บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 928
บทที่ 928 ปลอบใจ
เช้าวันต่อมา ประตูวังหลวงเปิดออก
ซ่านจินจื๋อเปลี่ยนชุดประจำตำแหน่งแต่เช้าแล้วมารอที่หน้าประตูวัง เขาลงจากม้าแล้วก็หยิบป้ายประจำตัวออกมา เขาอยากจะพบซ่านต้วนโฉงก่อนการประชุมเช้า เหล่าทหารองครักษ์ก็รีบไปรายงานให้ทันที
หวางกงกงกำลังยุ่งอยู่กับการทำตามรับสั่งของฮ่องเต้พาเขามารออยู่ที่ห้องทรงอักษร เขาสั่งนางกำนัลกับขันทีให้เอาน้ำชากับอาหารเช้ามาให้ ซ่านจินจื๋อโบกมือ แล้วพูดว่า “เสด็จพี่ยุ่งไม่จำเป็นต้องออกมาพบข้าก็ได้ ที่ข้ามาในวันนี้ ก็แค่เอากระดาษที่มีข้อความสักสามแผ่นมา วันนี้เช้าครรภ์ของจี้ซูมีปัญหานิดหน่อย ประชุมเช้าในวันนี้ข้าก็คงไม่เข้า”
พูดจบ ซ่านจินจื๋อก็เอากระดาษวางไว้บนโต๊ะ แล้วก็เดินออกไปเลย
หวางกงกงสั่งให้คนห้ามเอาไว้แต่ก็ไม่เป็นผล ทำได้แค่นำจดหมายสองฉบับส่งไปให้ฮ่องเต้ในห้องบรรทมด้วยตัวเอง ตระกูลตงฟางเพิ่งจะแต่งตัวให้ซ่านต้วนโฉงเสร็จ เห็นหวางกงกงเอาของเข้ามา ก็พูดว่า “หม่อมฉันทูลลา”
“ไปเถอะ” ซ่านต้วนโฉงวางแขนลง นางกำนัลด้านหลังก็รีบนำป้ายหยกมาแขวนให้
ตระกูลตงฟางออกไปแล้ว หวางกงกงถึงได้นำจดหมายสองฉบับนั่นมอบให้เขา แล้วก็พูดคำพูดของซ่านจินจื๋อให้เขาฟังอีกรอบ เห็นซ่านต้วนโฉงขมวดคิ้วหนักมาก สายตาของเขาเหมือนลมพายุ แต่กลับถือกระดาษในมืออย่างระวังไม่ให้ยับเลย จากนั้นก็เก็บใส่กล่องที่มีกลไก
“เอามันส่งไปที่ห้องที” ซ่านต้วนโฉงปัดนางกำนัลสองคนออก แล้วเดินไปด้านนก “วันนี้ข้าไม่ค่อยสบาย สั่งให้หมอหลวงมาที่ห้องบรรทม ประชุมเช้ายกเลิก”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท” หวางกงกงถอยออกไปด้านข้าง แล้วนำกล่องเก็บใส่ตัว หลังจากคนถอยออกไปหมดแล้ว เขาก็แอบเดินไปที่ทางเล็ก ๆ ลึกลับเส้นหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน ขุนนางใหญ่สองคนของตระกูลตงฟางถูกเรียกให้ไปเฝ้าที่ห้องทรงอักษรตามลำพัง
พอตกเย็น ตงฟางซวนเอ๋อได้ยินสาวใช้มาส่งข่าวให้ะ สีหน้าของนางดูตกใจมาก “กู้อ้าวเวยคิดวิธีได้จริง ๆ เหรอเนี้ย?”
“ไม่เพียงแค่นี้ ท่านอ๋องจิ้งยังเรียกร้องให้ส่งตัวองค์หญิงหลิงเอ๋อร์ออกมา แต่เรื่องนี้ดำเนินการไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว หากเพียงเพราะสูตรยาเพียงครึ่งเดียวของกู้อ้าวเวยแล้วละทิ้ง ตระกูลตงฟางเหมือนจะเสียเปรียบ” สาวใช้หน้านิ่งลง เหมือนจะร้อนใจ
ตงฟางซวนเอ๋อกัดเล็บ หากรู้ว่ากู้อ้าวเวยมีเครื่องต่อรองยังไม่เอาออกมา นางก็ไม่น่าเอาปิ่นของหลิงเอ๋อร์ให้ซ่านจินจื๋อ แต่ตอนนี้ เจรจากับอ๋องจิ้งไม่สำเร็จ ฮ่องเต้เองก็กำลังจะถูกควบคุม สมควรตายจริง ๆ
นางเดินไปเดินมาในห้องหลายแล้ว แล้วพูดว่า “ข้าต้องไปหากู้อ้าวเวยสักครั้ง”
“คุณหนู ท่านยิ่งร้อนใจ ท่านก็จะยิ่งหลุดได้นะ” สาวใช้ดึงนางเอาไว้ แล้วพูดว่า “นายท่านสั่งให้มาส่งข่าวให้ท่าน หลายวันนี้ท่านต้องแกล้งเป็นไม่รู้เรื่องของตระกูลตงฟาง ตระกูลตงฟางเกิดเรื่องไม่เป็นไร ตอนนี้อ๋องจิ้งไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว หากท่านสามารถได้รับความเมตตาแม้แต่เพียงเล็กน้อย ตระกูลตงฟางก็จะยังมีหวังกลับมาอีกได้”
พูดจบแล้ว สาวใช้ก็ขยับมากระซิบข้างหูนางว่า “แม้แต่เด็กในท้องของจี้ซูก็ไม่ใช่ของท่านอ๋อง ทำไมคุณหนูถึงไม่หาตัวช่วยล่ะ ให้นางมาร้องขอตระกูลตงฟาง ท่านก็จะได้ประโยชน์จากทั้งสองทาง”
ตงฟางซวนเอ๋อเก็บสายตากลับมา แล้วมองไปที่สาวใช้อย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วถามว่า “เรื่องนี้จริงเหรอ?”
“หากท่านไม่เชื่อ ไว้ข้าน้อยจะนำหลักฐานมาให้ท่าน” สาวใช้มองไปที่ฟ้าที่มืดสนิท นางรีบเอากล่องอาหารกับเสื้อผ้าวางลง แล้วพูดว่า “คุณหนูต้องระวังตัวด้วย ข้าน้อยอยู่นานกว่านี้ไม่ได้ วันหน้าเกรงว่าคุณหนูต้องพึ่งตัวเองแล้ว”
นางโค้งคำนับ สาวใช้ทิ้งตั๋วเงินเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้วก็กลับออกไป
ตงฟางซวนเอ๋อยืนเหม่ออยู่ในห้องนานมาก เพียงแต่นำกล่องที่ใส่ตั๋วเงินกับพวกเครื่องประดับไปเก็บไว้ใต้เตียง นางกัดเล็บแบบไม่สบายใจ ขาทั้งสองข้างของนางสั่นไม่หยุด
หากฮ่องเต้รู้ว่าตระกูลตงฟางของพวกนางใจกล้า เอาปิ่นหยกของหลิงเอ๋อร์แอบมามอบให้อ๋องจิ้ง ไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่ แต่เมื่อเป็นอย่างนั้น นางก็จะอยู่ในจวนอ๋องจิ้งแบบไม่มีใครช่วยอีก พอคิด ๆ ดูแล้ว มีเพียงเสด็จป้าฮองเฮาในวังที่เป็นที่พึ่งได้
“ก๊อก ก๊อก ——-”
ประตูถูกเคาะ ตงฟางซวนเอ๋อสะดุ้งคืนสติกลับมา นางเอาเล็บที่กัดเก็บเข้าชายเสื้อไป แล้วทำเป็นสบาย ๆ ไปเปิดประตู นางเห็นจี้ซูยืนอยู่หน้าประตู จ้องไปที่หน้าของนาง “เมื่อกี้สาวใช้ของเจ้ามาหาข้า”
ตงฟางซวนเอ๋อขมวดคิ้ว แต่ก็ยังให้นางเข้ามา
จี้ซูหันหลังไปมองนาง “เจ้ารู้เรื่องลูกในท้องของข้าได้ยังไง? ……”
“ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ ก็ควรจะเชื่อฟังข้า” ตงฟางซวนเอ๋อเดินขึ้นหน้าไป แล้วชี้ไปที่ท้องของนาง อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย แต่ตงฟางซวนเอ๋อเก็บมือกลับมา นางยิ้มแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เราสู้กันเองมันไม่คุ้มเลยนะ แต่เจ้าทำงานให้ตระกูลจี้มันก็ไม่คุ้มเหมือนกัน”
“หมายความว่าไง?” จี้ซูสีหน้าเริ่มซีด
“หากเจ้ายอมทำงานให้ข้า ตระกูลตงฟางของเราก็ตระกูลจี้ก็จะเป็นมิตรต่อกัน ในจวนใหญ่แบบนี้ ศัตรูของเราก็มีแค่คนเดียว แล้วเราจะสู้กันเองไปเพื่ออะไร?” ตงฟางซวนเอ๋อพูดมาแบบนี้ แล้วก็ถอดกำไลหยกให้จี้ซูไป
กำไลมันค่อนข้างเย็น จี้ซูสะดุ้ง
“อีกอย่างด้วยฐานะของเจ้า ชาตินี้ทั้งชาติก็เป็นเมียแต่งไม่ได้หรอกนะ มาอยู่ข้างเดียวกับข้าไม่ดีกว่าเหรอ?” ตงฟางซวนเอ๋อเอาปิ่นของนางถอดออกมาวางไว้ในมือของนางอีก นางเอนหน้าไปกระซิบข้างหูนางว่า “สถานการณ์ของแม่เจ้าไม่ค่อยดีนะ”
“ข้าตกลง” จี้ซูกำปิ่นทองในมือแน่น
คำพูดของทั้งสองคน เฉิงซานที่อยู่บนหลังคาก็กลืนไปกับความมืด หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ลงไปอยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือของซ่านจินจื๋อ แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟังอย่างละเอียด
กู้อ้าวเวยที่กำลังศึกษาเมล็ดพันธุ์อยู่ข้าง ๆ ก็หัวเราะออกมา “แค่วันเดียวก็ได้ข่าวแล้ว ฝ่าบาทกับตระกูลตงฟางแอบสมคบคิดกันลับ ๆ จริง”
“ไม่ใช่แค่นั้น หลิงเอ๋อร์ต่อให้ยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะลางร้ายมากกว่าดี” ซ่านจินจื๋อบีบแก้วในมือแน่นมาก ตอนเล็ก ๆ เด็กที่มักตามเขาอยู่ข้างหลังถึงแม้จะนางจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่แววตาของนางเป็นบริสุทธิ์มาก
แต่ว่าเด็กคนนั้น ตอนนี้กลับมีชีวิตท่ามกลางความเจ็บปวด
หัวใจของเขามันเหมือนจะเจ็บปวดไปด้วย
“ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่ ข้าทำให้นางเจ็บปวดน้อยลงได้ แต่หลายปีเงามืดที่ผ่านมานานมันยากที่จะสลายไปได้” กู้อ้าวเวยวางของลง แล้วเดินไปข้าง ๆ ซ่านจินจื๋อ แล้วเอามือวางไว้ที่โต๊ะ แล้วมองไปที่เขา “ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่”
“ขอแค่นางยังมีชีวิตอยู่” ซ่านจินจื๋อผ่อนคลายลงมาก
รอจนพรุ่งนี้พวกเขาไปไหว้ขอพรที่วัด ส่วนในช่วงนี้ ก็เป็นช่วงให้ฮ่องเต้ได้คิดทบทวน
คนที่นอกเมืองเตรียมการเรียบร้อยแล้ว หากหลิงเอ๋อร์เกี่ยวข้องกับสุสานนั่นจริง พวกเขาก็จะรู้ทันที
ส่วนกู้อ้าวเวยก็ยกมือตบไปที่หัวของเขา แล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าก็จะลองยาแล้ว ต่อให้ไปที่วัด ข้าก็จะนอนหลับไปสิบชั่วโมงเลยนะ”
“เฉิงซานจัดคนไว้ดูแลเจ้าแล้ว”
“ข้าปรุงยาถอนพิษช่วยชีวิตไว้ หากเจอตัวองค์หญิงหลิงเอ๋อร์ เจ้าก็ป้อนให้นางกิน” กู้อ้าวเวยยิ้มแล้วปีนขึ้นโต๊ะของเขา แล้วเก็บเศษแก้วที่เขาบีบจนแตกเมื่อกี้ออกไปไว้ข้าง ๆ จากนั้นก็มองไปที่คิ้วที่ขมวดแน่นของเขา “ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครเป็นเหยื่อ ครั้งนี้เองก็เช่นกัน”
“ใช่” คิ้วของซ่านจินจื๋อก็คลายออก
กู้อ้าวเวยใส่ยาที่มือให้เขา