บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 228-229
ตอนที่ 228 นัดหมาย
เซียงฉือคิดปลงอยู่ในใจ แต่บนใบหน้ายังคงฉาบรอยยิ้มนุ่มนวล
หรงจิงยิ้มจางๆ พูดขึ้น
“ที่นี่เป็นที่ส่วนตัวของข้า วันนี้ของทุกเดือนเจ้ามาที่นี่ได้ ข้าจะเลี้ยงสุราดอกท้อเจ้าและสอนดีดพิณโบราณปี้หวงให้เจ้า แล้วถือโอกาสฟังเจ้าเล่าตำนานพิณโบราณไปด้วย”
“วันนี้ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว ข้าจะต้องกลับไปเปลี่ยนเวร ไม่อาจให้ฝ่าบาทรอได้…”
เซียงฉือย่อมเข้าใจในความหมายจึงรีบลุกขึ้นจากไป พวกซูกงกงถึงแม้จะถอยออกไปเสียห่างไม่กล้ารบกวนหรงจิง แต่เขาก็ไม่วางใจที่จะปล่อยให้หรงจิงอยู่ในที่นั้นเพียงลำพังจึงไปยืนแอบเฝ้ามองอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ถึงหรงจิงจะยังไม่รู้สถานะของเซียงฉือ แต่ซูกงกงนั้นจดจำได้
นางคือแม่นางที่เขาพบที่กองคดีของใต้เท้าสวี่อี้คนนั้น
แต่สภาพการณ์ที่นางอยู่ด้วยกันกับฝ่าบาทเช่นนั้นทำให้ซูกงกงใจเต้นรัว
เซียงฉือเดินจากไปก่อน หรงจิงยืนอยู่ในศาลาเฟิงหัวที่วันนั้นซูเฟยใช้เป็นสถานที่เริงระบำดอกไม้ผลิบาน
ซูกงกงเห็นท่าทางของหรงจิงแล้วจึงรีบวิ่งเข้าไปแล้วยืนอยู่ข้างกายด้วยความนบนอบรอให้หรงจิงถาม
“เจ้ารู้สถานะตัวตนของนางหรือไม่”
รอเพียงไม่นานหรงจิงก็ถามขึ้น ซูกงกงรู้จักประวัติความเป็นมาของเซียงฉืออยู่ก่อนแล้ว เมื่อถูกหรงจิงถามจึงได้ตอบชัดทุกคำอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เมื่อหรงจิงได้ยินว่านางเป็นหลานสาวของอวิ๋นเทียนดวงตาก็วาววาบขึ้น ชื่อเสียงความสามารถของอวิ๋นเทียนในสมัยนั้นก้องไปทั้งเมืองหลวง เขาเองก็เป็นผู้ชื่นชอบคนมีความสามารถ
พลันเขาคิดถึงผ้าเช็ดหน้าที่ซูกงกงให้เขาในวันนั้นขึ้นมาได้จึงดึงออกมาจากแขนเสื้อ
“ซูกงกง ไปเอากระดาษข้อสอบของการสอบรอบแรกของนางมา ข้าจะเทียบดูสักหน่อยว่าเป็นนางจริงหรือไม่!”
“หรือว่าจะเป็นพรหมลิขิตที่ฟ้ากำหนดไว้!”
หรงจิงยิ้มชั่วร้าย เขามองดูอักษรที่ปักบนผ้าเช็ดหน้า สายตาอ่อนโยนลงเป็นอันมาก
ซูกงกงงงงันอยู่ในคราแรก แต่แล้วก็ยิ้มออกมา
“ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่ากระหม่อมเกียจคร้าน แต่เรื่องนี้ทำได้ยากนะพ่ะย่ะค่ะ กระดาษข้อสอบของการสอบรอบแรกเมื่อผ่านไปแล้วก็จะเก็บรักษาไว้ในกองราชเลขานอกจากจะมีความจำเป็นมิเช่นนั้นไม่อาจจะนำออกมาดูได้พะย่ะค่ะ หรือไม่…”
“พรุ่งนี้เป็นวันสอบข้าราชสำนักสตรีรอบสอง ฝ่าบาททรงคัดเลือกข้าราชสำนักสตรีงานอักษรด้วยพระองค์เองอยู่แล้ว นางคงจะเข้าร่วมด้วย หรือไม่ฝ่าบาทก็เสด็จทอดพระเนตรด้วยองค์เอง”
ใบหน้าซูกงกงก็เกลื่อนยิ้ม เขารู้ว่าหรงจิงถูกใจอวิ๋นเซียงฉือเข้าแล้ว
ซูกงกงติดตามอยู่ข้างกายหรงจิงมานาน มีความเข้าใจในตัวเขาอย่างดียิ่ง
สายตาที่ร้อนแรงอย่างในขณะนี้น้อยครั้งนักที่เขาจะเคยได้เห็น เป็นเพราะข้อบัญญัติของบรรพกษัตริย์ อีกทั้งใต้เท้าราชเลขาในกองราชเลขามีอำนาจล้นหลามและรักษากฎระเบียบเข้มงวด เป็นสตรีที่ไม่รู้จักปรับตัวนามเหอจิ่นเซ่อ
แต่นางได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน เป็นสตรีทรงภูมิที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในสมัยนั้น ปัจจุบันเป็นขุนนางขั้นที่สาม มีฐานะสูงส่งอยู่ในวัง เป็นข้าราชสำนักสตรีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่ดีมาก
ซูกงกงไม่มีปัญญาจะรับมือนาง ดังนั้นจึงได้แต่ใช้วิธีอ้อมๆ หรงจิงเพียงยิ้มไม่พูดเรื่องนี้อีก
ซูกงกงปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วติดตามหรงจิงกลับตำหนักเจิ้งหยาง
วันนี้ในราชสำนักหรงจิงตัดสินใจจะผลักดันเรื่องคำสั่งเข้ารับตำแหน่งในทันทีขึ้น ต้าซือหม่า[1]หลัวจงเหิงซึ่งได้รับพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์จากฮ่องเต้พระองค์ก่อนถึงกับนำกระบี่อาญาสิทธิ์ออกมาข่มขู่หรงจิง
ขุนศึกระบือนามแห่งยุคที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงฝากฝังพระโอรสไว้ หรงจิงเองก็เคารพยำเกรงเขาอย่างมาก แต่ว่าเรื่องนี้เพราะความคิดที่คร่ำครึเกินไปของเขาหรือเพราะถูกใครบงการ หรงจิงครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ
เขามองดูกระบี่เล่มเล็กด้ามทองที่ฮ่องเต้องค์ก่อนประทานให้เขาในมือ ดูแล้วดูเล่า ความโกรธในใจคุขึ้นเป็นระลอก
เขาเพิ่งให้เซียงฉือปลีกตัวไป เพราะเขายังต้องเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนาง เขาคือหรงจิง เป็นฮ่องเต้ของแคว้นเซียวจิ่ง
[1] ต้าซือหม่า (大司马) เป็นตำแหน่งข้าราชการชั้นสูงเทียบเท่าอัครเสนาบดี
ตอนที่ 229 เข้าสอบรอบสอง
เซียงฉือกลับถึงตำหนักอวี้หยวน ถึงแม้วันนี้จะไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่พอเข้าถึงห้องก็รู้สึกง่วงงุนอย่างไม่รู้สาเหตุ เมื่อผลัดเสื้อผ้าแล้วจึงหลับปุ๋ยไป
แต่เช้าวันรุ่งขึ้น หลิ่วจุ้ยต้องเขย่าปลุกนางอยู่นานกว่าจะตื่น แต่อวิ๋นเซียงฉือยังคงสะโหลสะเหลและวิงเวียนศีรษะ
“พี่หลิ่วจุ้ย? ตอนนี้เวลาอะไรแล้ว”
เซียงฉือนวดหน้าผากที่รู้สึกวิงเวียน นางถามขึ้นโดยที่ยังไม่ทันได้ลืมตา
จึงถูกหลิ่วจุ้ยหยิกเข้าให้แรงๆ ตรงแถวเนื้อนุ่มๆ ที่เอว
“เด็กโง่ ยังไม่รีบลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาอีก จะต้องสอบในยามซื่อ[1] และนี่ก็เลยยามเฉิน[2]มาครึ่งค่อนแล้ว ยังไม่รีบอีก เร็วเข้า”
เซียงฉือพอได้ยินคำว่ายามเฉินดวงตาก็เบิกโพลงทันที รีบลุกขึ้นจัดแจงแต่งตัวอย่างลนลาน แม้หลิ่วจุ้ยที่อยู่ข้างๆ ก็พลอยวุ่นวายไปด้วย
นางออกจากห้องอย่างลุกลี้ลุกลน ไม่ง่ายนักกว่าจะไปถึงตำหนักเหวินอิง แต่แล้วกลับถูกกันไว้ด้านนอกประตู หลิ่วจุ้ยเมื่อถูกข้าราชสำนักสตรีที่เฝ้าประตูอยู่ขวางทางไว้จึงถามขึ้นด้วยความโมโห
“ใต้เท้า ท่านช่วยดูให้ชัด นี่เป็นป้ายของนาง เซียงฉือผ่านการสอบรอบแรกมาแล้ว เหตุใดจึงไม่ยอมให้เข้าไปสอบรอบสองเล่า”
ทั้งสองคนเร่งไปตำหนักเหวินอิงอย่างฉุกละหุก แต่แล้วกลับถูกข้าราชสำนักสตรีที่เฝ้าประตูขวางไว้ด้านนอก
เซียงฉือไม่เข้าใจเพราะนางไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดจึงไม่ยอมให้นางเข้าไป ถึงจะมาช้าไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับสาย
“ข้าจะพูดอีกครั้ง ป้ายของเจ้าอันนี้เป็นป้ายที่ผ่านการสอบรอบแรกมาจริง แต่สตรีที่ผ่านการสอบรอบแรกทั้งหมดก่อนจะถึงเมื่อวานนี้ จะต้องไปยังที่ทำการฝ่ายในเพื่อขอรับป้ายคำสั่งน้อยจึงจะสามารถเข้าสอบได้”
“ที่ข้าต้องการคือป้ายคำลั่งน้อยอันนั้น!”
ข้าราชสำนักสตรีที่สวมชุดราชสำนักสีเหลืองอ่อนซึ่งเป็นเครื่องแบบของข้าราชสำนักสตรีจากสำนักบริหารจัดการรวม เซียงฉือฟังจนงุนงง เพราะในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่พวกนางควรรู้ไม่ได้พูดถึงป้ายคำสั่งน้อยนี้
แต่ข้าราชสำนักสตรีคนนี้กลับต้องการแต่จะยึดป้ายไม่ยึดคน ปั้นหน้าขึงขังไม่ยอมให้เซียงฉือเข้าไปสอบ
หลิ่วจุ้ยกัดฟันแล้วนำไข่มุกพวงหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ลอบจ้องถมึงทึงไปยังสตรีชุดเหลือง แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้มอย่างรวดเร็ว ดึงข้าราชสำนักสตรีคนนั้นเดินออกไปด้านข้าง
“ใต้เท้าโปรดอภัยด้วยเถิด เซียงฉือเป็นนางกำนัลอาวุโสรับใช้ข้างกายจินกุ้ยเฟยและเป็นคนโปรดปรานของพระนางมาก ครั้งนี้เป็นเพราะฉุกละหุกเกินไป นี่เป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ขอโปรดรับไว้อย่าได้รังเกียจ”
“พวกเรายังคงต้องพบหน้ากัน วันนี้ก็โปรดได้เปิดทางสะดวกให้หน่อยเถิด ข้าจะจดจำความดีของใต้เท้าไว้ บุญคุณนี้จะต้องชดใช้คืนในวันหน้าแน่นอน”
หลิ่วจุ้ยคิดว่าพวกข้าราชสำนักสตรีเหล่านี้เจตนากลั่นแกล้งพวกนาง เมื่อเห็นเวลาจวนตัวแล้วจึงได้ใช้ทรัพย์สินติดสินบนพวกนาง
ถึงจะรู้สึกเสียดาย แต่หลิ่วจุ้ยก็ยังทำลงไปเช่นนี้
แต่คิดไม่ถึงว่าการกระทำเช่นนี้จะส่งผลเป็นตรงกันข้าม
“เจ้าคนสารเลว!”
“ถึงกับบังอาจจะเอาของมาติดสินบนข้า ข้าบอกแล้วว่าต้องใช้ป้ายคำสั่งน้อยจึงจะเข้าไปได้ คนอย่างพวกเจ้า วันวันรู้แต่วิ่งเต้นเสาะหาหนทางมิชอบแบบนี้!”
“ทหาร จับตัวนางไว้!”
ทหารองครักษ์ด้านข้างได้ยินเสียงตวาดของสตรีชุดเหลืองจึงรีบเดินเข้าไป
เซียงฉือเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ไม่อาจนิ่งเงียบอยู่ได้
“ใต้เท้า เหตุใดวันนี้จึงได้สร้างความลำบากใจให้ข้าเช่นนี้ ในข้อระเบียบการสอบข้าราชสำนักสตรีไม่ได้ระบุเรื่องป้ายคำสั่งน้อยเลย ท่านกระทำเช่นนี้โดยไม่มีหลักฐานอะไร เป็นการจงใจเหนี่ยวรั้งเวลาของข้า”
“ใต้เท้าสวี่อี้แห่งกองคดีเป็นข้าราชสำนักสตรีที่ซื่อสัตย์ยุติธรรม ข้าคบหากับนางมานาน ยังไม่เคยได้ยินนางพูดถึงเรื่องป้ายคำสั่งอะไรเลย ถ้าหากท่านยังจงใจสร้างความลำบากให้กับข้า ข้าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องร้องต่อนาง คิดว่าท่านคงจะรู้ถึงผลลัพธ์ของเรื่องนี้ดี”
เซียงฉือเห็นหลิ่วจุ้ยถูกคนจับและออกแรงกดอยู่กับพื้นทำให้นางทนไม่ได้ ในเวลานี้จึงได้เอ่ยถึงสวี่อี้ขึ้น หวังจะให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนข้อลงบ้าง
[1] ยามซื่อ (巳时) คือ เวลาเช้าช่วง 9.00 น. – 10.59 น. เป็นการนับเวลาแบบจีนโบราณ ในหนึ่งวันจะมี 12 ชั่วยาม แต่ละชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง
[2] ยามเฉิน (辰时) คือ เวลาเช้าช่วง 7.00 น. – 8.59 น.