บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 877
บทที่ 877 แลกใจ
“เจ้าไม่กลัวอื่นจะมาเห็นเหรอ?” กู้อ้าวเวยจับมือผู้ชายอย่างไม่เข้าใจ ครึ่งใบหน้าถูกผ้าคลุมหนาบังไว้ เห็นก็แต่ดวงตาสีเทานั้น
“แล้วยังไง?” ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นโอบเอวนางไว้ ข้อมือก็ใช้แรงไม่ให้นางได้ขัดขืน สายตากวาดมองไปที่ถนนของเมืองเทียนเหยียน——เขาไม่ได้ออกมาดูเองนานมากแล้ว
ขัดขืนไม่ได้ผล กู้อ้าวเวยจึงยกมือขึ้นกันข้อมือเขาไว้ กดกระดูกข้อมือที่นูนออกมาของเขาแรงๆพูดว่า: “เจ้าไม่โทษที่ข้าหลอกเจ้าเหรอ?”
“เจ้าหลอกข้าไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว ข้าคงจะโทษเจ้าทุกครั้งไม่ได้” ซ่านจินจื๋อหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจว่าข้อมือที่เจ็บแค่ไหนก็ยังโอบนางไว้แน่น มืออีกข้างก็จับมือขวานางไว้แน่น มองดูด้ายแดงบนข้อมือนั้น: “ยิ่งไปกว่านั้นทั้งที่เจ้าจำเรื่องสำคัญได้ ก็พอแล้วล่ะ”
กู้อ้าวเวยอึ้งสักพัก นางก็ไม่รู้ว่าทำไมด้ายแดงนี้ถึงสำคัญแบบนี้ แค่ไม่อยากดึงออกเท่านั้น
เดินเข้าไปในร้านอาหาร พนักงานในร้านที่เห็นซ่านจินจื๋อก็เข้ามาพูดเชิญเข้าร้านอย่างเคารพ: “ยินดีต้อนรับท่านอ๋องจิ้ง รีบเข้ามาเถอะขอรับ!”
ซ่านจินจื๋อโยนเงินออกไปพูดว่า: “อย่าได้เสียงดังไป”
พนักงานในร้านก็ยิ้มตาหรี่ รีบสั่งคนให้จัดการ
กู้อ้าวเวยจับข้อมือซ่านจินจื๋อไว้แน่นและเดินเข้าไปช้าๆ พอเข้าไปในห้องถึงถามว่า: “วันก่อนข้าเจอกับหลานเอ๋อร์ นางบอกข้าอยู่เรื่องหนึ่ง น่าจะเกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงวันเกิดของนายท่านตงฟางอยู่”
มองดูกู้อ้าวเวยที่พูดเรื่องจริงจังอย่างคุ้นชิน ซ่านจินจื๋อเหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน เขายิ้มอ่อนๆเทชาและยื่นให้นาง ในตอนที่นางถอดเสื้อคลุมออก พูดไปด้วยว่า: “เจ้าเด็กนั่นก็พูดเรื่องได้น่าสนใจดี”
ทั้งสองพูดเรื่องราวทุกอย่างที่เจอมาทั้งหมด
กู้อ้าวเวยยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดว่า: “ทำไมถึงมีเรื่องนี้ได้? ตระกูลตงฟางก็เคยหาวิธีการเป็นอมตะงั้นเหรอ?”
“ไม่เคยเลย ความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลตงฟางก็แค่สองร้อยปี” ซ่านจินจื๋อส่ายหน้า เห็นกู้อ้าวเวยยังคงมึนงง ถึงพูดต่อว่า: “สองร้อยปีของตระกูลตงฟางเป็นเพราะทหารได้สู้รบสงครามและได้พระราชทานมา ต่อมาได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าพระยา หลายปีมานี้ละทิ้งการต่อสู้มาเป็นนักวิชาการ และไม่ใช่ขุนนางของฝ่าบาท ถ้าเรื่องการเป็นอมตะเกี่ยวกับพวกเขาละก็ คิดว่าเบื้องหลังพวกเขาคงจะมีคนลึกลับอีก”
กู้อ้าวเวยถึงเข้าใจ เลิกคิ้วขึ้น: “แต่พวกที่ตายไปแล้วก็ถูกส่งไปที่หยาเหมิน (ที่ทำการรัฐ) งั้นคนที่อยู่เบื้องหลังนี้……”
ทั้งสองมองตากัน ซ่านจินจื๋อเงียบไม่พูดอะไร เสียงประตูเคาะเสียงดัง พนักงานในร้านรีบขึ้นมาส่งอาหาร และสายตาก็มองไปที่ดวงตาสีเทาของกู้อ้าวเวยอึ้งสักพัก ซ่านจินจื๋อพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า: “ดูพอหรือยัง?”
“ขออภัยขอรับ……” พนักงานในร้านรีบวิ่งออกไป
กู้อ้าวเวยได้ยินเสียงเย็นชาของซ่านจินจื๋อ ก็กลับแปลกใจ: “ข้าก็คิดว่านิสัยเจ้าแค่เย่อหยิ่งเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะเอาแต่ใจแบบนี้”
“โชคดีที่เจ้าลืมไปแล้ว ไม่งั้นถ้านึกถึงนิสัยเอาแต่ใจเมื่อก่อนของข้า ก็คงจะโกรธข้าไปแล้ว” ซ่านจินจื๋อเสียงอ่อนลง คีบเนื้อไปไว้ในถ้วยนาง และพูดต่อว่า: “ในเมื่อคนลึกลับเบื้องหลังทุกคนต่างไม่รู้จัก แต่ตระกูลตงฟางทำไมรู้เรื่องขนมแล้วยังไม่เททิ้งอีก ยังก่อเรื่องใหญ่แบบนี้อีก ไม่เข้าใจจริงๆ”
กู้อ้าวเวยยกถ้วยขึ้นมา พร้อมกับตะเกียบ และก็ต้องแปลกใจ: “ในนี้อาจจะมีผลได้พลอยเสียอยู่ แต่ว่าเจ้าดูเหมือนจะดูแลคนที่ตาบอดได้คล่องเลยนะ”
เลิกคิ้วเล็กน้อย ซ่านจินจื๋อหัวเราะออกมา
“คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน” กู้อ้าวเวยยักไหล่ ยังไม่ทันได้กิน ถ้วยในมือก็ถูกดึงออกไป
ริมฝีปากทั้งสองประกบกัน ริมฝีปากของซ่านจินจื๋อยังมีกลิ่นใบชารสชาติขมติดอยู่ อบอุ่นกว่านางอยู่มาก
เบิกตาโพลงโต แต่เพราะในมือยังมีถ้วยตะเกียบจึงผลักคนออกไปไม่ได้ แต่พอสักพักเขาก็ออกห่างหน่อย แล้วใช้นิ้วลูปากของนาง และพูดว่า: “เพราะดวงตาเจ้าเมื่อก่อนก็เคยมีปัญหา อีกอย่าง อี้จื๋อเป็นลูกของเราสองคน ชิงจือเป็นลูกคนแรกที่พวกเรารับมาเลี้ยง ไม่ว่าคนในใจที่เจ้านึกถึงได้จะเป็นใคร ตอนนี้อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เป็นข้าเอง”
วางตะเกียบลงไป กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นจับคอเสื้อซ่านจินจื๋อไว้ ดึงเขาเข้ามาใกล้กว่าเดิม: “ทำไมเจ้าถึงแรงเอาแต่ใจแบบนี้”
“หรือเจ้าไม่อยากให้ข้าเป็นของเจ้าคนเดียวเหรอ?” ซ่านจินจื๋อตัวโน้มไปข้างหน้าเรื่อยๆ มองดูดวงตาสีเทาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จึงยิ้มตาม นิ้วมือเลื้อยลงไปแตะที่คางนางเบาๆ: “งานเลี้ยงเมื่อคืน……”
ตบมือเขาออก กู้อ้าวเวยกระพริบตาปริบๆ: “ข้าแค่เผลอชั่วครู่เท่านั้น”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครเหรอ?” ซ่านจินจื๋อจับคางนางไม่ปล่อย ไม่ให้นางได้ก้มหน้าและมีโอกาสหลบสายตาเขา: “คนในใจของเจ้างั้นเหรอ?”
“มาพูดธุระที่มากันเถอะ……”
“ตอนที่เจ้าตื่นขึ้นมา นึกอะไรได้งั้นเหรอ” ซ่านจินจื๋อจับคางนางขึ้นมา มืออีกข้างจับข้อมือนางไว้แน่น สายตาเย็นชา
“ช่วงเวลาของข้ากับปัญญาชนนั่น ข้ายังจำได้ว่าเมื่อก่อนพวกเราเคยไปร่วมงานด้วยกัน เคยอธิษฐานใต้โคมไฟ ยังมีตอนที่พวกเราเคยอยู่ด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายก็จบลงที่หลุมฝังศพจำนวนมาก” กู้อ้าวเวยถอนหายใจหนัก สายตามองไปด้านบน พยายามไม่มองใบหน้าของซ่านจินจื๋อ: “เขาตายอย่างโหดร้ายสายตาคู่นั้นมองข้า ข้ารู้ความหมายสายตาของเขา”
“ตอนที่เขาตาย แต่กลับกังวลว่าตัวเองหลอกข้า และยังขอโทษข้าอีก”
น้ำเสียงสงบเรียบเฉย นางเหมือนกำลังพูดเรื่องราวที่ไม่เป็นของตัวเอง แต่ในดวงตากลับมีน้ำตาเอ่อล้น
“งั้นเจ้ายังจำได้ไหมว่าตัวเองไม่ใช่กู้อ้าวเวยคนเดิม?” ซ่านจินจื๋อลดมือลง อ้อมไปนั่งด้านหลังของนาง นั่งเก้าอี้ยาวพร้อมกับนาง: “เจ้าบอกข้า ก่อนงานแต่งกู้อ้าวเวยมีสองคน”
“เจ้ารู้เหรอ?” กู้อ้าวเวยหันกลับไปมองเขา ด้วยความตกใจ
“ดูแล้วเรื่องนี้เจ้าต้องจำให้ได้” ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นจัดการผมข้างหูของนาง และพูดเสียงเบาว่า: “แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ เดี๋ยวเจ้าต้องไปขอโทษกุ่ยเม่ยก่อน”
“ข้าไม่ผิด” กู้อ้าวเวยหันหน้ากลับไป
“แม้ข้าจะอิจฉา แต่ตอนนั้นคนที่อยู่ข้างเจ้ามาตลอดคือกุ่ยเม่ย” ซ่านจินจื๋อจับหน้านางหันมา มองตานางเข้าไป: “ตอนเจ้านึกได้ทุกอย่างแล้วจะต้องรู้สึกผิดต่อพวกเขาแน่ ถ้าไปแก้ไขจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ ข้าก็ไม่อยากให้เขาไปพูดมากกับท่านแม่”
กู้อ้าวเวยยิ้มมุมปาก ในใจคิดว่า คำสุดท้ายน่าจะเป็นเป้าหมายของเขานะ
แต่ในสมองในเรื่องที่เกี่ยวกับซ่านจินจื๋อกลับมีแต่ความเกลียดชัง แต่นั่งข้างเขากลับรู้สึกผ่อนคลายมาก ระหว่างที่ลังเล นางเอาถ้วยตะเกียบตัวเองยัดไปที่มือของซ่านจินจื๋อ พูดว่า: “กินข้าวหมด ข้าก็จะไปขอโทษ จากนั้นพวกเราจัดการปัญหาหลักด้วยกัน”
“ตาเจ้าก็ไม่เห็นอะไร จะทำอะไรได้?” ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้ว แต่กู้อ้าวเวยกลับกำหมัดทุบไปที่อกเขาแรงๆ ดวงตาสีเทานั้นขยับเบาๆ: “เจ้าดูถูกข้างั้นเหรอ?”
ซ่านจินจื๋อตบอกตัวเองเบาๆ รีบพยักหน้าตอบตกลงทันที