บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 871
บทที่ 871 พบหลานเอ๋อร์อีกครั้ง
ประตูถูกเปิดออก เจ้าของร้านมองกู้อ้าวเวยหัวจรดเท้า และท่าทีสงสัย
กู้อ้าวเวยก็เงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย แต่กลับเห็นคนหน้าตาคุ้นๆ และพูดเสียงเบาว่า: “มองยังไงก็มองไม่ออก ท่านลองพูดมาว่าตัวเองเป็นใคร ข้าจะได้นึกออก”
“เกรงว่าข้าบอกไปแล้ว ท่านก็คงจำไม่ได้” เจ้าของร้ายพูดแล้ว ก็เดินไปนั่งตรงหน้า สายตามองไปที่มือสองข้างของกู้อ้าวเวย หัวเราะเสียงเบาพูดว่า: “พระชายา มือของท่านหลอกคนไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
ยัยไง่หงมองนางอย่างระวัง แต่กู้อ้าวเวยกลับหรี่ตาลงและพูดว่า: “พระชายา……”
“ตอนที่ท่านส่งข้าออกไป ข้าก็ยังเป็นแค่ข้ารับใช้ ตอนนี้ก็เป็นตัวซวยทำให้สามีตาย ควบคุมธุรกิจใหญ่โตที่บ้าน แต่กลับไม่คิดว่าจะเจอกับท่านที่นี่” นางพูดเสียงเบา จริงจังและไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร สายตาก็มองไปที่กู้อ้าวเวยตลอดเวลา และหัวเราะพูดต่อว่า: “ไม่รู้จะบอกว่าข้าดวงดี หรือว่าท่านโชคดีที่มีชีวิตรอดถึงทุกวันนี้กันแน่”
ข้ารับใช้?
กู้อ้าวเวยเงียบครุ่นคิดอยู่นาน เจ้าของร้านปิ้งเนื้อแกะให้นางและวางในถ้วยมาส่ง และพูดเสียงเบาอีกว่า: “คุณหนูใหญ่”
“เจ้าคือหลานเอ๋อร์” กู้อ้าวเวยได้สติ และนึกได้แล้วว่านางเป็นใคร
หลานเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ก็คือเด็กสาวที่คิดร้าย ต่อมาตอนที่เจรจาร่วมมือกัน กู้อ้าวเวยก็ให้นางแต่งงานกับคนมีเงินไปเป็นภรรยารอง แต่ฟังคำพูดของหลานเอ๋อร์แล้ว เงินมรดกของนายท่านบ้านนั้นตอนนี้ส่วนใหญ่คงเป็นของนางแล้ว
“ไม่คิดว่าท่านจะจำข้าได้” หลานเอ๋อร์ปิดปากหัวเราะเสียงเบา พิงที่ขอบโต๊ะอย่างขี้เกียจ: “นายท่านตายในซ่อง ฮูหยินกับพวกเมียน้อยก็ต่างได้เงินมรดกไปมากมาย……”
“มากมาย?” กู้อ้าวเวยหัวเราะเสียงเบา ตอนนั้นนางยังเป็นข้ารับใช้ก็กล้ามากแล้ว เจรจากับพวกนางแบบไม่คิดชีวิต: “เจ้าทำให้พวกนางกลับไปได้อย่างเต็มใจเหรอ?”
“เหมาะแล้วล่ะที่เป็นท่าน” หลานเอ๋อร์หัวเราะ และใส่ของลงไปในหม้อ พูดอีกว่า: “ข้าเอาไปกว่าครึ่ง ใช้วิธีสกปรกบ้าง แต่ก็เอามาใช้บริหารดี หลายปีมานี้ข้าเอามรดกของนายท่านมาทำกำไลได้มากกว่าครึ่ง ก็นับว่าเป็นความสามารถของข้า”
กู้อ้าวเวยหยิบตะเกียบถ้วยขึ้นมากินหม้อไฟ ข้างหูก็ได้ยินเสียงลมหิมะ และเสียงหน้าต่างกระทบกัน พูดเสียงเบาว่า: “แม้จะเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องบอกข้าก็ได้”
“ไม่ได้มาบอกท่านหรอก แต่มาตอบแทนท่านต่างหาก” หลานเอ๋อร์หัวเราะอย่างเจ็บปวดใจ: “ถ้าข้าไม่มีชีวิตที่ดีแบบนี้ ก็คงหาญาติข้าไม่พบ ตอนนี้พวกเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว แม้พวกข้างบ้านจะว่าข้าเป็นตัวซวยหรือหญิงแพศยายังไง แต่ข้าก็ยังมีความสุขดีของข้า ทุกอย่างเป็นเพราะตอนนั้นท่านช่วยข้าไว้ และเพราะอ๋องจิ้งของท่านด้วย พวกผู้หญิงพวกนั้นถึงไม่ได้ทำอะไรข้ามาก”
พูดถึงตรงนี้ เสียงหลานเอ๋อร์ก็สั่นคลอนหน่อยๆ
กู้อ้าวเวยชะงักลง: “อย่าพูดไร้สาระแล้ว มีเรื่องอะไร?”
หลานเอ๋อร์ที่ถูกจับได้ก็หัวเราะพูดต่อว่า: “พูดได้แค่ว่าท่านมาได้ก็ดี บังเอิญมาก”
“พูดมาสิ?” กู้อ้าวเวยถอนหายใจ รู้สึกหม้อไฟไม่มีรสชาติแล้ว จึงวางตะเกียบถ้วยลง
“พวกเราทำธุรกิจร้านเหล้า ที่สำคัญคืออาหารของกิน แต่หลายวันก่อนหน้านี้ นอกเมืองส่งผักด้านในห่อของเอาไว้ ข้าหาเพื่อนมาและนำไปส่งโรงยา กลับบอกว่าเป็นนิ้วมือของคนตาย ข้าก็รู้สึกใจไม่ดี สั่งให้คนนำผักทั้งรถส่งคืนไป และเจรจากับคนขายผักนั่น เขากลับบอกว่าข้าตั้งใจใส่ร้ายเขา” หลานเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ มองไปที่ประตูจากนั้นก็พูดเสียงเบาอีกว่า: “ข้าก็คิดว่าสั่งคนไปสืบเรื่องนี้เอง ต่อมาก็เห็นว่าของนั่นน่ะ เป็นทหารที่เฝ้าหน้าเมืองปล่อยเข้ามา ข้าตกใจจนเหงื่อแตก ตอนนี้ไปซื้อเองที่ร้านยังจะดีกว่าแม้จะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นก็ตาม ข้าคงไม่กล้าซื้ออีกแล้ว”
“ทหารเฝ้าหน้าเมือง งั้นเจ้าไม่ไปร้องทุกข์กับศาลล่ะ?” ยัยไง่หงเบิกตาโพลงโต
นิ้วมือคนตายโผล่มาได้ไง
กู้อ้าวเวยกลับขมวดคิ้ว: “เจ้ากังวลว่าพวกขุนนางกับทหารเป็นฝ่ายเดียวกัน ยิ่งไปหว่านั้นเรื่องนี้น่าจะเกิดขึ้นครั้งเดียว ดังนั้นพวกเขาไม่ตั้งใจทำพลาด แต่เจ้ากลัวว่าจะรู้เรื่องอะไรเข้าจึงเงียบไป ถึงได้มาข้างั้นสิ”
หลานเอ๋อร์ก็หัวเราะ: “ตอนแรกข้าคิดว่าจะอยู่เงียบๆไปก่อน เชิญพวกคนเก่งๆมาปกป้องข้า แต่ตอนนี้เห็นท่าน ก็ต้องมาขอความช่วยเหลือสิ”
ยัยไง่หงเบะปาก ไม่ชอบเจ้าของร้านนี้เลยจริงๆ
กู้อ้าวเวยกลับชอบวิธีการปฏิบัติของหลานเอ๋อร์ จึงพูดว่า: “เจ้าก็ต้องให้อะไรตอบแทนข้าหน่อย ไม่งั้นทำไมข้าต้องช่วยเจ้าด้วย?”
“นี่ก็แน่นอนอยู่แล้ว ตอนนี้ข้ารู้ว่าท่านกลายเป็นแม่หญิงตระกูลยู่ ทำอะไรไม่ค่อยสะดวก หลานเอ๋อร์อยากจะช่วยท่านด้วย” หลายเอ๋อร์ลุกขึ้นทำความเคารพ: “ชีวิตข้าและทั้งหมดนี้อยู่ในกำมือท่านแล้ว”
เช่นนี้แล้ว กู้อ้าวเวยกินไม่ลงอีกต่อไป ไปดูนิ้วมือของคนตายจากหลานเอ๋อร์จากนั้นก็จากไปเลย หลานเอ๋อร์ยังยิ้มและพูดว่าให้นางมาอีก
เดินตามท้องตลาด ยัยไง่หงพูดว่า: “คนคนนี้เก่งจริงๆ เช่นนี้แล้วคงอยากจะให้ท่านช่วยทำธุระให้นาง ในโลกนี้มีเรื่องง่ายแบบนี้ด้วยเหรอ”
“ตอนนั้นตระกูลหยุนมีวิธีการเป็นอมตะทุกคนรู้กันไปทั่ว ในเมื่อนางจำข้าได้ ก็ต้องรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าดี ค่าจ้างนางคงไม่เพียงแต่เป็นหนอนบ่อนไส้เท่านั้น และนิ้วมือของคนตายไปตกอยู่ที่ทหารเฝ้าหน้าประตูเมือง ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับงานวันเกิดนายท่านตงฟาง ข้าก็ลองเดาดูเท่านั้น” กู้อ้าวเวยพูดเสียงเบา ต่อมาก็กลับถอนหายใจเสียงหนัก: “ข้ายังอยากกินหม้อไฟ”
ยัยไง่หงแลบลิ้น ใครที่เห็นนิ้วมือคนตายแล้วคงกินข้าวไม่ลงอีก น่าโมโหจริงๆ!
และนั่งในร้านเหล้า หลานเอ๋อร์พิงอยู่ข้างที่เก็บเงิน พูดกับหนักงานร้าน และพนักงานก็รีบพูดว่า: “เจ้านาย อยู่ดีๆพวกเราไปยุ่งเรื่องของจวนตงฟางทำไมกัน”
“จวนตงฟางนั้นก่อนหน้านี้มีเรื่องวางยาพิษ เหมือนจะเกี่ยวข้องกับคนตาย” หลานเอ๋อร์ตบหัวเขาพูดว่า: “สืบเรื่องนี้ให้ดี ก็ต้องมีข้อดีกับเจ้าอยู่แล้ว แต่ทำอะไรก็ต้องระวัง อย่าก่อเรื่องเด็ดขาด อีกอย่าง งานที่จวนอ๋องจงผิงจับตาไว้ให้ดี ต้องเอามาให้ได้”
พนักงานร้านลูบหัวและรีบวิ่งออกไป
หลานเอ๋อร์ก็ต้องรู้ว่ากู้อ้าวเวยกับซ่านเชียนหยวนเป็นอะไรกัน ตอนนี้จึงพูดกันได้ง่ายขึ้น อีกด้าน พิษของจวนตงฟางถ้าเกี่ยวข้องกับคนตาย คงจะได้มีคนว่าร้ายนางเป็นแน่ ถึงเวลานั่นไม่เพียงแต่นาง แค่คดีฆ่าขุนนางคนใหญ่คนโต ก็พอที่ฝ่าบาทจะลงโทษประหารทั้งตระกูลแล้ว ทางที่ดีระวังไว้จะดีกว่า
และในเวลาเดียวกัน กู้อ้าวเวยกลับมาถึงที่พักคนเดินทาง ก็เห็นคนของจวนอ๋องจิ้งส่งหม้อไฟมา แปลกมาก: “เขารู้ได้ยังไงว่าข้าจะกินอะไร?”
“อ๋องจิ้งบอกแล้วว่า ฤดูหนาวกินหม้อไฟคือการอบอุ่นร่างกาย” คนติดตามพูดด้วยรอยยิ้ม และเอาที่นอนนุ่มๆมา พูดต่อว่า: “อ๋องจิ้งยังบอกอีกว่า พวกนี้เป็นของที่ท่านชอบกิน ถ้าชอบ พรุ่งนี้พวกเราจะส่งมาอีก”
กู้อ้าวเวยกินหม้อไฟร้อนๆ ใบหน้าก็ร้อนผ่าวไปด้วย