บุปผาเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 306 คัดลายมือ / ตอนที่ 307 แมวลาย
บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 306 คัดลายมือ / ตอนที่ 307 แมวลาย
ตอนที่ 306 คัดลายมือ
ทางด้านเซียงฉือกับหรงจิงนั้น ฝ่ามือใหญ่ของหรงจิงทาบอยู่บนศีรษะของเซียงฉือ เขาไม่ได้ออกแรงมาก เพียงสัมผัสเรือนผมของนางเบาๆ
เซียงฉือพันมือให้หรงจิงแล้วก็คุกเข่าอยู่กับที่ นางรู้ว่ามือของหรงจิงวางอยู่บนศีรษะตน ตอนนี้นางจะขยับก็ขยับไม่ได้
หรงจิงลูบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงดึงปิ่นที่เซียงฉือใช้มุ่นผมไว้ออก ทำให้เส้นผมยาวของนางสยายลงมาราวน้ำตก
นางตกตะลึงลนลานหันกายสำรวจเส้นผมของตน เมื่อมือแตะถูกก็อึ้งไป
ท่าทางของหรงจิงไม่พอใจเท่าไร แววตาไม่สดใส แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าหวีผมเช่นนี้ น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง”
พลันสะบัดแขนเสื้อหมุนกายเดินจากไป
เซียงฉือยังคงอยู่ที่เดิม ลูบคลำเส้นผมอย่างไม่เข้าใจอีกทั้งรู้สึกอึดอัด ถึงจะยังไม่เข้าใจสภาพจิตใจตัวเองในตอนนี้นัก แต่ก็ลุกขึ้นเก็บกล่องยานำเข้าไปห้องด้านใน
เมื่อเก็บเสร็จแล้วจึงไปที่ข้างกายหรงจิง เห็นเขายืนคัดลายมืออยู่ริมหน้าต่าง
เซียงฉือยื่นหน้าแอบมอง หรงจินกำลังเขียนอักษรอยู่ตัวหนึ่งว่า ‘สงบ’
ตอนนางมาถึง หรงจิงได้เขียนอักษรตัวใหญ่ไปแล้วสิบกว่าตัวและไม่พูดอะไร เซียงฉือรู้สถานะตนเองดี เมื่อหรงจิงไม่ต้องการพูดนางไม่มีสิทธิ์สอบถามและนางก็คร้านที่จะก่อกวนความสงบ
ในเวลาเช่นนี้เซียงฉือไม่ได้อยู่ห่างจากหรงจิง เพราะนางสัมผัสได้ว่าบนกายหรงจิงนั้นได้แผ่ซ่านความรู้สึกอย่างหนึ่งออกมา เป็นความรู้สึกที่โดดเดี่ยวอ้างว้าง
แต่โบราณมาที่สูงย่อมเหน็บหนาว เขาอยู่ในฐานะฮ่องเต้ คงต้องมีความอ้างว้างมากมายที่ไม่มีทางระบายออกมาได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเห็นใจหรืออื่นใดทำให้นางยังคงยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างสงบนิ่ง ไม่พูดจาอีกทั้งคอยระวังการหายใจของตน
เซียงฉือคิดจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่หรงจิงมองเห็น ยืนอยู่เงียบๆ พยายามลดการมีตัวตนให้น้อยลง แล้วหรงจิงก็พูดขึ้นว่า
“มัวยืนทึ่มอยู่ทำไม ฝนหมึกสิ”
เซียงฉือคุ้นเคยกับวิธีการพูดของเขาที่จะถากถางก่อนเรียกใช้งานแล้วจึงมองข้ามคำพูดประโยคแรกแล้วปฏิบัติตามคำสั่งในส่วนหลังนั้น
พอได้ยินคำสั่งหรงจิง นางจึงม้วนแขนเสื้อข้างขวาขึ้นช่วงหนึ่ง ใช้มือซ้ายจับแขนเสื้อไว้ แล้วลงมือฝนหมึกอย่างตั้งใจ
เซียงฉือสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าหมึกที่หรงจิงใช้นั้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน บนแท่งหมึกมีลายเส้นทองรูปมังกร น้ำหมึกเข้มข้น ส่วนกลิ่นนั้นอ่อนจาง คุณภาพเช่นนี้ย่อมต้องเป็นหมึกชั้นดี เซียงฉือที่ฝึกหัดคัดเขียนอยู่เสมอจึงรู้จักความเป็นมาของแท่งหมึกที่มีชื่อเสียงมากมาย
การมีแท่งหมึกล้ำค่ามาอยู่ในมือเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องน่าสนใจ
แต่วันนี้หรงจิงอารมณ์ไม่ดี มิเช่นนั้นนางคงทูลขอสักแท่ง
ตั้งแต่นางเข้าตำหนักเจิ้งหยาง ทุกวันจะมีเพียงพู่กันที่เป็นเพื่อน บ่อยครั้งที่ต้องเขียนอักษรตัวใหญ่ๆ สีแดงว่า ‘อ่านแล้ว’ ลงบนรายงาน
และทุกครั้งที่เขียนคำนี้ก็จะต้องลอบด่าในใจทุกครั้งไปว่าเขียนรายงานมาราวกับผ้ารัดเท้าของยายเฒ่าที่ทั้งยาวทั้งเหม็น[1]
เซียงฉือได้กลิ่นหอมของหมึกจึงสูดจมูกเบาๆ นางคิดว่าตนเองมีความรู้กว้างขวางพอประมาณ แต่กลับยังไม่เคยพบเห็นหมึกเช่นนี้
มือซ้ายของหรงจิงบาดเจ็บจึงยังเคลื่อนไหวไม่ได้ต้องห้อยอยู่ข้างกาย และถูกเซียงฉือมัดไว้อย่างแน่นหนาจึงบวมขึ้นมา ถึงจะมัดไว้แล้วก็ยังรู้สึกปวดตุบๆ
[1] ผ้ารัดเท้าของยายเฒ่าที่ทั้งยาวทั้งเหม็น (老太婆的裹脚布,又臭又长) เป็นสำนวนเปรียบเทียบว่าบทความหรือเรื่องราวที่เขียนอย่างยืดยาวเยิ่นเย้อ จนทำให้อ่านแล้วน่าเบื่อหน่าย โดยไปเปรียบกับผ้าที่ใช้รัดเท้าของสตรีจีนในสมัยโบราณ
ตอนที่ 307 แมวลาย
หรงจิงหยุดพู่กันแล้วนิ่งมองมือข้างซ้ายของตนแล้วถอนใจขึ้น การได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ควรเรียกข้าราชสำนักสตรีที่คล่องแคล่วจากกองโอสถ ที่เจ้าเด็กนี่พันแผลให้กลับยิ่งทำให้แย่ลง
ทั้งฝ่ามือยังถูกนางมัดไว้อย่างแน่นหนาจนมองไม่เห็นนิ้วมือ หรงจิงหน้าเหยเกขมวดคิ้ว
เขากวาดตามองเซียงฉือหมายจะต่อว่าสักหน่อย แต่กลับพบสายตานางจดจ่ออยู่กับแท่งหมึกล้ำค่าแท่งนั้น
หรงจิงรู้สึกเหมือนถูกละเลย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับเป็นปกติ
“นั่นเป็นหมึกขุยหลง”
หรงจิงเห็นเซียงฉือยกแท่งหมึกขึ้นจ่อที่ปลายจมูกแล้วสูดดมเบาๆ จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
เซียงฉือตกใจพอประมาณ นิ้วมือจึงกระตุก ทำให้หมึกหยดหนึ่งกระเด็นไปบนใบหน้าน้อยๆ ขาวผ่อง นางรู้สึกถึงความเย็นวูบหนึ่งจึงยื่นมือออกไปลูบแก้ม
จากเดิมที่เป็นเพียงน้ำหมึกหยดหนึ่ง เมื่อถูกนางสัมผัสจึงกลายเป็นเส้นสีดำเส้นหนึ่ง ยาวไปจนถึงใบหู
หรงจิงก้มหน้าเขียนหนังสืออยู่จึงพูดต่อไปว่า
“หมึกขุยหลงผลิตที่เมืองชีเสีย สามปีจึงจะปล่อยออกมารุ่นหนึ่ง มีความพิถีพิถันในการเลือกใช้วัตถุดิบมาก ทั้งยังมีการผสมดอกเหมยซึ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง สีของมันสดใส น้ำหมึกเข้มข้น เก็บไว้ได้นาน ทั้งกลิ่นก็เย็นใส ผลิตให้กับราชสำนักเท่านั้น คนธรรมดาสามัญแม้ชื่อก็คงจะไม่เคยได้ยิน”
เซียงฉือฟังไปแต่รู้สึกผิดปกติบนใบหน้าจึงแตะไปอีกสองครั้งทำให้ไม่ได้พูดคุยกับหรงจิง หรงจิงแปลกใจจึงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเซียงฉือที่ตอนนี้มีเส้นรอยหมึกสีดำสามเส้นบนใบหน้าลากยาวจากมุมปากไปทางข้างแก้ม ดูคล้ายกับแมวขาวตัวน้อย กำลังงอนิ้วถูแก้มเบาๆ
หรงจิงกลั้นหัวเราะทำพูดขึงขัง
“ทำอะไรอยู่ ยังไม่ตั้งใจทำงานอีก”
เซียงฉือพอได้ยินคำพูดหรงจิงจึงไม่กล้ายื่นมือไปเช็ดอีกแล้วก้มหน้าฝนหมึกต่อไป หรงจิงเขียนหนังสือไปกลั้นหัวเราะไปโดยไม่บอกนาง บางครั้งเงยหน้าขึ้น ก็เห็นดวงตาสุกใสแวววาวของนาง และคิ้วที่ขมวดมุ่น ราวกับรู้สึกถึงความผิดปกติบนใบหน้า
หรงจิงเห็นแต่ไม่บอก เดี๋ยวๆ ก็แอบใช้มือซ้ายที่ถูกห่อไว้ราวขนมจ้างปิดปากหัวเราะเบาๆ
ในตอนแรกเซียงฉือไม่ทันสังเกต แต่ไม่นานนักก็รู้สึกตัวจึงมองหรงจิงด้วยสายตางุนงง ส่วนหรงจิงที่หายโมโหแล้วก็เก็บยิ้มพูดขึงขังว่า
“เจ้าเด็กต๊องมานี่”
เมื่อหรงจิงบัญชา เซียงฉือจึงเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย หมุนกายข้ามโต๊ะไปอยู่ข้างกายหรงจิง เขาใช้นิ้วแตะหมึกหยดหนึ่ง แล้วฝ่ามือใหญ่ก็ทาบลงบนใบหน้าเล็กๆ ของเซียงฉือ ขยับอย่างตั้งใจอยู่บนใบหน้านาง
เซียงฉือไม่เข้าใจการกระทำของเขา แต่นิ้วมือที่สัมผัสมีความเย็นน้อยๆ ซึ่งนางไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ใบหน้าน้อยๆ ถูกหรงจิงปาดอยู่ครู่หนึ่ง เซียงฉือได้แต่หลับตาแล้วยิ้ม
หรงจิงเอามือออก เห็นเซียงฉือค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจึงจิ้มเบาๆ ที่ปลายจมูกนาง
“ซนนัก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
สีหน้าจริงจังของหรงจิงคงอยู่ได้ไม่นานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมา ทำให้เซียงฉือนิ่งงันไป
เมื่อรู้สึกตัวจึงหมุนกายไปทางกระจกทองแดงข้างหลัง แล้วส่องผ่านกระจกทองแดงที่ฉายภาพชัดเจน
บนใบหน้าทั้งซ้ายขวามีเส้นข้างละสามเส้นพอดี ตรงปลายจมูกมีจุดอยู่จุดหนึ่ง
นี่ไม่ใช่แมวหรอกหรือ
เซียงฉือเห็นตนเองในกระจกแล้วก็หัวเราะพรืดออกมา