บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 248-249
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 248 สมความปรารถนา / ตอนที่ 249 กุ้ยเฟยพิโรธ
ตอนที่ 248 สมความปรารถนา
เซียงฉือไปถึงตำหนักเหวินอิง นางเดินทีละก้าวไปที่ข้างใต้กระดานปิดประกาศ ถึงแม้จะได้ฟังจากหลิ่วจุ้ยซึ่งทำให้นางตระหนกดีใจอย่างยิ่ง แต่ยังอยากจะเห็นด้วยตาของตนเอง
เมื่อไปถึงใต้กระดาน นางเพ่งสายตา หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความดีอกดีใจจากการได้สิ่งที่คิดว่าสูญเสียไปแล้วกลับคืนมาเช่นนี้
หลิ่วจุ้ยก็ไม่ได้รบกวนนางเพียงมองแผ่นหลังของนางเท่านั้น แล้วทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวง่ายแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร เพียงเห็นภาพเช่นนี้ก็ห้ามน้ำตาตนเองไว้ไม่อยู่
“เด็กโง่เอ๊ย คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่จริงๆ ไม่รู้ว่าท่านผู้มีบารมีท่านใดแสดงอิทธิฤทธิ์ช่วยให้เจ้าเด็กนี่ได้สมปรารถนา”
หลิ่วจุ้ยบ่นพึมพำอยู่ข้างหลัง ส่วนเซียงฉือเต็มตื้นไปด้วยความดีใจ นางยืนอยู่เบื้องหน้ากระดาน ซึมซับสายลมจากรอบทิศ ความรู้สึกของนางในขณะนี้ ที่นี่คล้ายดั่งกลายเป็นจุดกึ่งกลางบนเวที จุดศูนย์กลางของโลก นางรับรู้ได้ถึงความสุขนั้น
ขนตายาวๆ ค่อยๆ กระพริบ เปลือกตาเผยอขึ้นเบาๆ ลำแสงสายหนึ่งส่องเข้าดวงตาที่ลืมขึ้นช้าๆ ดวงตาแจ่มใสดำขาวกระจ่างชัดคู่หนึ่งได้ลืมขึ้นแล้ว
“ผู้ที่ผ่านการสอบเป็นข้าราชสำนักสตรี จัดสรรไว้ดังนี้ กองราชเลขา อวิ๋นเซียงฉือ!”
สายตาเซียงฉือมองดูอักษรสีดำบนนั้น ปากอ่านออกเสียงตามค่อยๆ นางได้รับเลือกแล้ว นางสอบผ่านแล้ว นางกำลังจะได้เป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว
เซียงฉือปิติยินดีอย่างที่สุด นางปิดปากไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความปิตินั้นได้
หลายวันนี้นางคิดว่าตนเองหมดโอกาสแล้ว คิดว่าตนเองสอบตกแล้ว นางเกือบท้อแท้หมดกำลังใจ คิดไม่ถึงว่าลมจะเปลี่ยนทิศโลกกลับมาสดใสอีกครา
“ช่างเหลือเชื่อ ช่างเหลือเชื่อจริงๆ”
เซียงฉือพูดขึ้นด้วยยังรู้สึกตระหนก เหอจิ่นเซ่อออกมาจากตำหนักเหวินอิงพอดี เมื่อเห็นอวิ๋นเซียงฉือที่ด้านหน้ากระดาน มุมปากผุดรอยยิ้มจางๆ แล้วพูดกับชิงโย่วข้าราชสำนักสตรีที่ข้างหลังนาง
“เจ้านำของพวกนี้ไปเก็บเข้าในคลังอย่าให้ผิดพลาดเด็ดขาด ข้ายังมีธุระอื่นต้องไปจัดการ”
เหอจิ่นเซ่อนำเครื่องแต่งกายมาจากข้าราชสำนักสตรีที่รับผิดชอบลงบันทึกอยู่ด้านข้าง นางมองดูสายผ้าทิ้งตัวบนชุดนั้น เครื่องแบบสีฟ้าครามของข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขา
สมัยนั้นนางก็เคยสวมใส่มาเช่นกัน ตอนนี้เมื่อได้มาจับสัมผัสอีกครั้งทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น
นางถือชุดราชสำนักชุดหนึ่งแล้วเดินไปข้างกายเซียงฉือ เมื่อเห็นท่าทางดีใจของนางเช่นนั้นก็ถอนใจออกมา
“อวิ๋นเซียงฉือ ข้าขอแสดงความยินดีด้วยที่เจ้าได้สมปรารถนา”
พลันเซียงฉือได้ยินเสียงดังขึ้นที่ข้างกายจึงรีบหันหน้าไปแล้วก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเหอจิ่นเซ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อนางหายตกตะลึงก็รีบทำความเคารพ
“คารวะใต้เท้าเหอเจ้าค่ะ”
แม้นางจะดูไม่ลุกลี้ลุกลนนัก แต่ในใจนั้นคลื่นใหญ่ยังคงถาโถมอยู่
“ลุกขึ้นเถอะ จากนี้ก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้วจริงๆ นี่เป็นเครื่องแบบของเจ้า”
เซียงฉือเงยหน้า เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเหอจิ่นเซ่อแล้วจึงเพิ่งรู้สึกว่าเรื่องเมื่อครู่ทั้งหมดดูเสมือนจริงยิ่งขึ้น
“ขอบพระคุณใต้เท้าเหอ พระคุณของใต้เท้า ข้าขอจดจำไว้ชั่วชีวิตด้วยความซาบซึ้งอย่างที่สุดเจ้าค่ะ”
เซียงฉือยื่นมือไปรับเครื่องแบบข้าราชสำนักสตรีจากเหอจิ่นเซ่อมาไว้ในมือแล้วลูบไล้แผ่วเบา ความสุขและความภูมิใจเอ่อท้นออกมาจากใจ
เหอจิ่นเซ่อมองดูรอยยิ้มปานบุปผาของนางแล้วยิ้มน้อยๆ
“สมใจปรารถนาของเจ้าแล้ว จำไว้พรุ่งนี้ยามเฉินต้องไปรายงานตัวยังกองราชเลขา ห้ามสาย!”
รอยยิ้มของเหอจิ่นเซ่องดงามอบอุ่น หลังจากส่งเครื่องแบบให้เซียงฉือแล้วยังได้มอบปิ่นหยกใส่มือนางไปด้วย เซียงฉือเห็นแล้วจึงยิ้มอย่างตื้นตันใจ
“ขอบพระคุณใต้เท้า ข้าจำได้แล้ว จะไม่ทำให้ใต้เท้าผิดหวังเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 249 กุ้ยเฟยพิโรธ
อวิ๋นเซียงฉือกลับตำหนักอวี้หยวนด้วยใจยินดีปรีดาเต็มเปี่ยม แต่ไม่คิดว่าจินกุ้ยเฟยกำลังโกรธจัดอยู่ในเวลานี้
นางรู้สึกประหลาดใจ นางเห็นแล้วว่าบนกระดานมีชื่อของตนกับเซียงซือได้เข้ากองราชเลขาด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรจะยินดี แต่เหตุใดใบหน้ากุ้ยเฟยที่มองดูนางจึงประหลาดเช่นนี้
จินกุ้ยเฟยเรียกนางไป พอเข้าประตูแล้วเซียงฉือก็ถูกสั่งทำโทษให้คุกเข่า นางฟังเสียงลมฝนด้านนอกอยู่ตรงใต้ระเบียง อากาศบทจะเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนอย่างไม่ให้โอกาสกันเลย แล้วลมก็โหมพัดกระหน่ำ
มีเพียงเซียงฉือคนเดียวที่ถูกสาดเปียกไปทั้งตัวอยู่ใต้ระเบียงโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด
จินกุ้ยเฟยนั่งอยู่ตรงหน้าประตูมองดูเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่ ดวงตาแฝงความชิงชัง
เซียงฉือไม่รู้ว่าก่อนที่นางจะกลับเข้ามา สายของจินกุ้ยเฟยในกองราชเลขาได้มารายงานว่าเซียงฉือเจตนาไปขอร้องเหอจิ่นเซ่อ เพื่อจะให้ได้เข้ากองงานราชเลขา
ซึ่งทำให้จินกุ้ยเฟยผู้หยิ่งยโสบันดาลโทสะอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้นางจะให้เซียงฉือเข้ากองราชเลขาแต่นางกลับบ่ายเบี่ยงบอกปัด แต่นี่กลับแจ้นไปขอร้องต่อเหอจิ่นเซ่อเสียเอง
จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร ความจริงนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ กุ้ยเฟยเพียงต้องการให้อวิ๋นเซียงฉือยอมสยบต่อนางจะได้ยินยอมพร้อมใจเป็นหูเป็นตาแก่นางในวันหน้าแล้วเรื่องนี้ก็จะผ่านไป
แต่อวิ๋นเซียงฉือนิ่งเงียบไม่พูดสักคำ จินกุ้ยเฟยเห็นแล้วยิ่งโกรธหนักขึ้น
ความจริงต้องการเพียงสั่งสอนให้นางรู้หนักเบา วันหน้าจะได้ไม่กล้าต่อต้านคำบัญชานางอีก แต่วันนี้เซียงฉือกลับแข็งขืน คุกเข่านิ่งไม่พูดสักคำ
ขณะนั้นแม้เซียงฉือยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็รู้ว่าจินกุ้ยเฟยกำลังโกรธนางอยู่
หลิ่วจุ้ยที่กลับมาก่อนย่อมได้รับฟังเรื่องหลายเรื่อง ตอนนี้หลังจากไปทำงานให้กุ้ยเฟยกลับเข้ามาถึงก็เห็นกุ้ยเฟยกำลังทำโทษเซียงฉือให้คุกเข่าอยู่ นางเก็บร่มกระดาษน้ำมันสีชมพูอ่อนแล้วค่อยๆ เดินเข้าไป พอเห็นสีหน้าของกุ้ยเฟยในห้องแล้วต้องลอบร้องแย่แล้วอยู่ในใจ
“กุ้ยเฟยเพคะ ทรงระงับความกริ้วเถิดเพคะ อย่าให้กระเทือนพระวรกายเลย นี่เพคะลิ้นจี่ที่พระองค์โปรดปราน เพิ่งได้มาใหม่ในปีนี้ หม่อมฉันปอกถวายสักผลให้ทรงชิมความสดนะเพคะ”
หลิ่วจุ้ยยกถาดลิ้นจี่สดที่เพิ่งได้รับบรรณาการเข้ามา นางไม่ได้พูดขอเมตตาให้เซียงฉือในทันที เพียงเข้าไปข้างกายกุ้ยเฟยแล้วส่งลิ้นจี่ที่ปอกเปลือกออกแล้วแก่นาง
กุ้ยเฟยมองนางแล้วเบนสายตาไปมองเซียวฉือที่ใต้ระเบียง ความโกรธหาได้ลดลงไม่
“ข้าไม่อยากกิน เจ้าออกไป ข้าอยากจะรู้นักเชียวว่าอวิ๋นเซียงฉือจะเก่งกาจแค่ไหน ถึงกล้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา!”
เซียงฉืออยู่ใต้ระเบียงเงี่ยหูฟังแล้วอึ้งไป นางรู้แล้วว่าเหตุใดกุ้ยเฟยจึงได้โกรธนางหนักหนาเช่นนี้ แต่นางก็คิดขึ้นได้ในทันทีว่าเรื่องนี้นางได้ทำอย่างลับๆ แต่เกิดล่วงรู้ถึงคนอื่นเข้าเช่นนี้ แสดงว่าในกองราชเลขาจะต้องมีหูตาของกุ้ยเฟยแฝงเร้นอยู่เป็นแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ เซียงฉือจึงรู้จุดประสงค์ของกุ้ยเฟยที่ลงโทษนางในวันนี้ ทันใดนั้นก็เห็นหลิ่วจุ้ยส่งสัญญาณมาให้นาง
“กุ้ยเฟยเพคะ พระวรกายของพระองค์ล้ำค่ายิ่งนัก ถ้าหากสึกหรอแม้เพียงเล็กน้อย ฝ่าบาทก็จะปวดพระทัยยิ่งนะเพคะ พรุ่งนี้เซียงฉือก็จะเข้าไปทำงานในกองราชเลขาแล้วนะเพคะ”
“ที่ผ่านมาพระองค์ทรงเอ็นดูมีพระเมตตาต่อนางมาโดยตลอดจนนางเหลิงไปหมดแล้ว ถึงพวกสาวใช้อย่างหม่อมฉันจะไม่พูดแต่ก็อิจฉาอยู่ในใจนะเพคะ ตอนนี้นางจะจากไปเสียแล้ว พระองค์คงตัดพระทัยไม่ได้กระมังเพคะ”
“แต่นางก็ช่างไร้จิตไร้ใจ รู้จักแต่ว่าดีใจ ไม่รู้เสียเลยว่าพระองค์ทรงไม่อาจตัดพระทัยจากนางได้ ยังไม่รู้อีกว่าควรจะต้องเข้ามากราบบังคมทูลตามประสาผู้ใกล้ชิดอีก”
หลิ่วจุ้ยพูดได้น่าซาบซึ้ง คำพูดของนางทั้งเป็นการขอความเมตตาให้เซียงฉือ อีกทั้งยังให้กุ้ยเฟยมีก้าวถอยอีกด้วย