บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 201
หลิ่วเหยียนได้แผนการ
เมื่อนาทีก่อนหลิ่วเหยียนยังคิดแผนรับมือไม่ได้ แต่ในชั่วขณะที่ได้ยินเสียงมั่วมั่วก็บังเกิดแผนการขึ้น
หลิ่วเหยียนหันหลังให้มั่วมั่ว ฟังปากของนางพร่ำพูดไม่ได้หยุด นังเด็กคนนี้อะไรๆ ก็ดีหมด เสียแต่ถูกหลอกง่าย โง่เกินไป ไม่มีทางไปได้ถึงไหนในวังนี้
หลิ่วเหยียนเติมฟืนในเตาไฟเล็กแล้วตั้งกาต้มชา จากนั้นหันกลับมายิ้มหวาน
มั่วมั่วมองดูนางอย่างกระตือรือร้น นางกำนัลในวังนั้นแบ่งเป็นหลายระดับ นางกำนัลที่ครอบครัวมีฐานะก็จะถูกส่งเข้าวังเพื่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล แต่ส่วนมากจะเป็นแบบหลิ่วจุ้ยกับหลิ่วเหยียนที่เพราะครอบครัวยากจนจึงต้องเข้าวังมาเพื่อปากท้อง
และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แล้วจะต้องทำงานที่ลำบากที่สุด ต่ำชั้นที่สุดของในวัง
พวกที่กดหัวรังแกพวกนางไม่ได้มีแต่นายหญิงน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ยังมีนางกำนัลที่มีเรื่องด้วยไม่ได้อีกสารพัน พวกนางต่ำต้อยราวมดปลวก เงามืดในใจพวกนางจึงเกิดจากความรู้สึกต้อยต่ำที่ยิ่งก่อตัวเพิ่มขึ้นทุกที
และนี่จึงทำให้พวกนางได้เรียนรู้ว่า เมื่อมีโอกาสคราใดให้รีบลงมือโจมตีฝ่ายตรงข้าม หากต้องการประสบความสำเร็จในสถานที่นี้ หลิ่วเหยียนมีความเชื่ออย่างลึกล้ำว่า ฟ้าดินจะไม่ปรานีคนที่ไม่เห็นแก่ตัวเอง
ดังนั้น ‘มั่วมั่ว ขอโทษนะ!’
หลิ่วเหยียนพูดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่บนใบหน้าหรือแม้แต่ภายในใจไม่ได้มีความรู้สึกลำบากใจใดๆ เพราะนางมีพื้นเดิมเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว
“นี่พี่ คราวนี้เซียงฉือคงไม่รอดแล้วใช่ไหม ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไม่มีวันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข”
มั่วมั่วรู้สึกสุขใจ ถึงแม้นางจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับหลิวชิง แต่เพราะหลิ่วเหยียนบอกนางว่า เดิมจินกุ้ยเฟยคิดจะส่งเสริมนาง แต่จู่ๆ อวิ๋นเซียงฉือก็ปรากฏกายขึ้นดังนั้นในตอนนี้มั่วมั่วจึงใจร้อนอยากให้เซียงฉือถูกตัดสินโทษ
“น้องสาว เจ้าน่ะอยู่ในวังยังไม่นานพอก็เลยไม่รู้เรื่องการเจรจาแลกเปลี่ยนที่โสมมพวกนั้นสินะ”
หลิ่วเหยียนยกน้ำชาที่เตรียมเสร็จแล้วออกมานำไปวางไว้เบื้องหน้ามั่วมั่ว
แต่คำพูดนี้ของนางทำให้มั่วมั่วต้องขมวดคิ้วแน่น
“พี่ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”
หลิ่วเหยียนดื่มชาคำหนึ่งนิ่งๆ สมาธิแน่วแน่ไม่วอกแวก กวาดตามองถ้วยชาของมั่วมั่วแล้วถอนใจเบาๆ
“เจ้าน้องโง่เอ๊ย พวกเราพี่น้องอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว พี่ก็เห็นเจ้าเป็นน้องสาวอย่างจริงใจ ถึงได้พูดแบบนี้กับเจ้า”
“เฮ้อ พี่ก็ทนไม่ได้หรอกนะที่จะต้องเห็นเจ้ากลายเป็นเครื่องสังเวยในการแก่งแย่งกันในวังแบบนี้”
หลิ่วเหยียนขมวดคิ้วแล้วจิบน้ำชาต่อ ดูราวกับเป็นห่วงมั่วมั่วอย่างยิ่ง แต่คำพูดนางมีแต่จะทำให้มั่วมั่วงงงวย
“พี่ เหตุใดถึงพูดเช่นนี้ ข้างงไปหมดแล้ว”
มั่วมั่วไม่สนใจดื่มชา นางดึงมืองามๆ ของหลิ่วเหยียนไว้บีบจนแน่น ราวกับมันคือฟางช่วยชีวิตในนาทีสุดท้าย
หลิ่วเหยียนจึงตอบไปด้วยท่าทีสงบ
“ฟังไม่เข้าใจหรือน้องเอ๋ย เจ้าจำเรื่องที่ใต้เท้าชิงอี๋มาถามคำถามในวันนี้ได้ไหม สอบถามที่ไปที่มาของนางกำนัลเล็กๆ อย่างพวกเราเรียงตัวไปเลย ยังมีอีกนะ ใต้เท้าสวี่อี้ไม่อนุญาตให้หมัวหมัวในกองคดีลงทัณฑ์อวิ๋นเซียงฉือเลย เจ้ารู้ไหมล่ะว่าทำไม”
หลิ่วเหยียนยังคงมีท่าทางสงบ แต่คำพูดที่ฟังดูลึกลับนั้นทำให้มั่วมั่วต้องขมวดคิ้วแน่นแล้วนิ้วก็กำแน่นโดยไม่รู้ตัว
นางมีความเชื่อถือหลิ่วเหยียนอย่างมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้นางยังพูดออกมาเช่นนี้อีก
ใจของนางจึงไม่อาจสงบลงได้
“พี่หลิ่วเหยียน เรื่องพวกนี้เกี่ยวพันกันยังไง ไม่ใช่เพื่อชี้ยันตัวเซียงฉือ…”
มั่วมั่วเอ่ยปาก นางไม่เข้าใจเรื่องที่หลิ่วเหยียนพูดมานี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่นางมองดูท่าทางของหลิ่วเหยียนแล้วเกิดความรู้สึกไม่สู้ดี