจินจื๋อเดินช้าลง ขันทีที่อยู่ด้านหลังเปลี่ยนเป็นคนที่เขาเชื่อใจในตอนนี้ เขาถึงพึ่งเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“เจ้าใช้วิธีอมตะอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นเพียงสิ่งที่คนอื่นเข้าใจผิดเท่านั้น ไม่มีอะไรสามารถทำให้คนเป็นอมตะได้”กู้อ้าวเวยตอบกลับด้วยเสียงต่ำ แล้วค่อยเดินออกไปหลายก้าว นางรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเย็นๆอยู่ตรงแก้ม นางจึงเงยหน้าขึ้นอย่างตะลึงเล็กน้อย“หิมะตกแล้วหอ?”
“อือ”ซ่านจินจื๋อมองไปที่ดวงตาของนางครู่หนึ่ง แล้วเขาก็โยนลูกแมวน้อยสองตัวไปให้ขันทีที่อยู่ข้างหลัง เดินไปยืนข้างลำตัวของกู้อ้าวเวยแล้วอุ้มนางขึ้นมา เสียงของหญิงสาวร้องอย่างตกใจ เงื้อมือขึ้นมากระแทกไปที่หน้าของซ่านจินจื๋อ ซ่านจินจื๋อกลับหัวเราะแล้วลูบแก้มเบาๆ“ฤดูหนาวมาแล้วเดินน้อยๆหน่อย”
“เจ้ารู้ว่าหัวเข่าข้ามีปัญหาอย่างนั้นหรอ?”กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ อ้อมกอดนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
“อืม”ซ่านจินจื๋อพยักหน้า แล้วก้มตัวลงโอบนางเข้ามาสู่อ้อมกอด
คนที่แนบอยู่ตรงอกกว้างเหมือนจะตัวเบาเล็กน้อย หน้าผากเป็นรอยบุ๋มลงไป ใต้ตาลึกดำคล้ำไปเล็กน้อย
อีกทั้งตอนนี้เขารู้สึกได้ว่ากู้อ้าวเวยน่าจะมีปัญหาเล็กน้อย เขาจะจำเรื่องของหัวเข่าได้อย่างไร แต่ดูไปแล้วกู้อ้าวเวยเหมือนจะสงสัยถึงได้ถามออกไป
เขาได้อุ้มคนกลับไปยังตำหนักของตนเอง บนเสื้อคลุมขนสัตว์ของกู้อ้าวเวยมีประกายเล็กน้อย ลมหนาวในฤดูหนาวพัดผ่านใบหน้าของหน้าจนแดง นางขยี้ปลายจมูกอย่างสบายใจ ในตอนที่จะก้าวเข้าไปในห้องนางบอกให้ซ่านจินจื๋อปล่อยตนเองลง เขายืดตัวแล้วหาวดังวอด แล้วพูดขึ้นมาว่า“นี่เป็นสมุนไพรที่ข้าทำเอง”
“ข้าชอบมาก”ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาสั่งให้คนไปเอาเตาไฟเข้ามาเพิ่ม ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นเพื่อถอดเสื้อของตนเองบอก ทางที่ดีที่สุดเขานำคนยัดเข้าไปในผ้าห่มแล้วนอนหลับพักผ่อนดีๆ
กู้อ้าวเวยยังคงถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกจากบ่าด้วยตัวเอง หันกลับไปมองเขา“ข้าจำได้ว่าคนที่อยู่ในใจของข้าคือบัณฑิตคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาสวยกว่าสตรีเสียอีก แต่ในมือกลับมีความซาก เหมือนกับคนมีวรยุทธ”
มือที่กำลังยกขึ้นมาของซ่านจินจื๋อหยุดชะงักไป ตรงหน้าผากมีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา“บัณฑิตอะไร?”
“ข้าจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร แต่ข้ารู้ว่าพวกขุนนางชั้นสูงต่างอิจฉาความรู้ความสามารถของเขา เพื่อให้เขาไปสอบภาคฤดูใบไม้ผลิไม่ได้ ส่งคนไปสังหารเขา นำเสื่อหญ้ามาม้วนศพแล้วโยนลงไปในหลุมฝังศพ”กู้อ้าวเวยคลำกำแพงเดินไปจนไปนั่งตรงหน้าของโต๊ะ ยกมือขึ้นเพื่อลูบคลำกระดาษหนึ่งรอบ แล้วหัวเราะ“แต่ข้าไม่เข้าใจ สิ่งที่ข้าเขียนไปอยู่ในมือของเจ้าได้อย่างไร อีกทั้งเจ้ายังอ่อนโยนกับข้ามากกว่ากุ่ยเม่ยเสียอีก เขาเอาแต่บอกให้ข้าหุบปากและอย่าหาเรื่อง”
“เขาดุเจ้าหรอ?”ซ่านจินจื๋อรู้แล้วว่าปัญหาเกิดที่ตรงไหน ในใจของเขามีไฟสุ่มขึ้นมาทันใดนั้นถูกความรู้สึกผิดกระแทกเข้ามา หัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวดมาก
พอเดินก้าวไปข้างหน้า เขายืนนิ่งอยู่ด้านหลังของนาง เขาช่วยนางนำเครื่องประดับบนศีรษะกับเครื่องประดับตามร่างกายออกมาอย่างชำนาญ
ร่างกายไม่ได้ต่อต้านการกระทำของเขา กู้อ้าวเวยมักรู้สึกว่ามีความทรงจำบางอย่างซ้อนทับกัน คลุมเครือไม่ชัดเจน
คิ้วขมวดผูกเป็นปม นำกระดาษที่อยู่ในมือค่อยๆวางลง“แต่ ข้าเหมือนจะเคยนอนบนเตียงขององค์ชายสาม แต่เมื่อครู่เหมือนข้าจะไม่ได้ยินชื่อของเขา”
“กรอบ——”เสียงของสิ่งของแตกหักดังลอดมาจากด้านหลัง
ปิ่นปักผมที่อยู่ในมือของซ่านจินจื๋อในตอนนี้ถูกหักแบ่งเป็นสองส่วน เขาสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ“เจ้าจำเขาได้หรอ?”
“จ้าเหมือนจะเคยอยู่อาศัยกับเขา”กู้อ้าวเวยเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงเมื่อครู่ พูดต่อไปเรื่อยๆ“ข้าเป็นผู้หญิงหยำฉ่าใช่หรือไม่?เพราะฉะนั้นเจ้าถึงได้โกรธมาตลอดใช่หรือไม่?เมื่อครู่เจ้ายังเหมือนไม่ชอบให้ข้าอุ้มแมวของเจ้าอยู่เลย”
กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าตัวเองเป็นหญิงหยำฉานี่เป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลยิ่งขึ้น
อย่างไรเสียนางก็รู้ดีและชัดเจนว่าตัวเองยังมีความทรงจำ เพียงแต่นางจำไม่ได้ว่านางมาถึงที่นี่ได้อย่างไร แต่นางก็รู้เช่นเดียวกันว่าตนเองเป็นหมอ เพราะฉะนั้นมีบางครั้งที่ดูคน ยิ่งเหมือนกับกำลังมองดูภาพการผ่ากายวิภาคศาสตร์ อวัยวะของเพศชายและเพศหญิงไม่ได้มีผลอะไรต่อนาง
ซ่านจินจื๋อหวีผมของนางจนเรียบร้อย“ข้าแค่โกรธเจ้าทำอะไรก็ไม่บอกข้า”
“แต่ข้าบอกกับกุ่ยเม่ยไปแล้ว”กู้อ้าวเวยพูดอย่างตรงไปตรงมา
“จริงหรอ?”สีหน้าของซ่านจินจื๋อแทบจะสามารถหยดเป็นน้ำออกมาได้แล้ว
“กุ่ยเม่ยบอกว่า ที่ข้าเข้าวังมาเพื่อหาเตาที่อบอุ่นของข้า”กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ นั่งพิงกับเก้าอี้แล้วเงยหน้าขึ้นมา โบกมือขึ้นไปจิ้มตรงคางของซ่านจินจื๋อ“ถึงแม้ข้าจะจำได้ไม่ค่อยชัดเจน แต่ข้ารู้สึกว่าร่างกายของเจ้าช่างอบอุ่นยิ่งนัก”
ซ่านจินจื๋อหายโกรธทันที แล้วดึงข้อมือของกู้อ้าวเวย“เจ้าปฏิบัติต่อชายทุกคนเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”
“เมื่อก่อนมีหรือไม่ข้าจำไม่ได้ แต่ในตอนนี้ ข้าปฏิบัติต่อเจ้าคนเดียว”
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังคว้านางเข้ามาแนบอก แล้วซุกหน้าไปที่ลำคอของนาง เสียงมีความน่ากลัวเล็กน้อย“อย่าเสี่ยงอันตรายอีกเลย ข้าเสียเจ้าไปไม่ได้”
กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าบาดแผลตรงแขนเจ็บจี๊ดขึ้นมา บาดแผลเหมือนจะฉีกขาดออกมา นางสุดอากาศหายใจเข้าลึกๆ กอดชายหนุ่มผู้อ่อนแอตรงหน้ากลับ“ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
เป็นไปตามที่กุ่ยเม่ยพูด รอจนนางมาถึงที่นี่ จะรู้ได้เองว่านางอยากทำอะไร