บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 984
บทที่ 984 เข้าไปอยู่ในหมู่ตึก
เด็กทั้งสองคนทานอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับหมิ่นเอ๋อ กู้อ้าวเวยหรี่ตาลงแล้วคีบผักใส่ในถ้วยหลิงเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง
“ตาของข้าก็ยังไม่หาย หากคีบถูกกระเทียมเจ้าโยนทิ้งออกมาเลย”
“เจ้าก็ตาบอด… มองไม่เห็นแล้วหรือ?” หลิงเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยเสียงเบา ท่าทีหยิบถ้วยถือตะเกียบดูชำนาญมาก
“ไม่ใช่มองไม่เห็น แค่มองเห็นไม่ชัด” กู้อ้าวเวยตักซุปแล้ววางไว้ด้านซ้ายมือของนาง แล้วดึงมือของนางมาจับ แล้วตนเองค่อยทานข้าว สายตามองดูข้อมือของนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ทานข้าวจนหมดแล้ว กู้อ้าวเวยสั่งคนเฝ้าดูพวกนางทานข้าวให้ดี เดินออกไปข้างนอกพร้อมพูดกลับหลิงเอ๋อร์ว่า “ข้าเอาข้าวไปส่งให้เสด็จอาของเจ้าก่อน”
หลิงเอ๋อร์พยักหัวแล้วทานข้าวต่อ แล้วก็ให้เด็กทั้งสองกับหมิ่นเอ๋อเบาๆกันหน่อย
กลับไม่รู้ว่าเมื่อกู้อ้าวเวยก้าวเดินออกไปแล้ว สีหน้าก็เยือกเย็นลงทันที ดวงตาประกายแววเยือกเย็นจนทำให้สาวใช้ด้านข้างสั่นเทา นางนวดฝ่ามืออยู่อย่างไม่ค่อยวางใจ ความโกรธอัดแน่นอยู่เต็มอก
แล้วก็เจอกับซ่านจินจื๋อที่สีหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ทั้งสองคนเจอกันตรงมุมทางเลี้ยว ก็มองสบตากัน
“ในเมื่อกล้าลงมือกับลูกสาวของตัวเองแบบนี้ เขาช่างกล้าลงมือจริงๆ เมื่อกี้ตอนที่ข้าดึงมือของนาง พบว่ากระดูกตรงข้อมือของนางบิดเบี้ยวเพราะเคยถูกล่ามด้วยห่วง ยังมีนิ้วก้อยก็งอเข้าไปข้างใน” กู้อ้าวเวยโกรธจนกระทืบเท้า เดินไปมาอยู่บนระเบียงยาวอย่างหงุดหงิด
“ไปดูที่หมู่ตึกสักครั้ง บางทีไปที่นั่นแล้วอาจจะสามารถรู้ได้ว่าพวกนางถูกผิดอะไรกันแน่” ซ่านจินจื๋อดึงนางไว้ สงบความโกรธในใจแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธมาก แต่ก็ต้องสงบสติอารมณ์หน่อย”
“บนโลกนี้ทำไมถึงได้มีพ่อแบบนี้” กู้อ้าวเวยยังคงโกรธอยู่อย่างมาก
กระดูกบนข้อมือได้รับผลกระทบแล้ว นางถึงขั้นคิดไม่ออกว่าห่วงนี้สวมอยู่บนตัวนางมาตลอดนานแค่ไหน และการตายของชิงต้ายในตอนนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง หลิงเอ๋อร์ในตอนนี้อายุเท่าชิงต้ายในตอนนั้น ท่าทีดูเงียบขรึมเหมือนกัน ยิ่งทำให้จิตใจนางไม่สงบ
ซ่านจินจื๋อดึงนางไว้แล้วพาตัวนางเดินออกไปด้านนอก รู้สึกได้ว่านางดูหงุดหงิดมากเกินไป แล้วค่อยคิดอะไรได้ขึ้นมาจึงดึงนางเข้ามากอดแนบอก กระซิบพูดขึ้นว่า “นางไม่ใช่ชิงต้าย”
“พวกนางยังอายุน้อยขนาดนั้น….” กู้อ้าวเวยแนบชิดอกของเขา และยังหยิกแขนของเขาอย่างแรง “เจ้าห้ามพูดถึงชื่อของนาง”
เขาใช้ตลอดชีวิตของเขาเพื่อไถ่บาปนี้
ซ่านจินจื๋อไม่สนใจความเจ็บปวดบนแขน กอดนางไว้ยิ่งแน่น รอหลังจากที่กู้อ้าวเวยสงบลง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเราพาหลิงเอ๋อร์ไปด้วยกันเถอะ”
ซ่านจินจื๋อสะบัดแขนที่ถูกหยิกจนเจ็บ ส่ายหัวพูดขึ้นว่า “นางไม่จำเป็นต้องรู้”
“ข้าอยากรู้” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังซ่านจินจื๋อ เหมือนดั่งเด็กน้อยในตอนนั้นที่คอยไล่ตามหลังของเขาคนนั้น
หลิงเอ๋อร์วิ่งมาข้างหน้าจนเกือบชนถูกแผ่นหลังของซ่านจินจื๋อ โชคดีที่กู้อ้าวเวยออกมาจากอ้อมกอดแล้วประคองหลังไว้ ขมวดคิ้วมองดูซ่านจินจื๋อ “ไม่รู้ยิ่งน่ากลัว”
หลิงเอ๋อร์ก็พยักหัวตาม “ข้าอยากรู้ว่าเสด็จพ่อกำลังทำอะไรอยู่กันแน่”
มองดูผู้หญิงตัวเล็กใหญ่สองคนตรงหน้า ซ่านจินจื๋อนวดระหว่างคิ้ว แล้วพูดขึ้นว่า “ได้”
ไม่เคยเอาชนะกู้อ้าวเวยมาตลอด พวกเขาขึ้นรถม้าไปพร้อมกัน หลิงเอ๋อร์ค่อยเล่าทุกอย่างในหมู่ตึกที่ตนเองรู้อย่างละเอียด แต่ก็เหมือนดั่งคำสั่งของฮ่องเต้ คนในหมู่ตึกไม่เคยบอกพวกนางถึงชื่อและประโยชน์ของยาสมุนไพรพวกนั้น นางมองไม่เห็น แต่เคยได้ยินหมิ่นเอ๋อพูดว่าที่นี่มีคนตายเยอะมาก
คุยกันมาตลอดทาง จนหลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ด้านข้างกู้อ้าวเวยอย่างว่าง่าย ดึงชายแขนเสื้อของกู้อ้าวเวยไว้เบาๆ
เมื่อเล่าเรื่องทุกอย่างได้พอประมาณแล้ว ระยะทางยังเหลืออีกระยะหนึ่ง กู้อ้าวเวยยิ้มแล้วดึงผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่างานมากอดไว้ พูดกระซิบข้างหูของนางว่า “เจ้ากลัวเขาใช่ไหม?”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตา ไม่มองใบหน้าซ่านจินจื๋อที่มีท่าทีเคร่งเครียด แล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ยังไงข้าก็ขโมยของของอาจารย์เขา ยังโกหกเขา….”
กู้อ้าวเวยนวดลูบหัวของนาง อย่างอดหัวเราะไม่ได้
“และเขาก็โหดมาก ดุด่าคนยังทุบตีคน พูดไม่ถูกใจก็แตกคอกัน” หลิงเอ๋อร์ดึงไหล่ของกู้อ้าวเวย พูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ดีที่สุดเจ้าอย่าไปยุ่งกับเขา ผู้ชายดีๆบนโลกนี้มีตั้งมากมาย”
เหม่อลอยไปสักพัก กู้อ้าวเวยกลั้นหัวเราะมองดูสีหน้าบูดเบี้ยวของซ่านจินจื๋อใบนั้น
แม้แต่หลานสาวของตัวเองก็ไม่เข้าข้างตัวเอง
หลิงเอ๋อร์ก่อเรื่องแล้วก็ไม่เข้าใจ กู้อ้าวเวยกลับโอบไหล่ของนาง ให้นางพิงอยู่บนไหล่ ของตัวเอง แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะถึง นอนสักพักก่อนเถอะ”
“ไม่ง่วง ข้าถามเรื่องอาการป่วยของหมิ่นเอ๋อได้ไหม……”
“มีวิธีรักษาอยู่แล้ว แต่ต้องใช้เวลาหน่อย” กู้อ้าวเวยพูดตัดคำพูดของนาง กลัวว่าตัวเองจะหลุดปากพูดความจริงออกมา จึงระงับอารมณ์โกรธแล้วพูดปลอบนางว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บมากยิ่งกว่า กลับไปแล้วให้ข้าตรวจดูดีไหม?”
หลิงเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของตัวเองไว้แน่น แล้วก็ไม่พูดอะไร
ถึงแม้กู้อ้าวเวยจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร
เมื่อพวกเขามาถึงหมูตกนอกชานเมือง ก็ค่อนข้างเย็นแล้ว ท้องฟ้าสีแดงด้านหลังเริ่มทอดห่างไปไกลสะท้อนให้เห็นถึงหมู่บ้านบนภูเขาที่มืดมนไร้คนแห่งนี้
หมู่ตึกนอกชานเมืองปกติก็จะมีตึกเรือนใหญ่มากกว่าในเมืองเทียนเหยียนอย่างมาก แต่เนื้อที่ดินด้านหลังที่สามารถมองเห็นเคยถูกคนเปลี่ยนแปลง เหลือไว้เพียงห้องที่รกร้าง ห้องมากมายล้วนเป็นเหมือนคุก ยังมีห่วงกับโซ่อยู่อีกไม่น้อย
กู้อ้าวเวยมองไปตามที่หลิงเอ๋อร์พูด เจอเรือนเรือนหนึ่งที่ค่อนข้างยังเป็นปกติ
“ที่นี่เป็นสถานที่ที่ข้ากับหมิ่นเอ๋อเคยอยู่ก่อนหน้านี้ ยังมีเจ้า….ไม่ ควรที่จะพูดว่าตัวแทนของเจ้า” หลิงเอ๋อร์ดึงนางเดินเข้าไปด้านใน เหมือนกับรู้จักที่นี่เป็นอย่างดีที่สุด
แต่กู้อ้าวเวยกลับมองเห็นโซ่ยาวบนพื้น ขมวดคิ้วแล้วถามนางว่า “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ทำอะไรบ้าง?”
“ข้ากับหมิ่นเอ๋อถูกขังไว้ที่นี่ แต่ตัวปลอมของเจ้ากลับไปมาได้อย่างอิสระ” หลิงเอ๋อร์หันกลับมามองนาง “และหมิ่นเอ๋อเห็นเจ้าล้วงของกินออกมาแล้วคิดว่ามีพิษ ก็เพราะนาง”
“ของที่นางให้พวกเจ้ากินมีพิษหรือ?” กู้อ้าวเวยอึ้ง
“เคยให้หมิ่นเอ๋อกิน” หลิงเอ๋อร์เม้นริมฝีปาก ก้มหน้าลง พูดขึ้นอย่างผิดหวัง “แต่ปกตินางก็เป็นคนดี ดังนั้นหมิ่นเอ๋อชอบนางมาก ข้ากลับค่อนข้างกลังนาง ก่อนหน้านี้นางเคยมาเลือกคนที่นี่ บอกว่าจะพากลับไปทดลองยา ไม่มีอคติกับที่นี่เลย”
เพิ่งพูดเสร็จ ทหารที่อยู่ด้านนอกก็รีบวิ่งมา พูดกับทั้งสองคนว่า “ท่านอ๋องให้คุณหนูทั้งสองรออยู่ที่นี่”
“ทำไมหรือ?” กู้อ้าวเวยเอามือทั้งสองปิดหูหลิงเอ๋อร์ไว้
ทหารจึงพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ศพภายในห้องใกล้ๆนี้เคยมีคนเคลื่อนไหว ด้านนอกก็เหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวไว้”
มีคนเคลื่อนไหวศพ?
หรือว่าคนของฮ่องเต้หลบซ่อนอยู่ใกล้ๆนี้