บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 919
บทที่ 919 ความมืด
“ถึงคนทั่วไปจะไม่รู้จักจุ้ยเวี่ยน แต่หากรับประทานแล้ว ส่วนมากก็เสียชีวิตและเสียความรู้สึก นางอาจจะไม่ใช่เพราะไม่รู้สึกเจ็บ แต่เป็นเพราะเฉยชาจากจุ้ยเวี่ยนก็เท่านั้นเอง”
ซู๋โหย่วเว่ยพูดกับซ่านเชียนหยวนด้วยความจริงจัง
และเขาก็ให้โย่วหลีไปหาตำราที่บันทึกเกี่ยวกับจุ้ยเวี่ยน ถึงจะนานมาก แต่ก็เขียนค่อนข้างชัดเจน ซ่านเชียนหยวนขยี้ศีรษะด้วยความเจ็บปวด ฉีหรัวที่พึ่งเข้ามาในตำหนักก็ทำหน้าบึ้ง “นี่สินะเป็นยาไม่เจ็บไม่ตายที่ทุกคนโหยหา นี่มัน……..”
“ดูจากท่าทางแล้ว นี่คือวิธีการปกป้องชีวิต” ซู๋โหย่วเว่ยเองก็ตกใจไม่น้อย แต่เสียดายที่วิชาของเขานั้นไม่ถือว่าเก่งกาจ จึงไม่รู้ลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจับที่คางเบาๆ แล้วพูด “และตอนนี้นางก็จำเรื่องในอดีตไม่ได้แล้ว เกรงว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”
“จุ้ยเวี่ยนมียารักษาหรือไม่?” ฉีหรัวถาม
“จุ้ยเวี่ยนนั้นไม่ใช่ยาพิษที่แท้จริง แค่ไม่ไปแตะต้องก็จะไม่เกิดอันตราย แต่หากทานเข้าไป คนส่วนมากมักจะเสียชีวิตทันที นางยังมีชีวิตอยู่ได้นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว” ซู๋โหย่วเว่ยเขียนสูตรยาสำหรับบำรุงร่างกาย “เมื่อครู่อ๋องจิ้งไปเร็ว ข้าจึงยังไม่ได้ให้สูตรยานี้แก่ท่าน”
“ประเดี๋ยวข้าเอาให้เสด็จอาเอง โย่วหลี เจ้าส่งหมอซู๋กลับโรงหมอเถอะ ห้ามให้ผู้อื่นรู้” ซ่านเชียนหยวนเก็บสูตรยาแล้วรับสั่งเช่นนี้
ซู๋โหย่วเว่ยทำความเคารพ แล้วเดินออกไปพร้อมกับโย่วหลีเลย
และในขณะเดียวกัน ในห้องนอน กู้อ้าวเวยนอนตะแคงเล่นไม้แกะสลักอยู่ ซ่านจินจื๋อนั้นนั่งอยู่ข้างเตียงมองนาง “เจ้ารู้ว่าจุ้ยเวี่ยนนั้นทำให้เจ้าสติไม่ดี แถมยังรู้ว่าของสิ่งนี้ทำให้เจ้าลืมความเจ็บปวด”
“ก็ย่อมรู้ ข้าเคยเห็นตำราเล่มนี้ที่บ้านหมอซู๋” กู้อ้าวเวยคิ้วชี้ขึ้นเล็กน้อย แล้วขยี้เบาๆ ที่แผลที่อยู่ตรงไหล่ พูดจาเสียงต่ำ “แต่ว่าวันนั้นข้ากรีดเนื้อตนเองให้ยาพิษเข้าไปในร่างกาย และบาดแผลนั้นเจ็บมาก แต่แลหลังจากนั้นก็มีส่วนน้อยมากที่จะเจ็บ”
“แล้วช่วงนี้ที่เจ้าหลับบ่อยนั้น เป็นเพราะเหตุใด”
“ไม่รู้สึกเจ็บ ก็ย่อมจะไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยด้วยเช่นกัน และทุกครั้งที่หลับก็เป็นเพราะว่ารู้สึกไม่สบายตัว” กู้อ้าวเวยยักคิ้วเล็กน้อย แล้วเก็บไม้แกะสลักนั้นเข้ากระเป๋าของตนเองแล้วพูด “ตอนนั้นข้าเองก็เตรียมพร้อมแล้ว จึงตัดสินใจเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก”
“ตั้งแต่ที่เจ้าสมรสกับข้า ไม่เคยอยู่สุขสบายเลยสักวัน” ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นมาจับหน้าผาก “ถึงจะเป็นภรรยาของสามัญชนธรรมดา ก็ย่อมจะมีพักบ้าง…”
ได้ยินเช่นนี้ กู้อ้าวเวยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ไม่คิดเลยว่าอ๋องจิ้งจะเศร้าเช่นนี้ ความเจ็บปวดทั้งหมดนี้ถ้าเทียบการบาดแผลของเจ้าในสนามรบ คงเทียบไม่ติด”
คาอยู่ที่ลำคอ ซ่านจินจื๋อเห็นนางยิ้มแย้ม หัวใจก็รู้สึกแย่มากขึ้น แค่ยื่นมือไปจับมือที่เย็นของนาง “เจ้ามักจะมีเหตุผลเสมอ”
ดึงมือของตนเองออก กู้อ้าวเวยโบกมือไปมา “ก็แค่ไม่ชอบให้คนมาสงสาร ถึงข้าจะไม่มีสติ แต่ก็รู้ว่าทุกอย่างที่ข้าทำในอดีตนั้นข้าเต็มใจทำ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเสียงใจได้อย่างไร”
พูดอยู่นั้น กู้อ้าวเวยก็ลุกขึ้นแล้วนั่งข้างเขา “ตอนนี้ข้าอยากกลับร้านยาเหย้า”
ซ่านจินจื๋อเงียบอยู่นาน สุดท้ายก็ให้คนไปตามกุ่ยเม่ยพานางไปที่ร้านยาเหย้า ก่อนไป กู้อ้าวเวยตบเบาๆ ที่อกของเขา ใบหน้ามีรอยยิ้ม “ถึงจะต้องเข้าวังเป็นหมอหลวงสองสามวัน ข้าเองก็รับได้ หลังจากนี้อย่าพยายามมาอยู่กับภาระอย่างข้าอีกเลย”
ไม่รอให้ซ่านจินจื๋อตอบ นางก็รีบพุ่งเข้าไปหากุ่ยเม่ย แล้วเงยหน้าขึ้นถามกุ่ยเม่ยเกี่ยวกับข่าวของชิงจือและอี้จื๋อ รวมถึงท่านแม่หยุนหว่านเป็นคนแบบไหน
เห็นเงาของทั้งสองค่อยๆ หายไป ซ่านจินจื๋อก็ถอนหายใจเบาๆ
ซ่านเชียนหยวนส่งสูตรยาให้กับซ่านจินจื๋อ แล้วถาม “นางเชื่อกุ่ยเม่ยโดยตลอด เสด็จอาไม่กริ้วโกรธหรือ?”
“กุ่ยเม่ยคุ้มค่า” ซ่านจินจื๋อส่ายหน้า แล้วตบเบาๆ ที่ไหล่ของซ่านเชียนหยวน แล้วพูด “เจ้าส่งคนไปที่ละแวกร้านยาเหย้า อย่าให้คนขององค์ชายสามมารบกวน หากองค์ชายสามมาขอเข้าเฝ้า ก็ปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่าข้ายุ่งกับงานสมรสของเจ้า”
ซ่านเชียนหยวนคิด ความหมายของเสด็จอาก็คือช่วงนี้ไม่คิดจะร่วมมือกับองค์ชายสาม จากนั้นก็จากไปเลย
ซ่านจินจื๋อกลับมาถึงห้อง มองดูสัญญาสมรสนั้น ในที่สุดก็รู้จุดประสงค์ของตงฟางซวนเอ๋อ——เป็นพระชายาอ๋องจิ้ง
แต่เขาให้คำตอบกับหวางกงกงไปตั้งแต่แรกแล้ว
…….
“จินจื๋อพูดเช่นนี้หรือ?” ซ่านต้วนโฉงโยนถ้วยยาลงบนโต๊ะ
“ท่านอ๋องจิ้งพูดเช่นนี้ขอรับ” หวางกงกงคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาพูดสิ่งที่ซ่านจินจื๋อพูดอีกรอบด้วยร่างกายที่สั่นทอน “พระชายานั้น ชาตินี้มีเพียงคนนี้ หากจะให้สมรสเพิ่ม ก็เป็นได้แค่รอง”
สีหน้าของซ่านต้วนโฉงเย็นชา เคาะนิ้วเบาๆ บนโต๊ะจนเกิดเป็นเสียงระยะ
หวางกงกงระแวงไม่กล้าทำการใดๆ ฮองเฮาตระกูลตงฟางที่รับใช้อยู่ข้างๆ ยื่นน้ำชาไว้ข้างๆ ซ่านต้วนโฉง “ฮ่องเต้ทรงอย่ากริ้วโกรธเลยเจ้าค่ะ ถึงซวนเอ๋อจะเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลตงฟาง แต่นางชื่นชอบอ๋องจิ้ง ยอมเป็นรองเจ้าค่ะ”
ซ่านต้วนโฉงมองนาง แล้วพูดเสียงต่ำ “หากเป็นเช่นนี้ ก็ให้ซวนเอ๋อและแม่หญิงผู้นั้นเข้าตำหนักในฐานะรองแล้วกัน ไม่ต้องหาฤกษ์ด้วย”
ตระกูลตงฟางรีบก้มหน้าขอละเว้นการลงโทษ และหวางกงกงเองก็ยิ่งหัวโต “ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“ส่งสองคนนั้นไปที่ตำหนักตั้งแต่วันนี้” ซ่านต้วนโฉงปัดกิจบนโต๊ะทิ้ง แล้วลุกขึ้นด้วยความโมโห
ฮองเฮาตระกูลตงฟางค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น หวางกงกงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเบาๆ แล้วรีบพูด “ช่วงนี้ฮองเฮารักษาสุขภาพด้วยขอรับ ฮ่องเต้……”
“ข้ารู้แล้ว ขอบใจหวางกงกงที่พูดเตือน” ตระกูลตงฟางพูดจาอ่อนโยน แล้วรีบเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้ ใบหน้าของนางเย็นชา มีขันทีเดินตามมาด้านหลัง “คุณหนูใหญ่กำลังโวยวายขอรับ”
“ให้นางโวยวายไปเถอะ แค่อย่างน้อยได้มีความเกี่ยวข้องกับซ่านจินจื๋อ หลังจากนี้ตระกูลตงฟางก็จะได้มีทางรอด” ตระกูลตงฟางขยี้ที่หน้าผากเบาๆ แต่กลับไม่ได้สังเกตว่าขันทีที่เดินผ่านไปนั้นได้ยินคำพูดนี้อย่างชัดเจน
ขันทีน้อยจึงรีบเดินไปทางตำหนักเหลิ่งกงที่ไม่เป็นที่พูดถึงกัน
หลังจากที่เปิดประตูออก ต่างกับข้างนอกอย่างสิ้นเชิง ด้านในนั้นหรูหราสวยงาม อิฐทองคำและหินหยกรอบด้านเต็มไปหมด เครื่องประดับที่อยู่หน้าโต๊ะเยอะจนนับไม่ไหว แต่นางในและขันทีที่เดินผ่านไปนั้นกลับไม่มีใครที่ไม่โดนตัดลิ้น ต่างเดินอยู่ในตำหนักด้วยเสียงเบา
ภายในห้องนั้น ซ่านต้วนโฉงก็แค่นั่งอยู่ข้างๆ โลงศพน้ำแข็ง แล้วมองเงาที่อยู่ในโลง มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ เสียงอ่อนโยนกว่าปกติเล็กน้อย “ตระกูลตงฟางนั้นอยู่ดีไม่ว่าดีหรือ?”
ขันทีน้อยพูดในสิ่งที่ได้ยินซ้ำอีกครั้ง
แววตาของซ่านต้วนโฉงกลับเย็นชาเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ถึงในอนาคตจินจื๋อจะเป็นฮ่องเต้ แต่ก็คงแค่ไม่กี่เดือน ตระกูลตงฟางตายก็คงไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงตะกร้าสานตีลงน้ำ”
พูดจบ ขันทีน้อยก็โดนแขนสองข้างดึงเข้าไปในความมืด
ไม่มีใครเห็นเงาของเขาอีกเลย